10 มิ.ย. เวลา 14:45 • การศึกษา

จากอภิสิทธิ์สู่ภาระ: เงินดอลลาร์สหรัฐกับภาวะเปราะบางของประเทศกำลังพัฒนา

ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ระบบการเงินระหว่างประเทศซึ่งกำหนดให้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองหลัก ได้ก่อให้เกิดความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างในระดับโลก แม้ระบบนี้จะมีส่วนสำคัญในการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทว่าก็ทำให้ประเทศส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในภาวะพึ่งพานโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกาเพียงฝ่ายเดียว ความได้เปรียบดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงวิชาการว่าเป็น “ระบอบอภิสิทธิ์” ที่สหรัฐฯ ใช้ในการรักษาและขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของตนในระดับสากลอย่างต่อเนื่อง
แนวคิดเรื่อง “อภิสิทธิ์จักรวรรดิ” (exorbitant privilege) ซึ่งบัญญัติโดยวาเลรี ฌิสการ์ เดสแต็ง (Valéry Giscard d’Estaing) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฝรั่งเศส ได้สะท้อนข้อได้เปรียบที่สำคัญของสหรัฐฯ ในฐานะผู้ออกสกุลเงินสำรองของโลก โดยเฉพาะความสามารถในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกมีความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังสามารถปล่อยให้เกิดดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเรื้อรังโดยไม่เผชิญกับแรงกดดันด้านค่าเงินเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ทั้งยังสามารถเพิ่มปริมาณเงินหรือ “พิมพ์เงิน” เพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจภายในประเทศโดยผลักภาระต้นทุนจากเงินเฟ้อไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ถือครองเงินดอลลาร์
แบร์รี ไอเคนกรีน (Barry Eichengreen) นักเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ ได้อธิบายว่าสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างของระบบการเงินโลกผ่านกลไกที่เขาเรียกว่า “วงจรอุบาทว์” เมื่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกสะสมเงินดอลลาร์ไว้เป็นทุนสำรอง ความต้องการถือครองเงินดอลลาร์จึงยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและมีเสถียรภาพในระยะยาว สหรัฐฯ จึงสามารถออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อดึงดูดทุนจากต่างประเทศมาชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดต่อเงินสกุลของตน
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงิน เช่น วิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 สหรัฐฯ สามารถใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลโดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงที่ค่าเงินดอลลาร์จะล่มสลายเหมือนประเทศอื่น ๆ
ผลพวงหนึ่งของอภิสิทธิ์ดังกล่าวคือ การส่งออกภาวะเงินเฟ้อไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายรุนแรง เช่นในช่วงปี 2020–2021 ที่มีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 3.7 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างปี 2021–2023 ประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้าพื้นฐานอย่างน้ำมันและข้าวสาลีได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อภายในประเทศที่สูงเกิน 10% เนื่องจากราคาสินค้าเหล่านี้ผูกติดอยู่กับมูลค่าของเงินดอลลาร์ ในละตินอเมริกา ประเทศที่มีหนี้สาธารณะในรูปเงินดอลลาร์ เช่น อาร์เจนตินาและเวเนซุเอลา ต้องเผชิญภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นทันทีเมื่อดอลลาร์แข็งค่า เพราะต้นทุนการชำระหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไมเคิล ฮัดสัน (Michael Hudson) นักเศรษฐศาสตร์ด้านการเงินระหว่างประเทศ ได้เปรียบเทียบบทบาทของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลกยุคปัจจุบันกับ “ลัทธิอาณานิคมทางเศรษฐกิจ” โดยชี้ว่าสหรัฐฯ ส่งออกเงินเฟ้อไปยังต่างประเทศผ่านสองกลไกสำคัญ ได้แก่ การทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงซึ่งส่งผลให้มูลค่าทุนสำรองของประเทศอื่นที่ถือครองเป็นดอลลาร์ลดลงตามไปด้วย
เสมือนเป็นการดูดซับความมั่งคั่งจากประเทศเหล่านั้น และอีกกลไกหนึ่งคือ การเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดจากสภาพคล่องล้นเกินในตลาดโลก ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนของราคาสินค้าจำเป็นและกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศผู้นำเข้าอย่างรุนแรง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากจึงเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางนโยบาย กล่าวคือ ในด้านหนึ่งพวกเขาจำเป็นต้องถือครองเงินดอลลาร์สำรองไว้จำนวนมากเพื่อป้องกันความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเงินที่อาจเกิดขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง การพึ่งพาเงินดอลลาร์มากเกินไปก็เสี่ยงต่อการถูกกระทบจากนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และอาจถูกตัดออกจากระบบการค้าและการเงินระหว่างประเทศได้หากดำเนินนโยบายขัดแย้งกับวาระของวอชิงตัน
แม้จะมีความพยายามจากหลายประเทศในการลดบทบาทของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลก แต่มาตรการเหล่านี้ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ตัวอย่างเช่น จีนได้พยายามส่งเสริมการใช้เงินหยวนในโครงการ Belt and Road Initiative รวมถึงในการชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ ทว่าข้อจำกัดด้านการเปิดเสรีตลาดการเงินและการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนยังเป็นอุปสรรคสำคัญ
ขณะที่หลายประเทศ เช่น อินเดียและบราซิล เริ่มทดลองใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศโดยไม่ผ่านดอลลาร์ แต่ยังขาดมาตรฐานสากลที่ชัดเจนซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในระดับโลก นอกจากนี้ แม้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จะส่งเสริมการใช้ “สิทธิพิเศษถอนเงิน” หรือ Special Drawing Rights (SDR) เป็นทรัพยากรทางการเงินระหว่างประเทศทางเลือก ทว่า SDR ยังคงจำกัดอยู่ในฐานะหน่วยบัญชีมากกว่าจะเป็นสกุลเงินที่ใช้หมุนเวียนจริงในการค้าระหว่างประเทศ
เคนเน็ธ โรโกฟฟ์ (Kenneth Rogoff) นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การลดบทบาทของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลกเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเนื่องจากสามปัจจัยสำคัญ ได้แก่ เครือข่ายความคุ้นเคยที่สั่งสมมายาวนานในการใช้ดอลลาร์ในการซื้อขายสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ เช่น น้ำมันและอาวุธ ระบบตลาดทุนของสหรัฐฯ ที่มีความลึกและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก และสุดท้ายคือ อำนาจทางทหารและภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่สามารถบังคับใช้มาตรการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น การคว่ำบาตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากปัจจัยเหล่านี้ ระบบการเงินระหว่างประเทศในปัจจุบันจึงยังคงเป็นโครงสร้างที่มอบอภิสิทธิ์อย่างชัดเจนให้กับสหรัฐอเมริกา ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ต้องแบกรับความเสี่ยงและต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระบบซึ่งตนเองไม่สามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามในการเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง การค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่น หรือการออกแบบเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบการเงินโลกยังคงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและระยะเวลาที่ยาวนาน
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ประชาคมโลกจะสามารถร่วมกันออกแบบระบบการเงินระหว่างประเทศที่ยุติธรรม กระจายอำนาจ และมีเสถียรภาพมากกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่ ก่อนที่ความไม่สมดุลเหล่านี้จะนำไปสู่ความปั่นป่วนในระดับที่รุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
Eichengreen, B. (2011). Exorbitant Privilege: The Rise and Fall of the Dollar and the Future of the International Monetary System. Oxford University Press.
Hudson, M. (2003). Super Imperialism: The Origin and Fundamentals of U.S. World Dominance. Pluto Press.
Rogoff, K. (2019). “De-dollarization is still far off.” Project Syndicate.
Triffin, R. (1960). Gold and the Dollar Crisis. Yale University Press.
โฆษณา