เมื่อวาน เวลา 04:00 • ธุรกิจ

เทียบฟอร์ม รายได้-กำไร ปี 2567 '5 ยักษ์สุกี้ไทย'

หม้อสุกี้เดือดทะลุปรอท! เปิดรายได้ “5 ยักษ์สุกี้” พบ “สุกี้ตี๋น้อย” โตขึ้นทุกปี กวาดกำไรทะลุพันล้านเป็นปีแรก ฝั่งลัคกี้สุกี้ มาทีหลังแต่ผ่านหลักไมล์พันล้านเรียบร้อย จับตาพี่ใหญ่ “เอ็มเค” ปรับตัวหนัก ทำโปรบุฟเฟ่ต์-เจาะรีเทล ยอมรับ ปีนี้ธุรกิจอาหารไม่สดใส ท้าทายมากกว่าเดิม
แม้อาหารประเภทสุกี้ชาบูจะไม่ใช่ “Everyday Food” ที่กินได้ทุกวัน แต่ตลาดนี้กลับมีผู้เล่นที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ย้อนกลับไป 20 ปีก่อนหน้าร้านสุกี้ชาบู มี “บิ๊กเพลย์เยอร์” เพียงไม่กี่ราย แต่หลังจากการมาถึงของ #สุกี้ตี๋น้อย แลนด์สเคปสมรภูมิหม้อต้มก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ด้วยราคาที่จับต้องได้บวกกับจุดยืนแบบบุฟเฟ่ต์จึงให้ความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็เกิดร้านสุกี้ชาบูอีกนับสิบนับร้อยแห่ง โดยมี “สุกี้ตี๋น้อย” ขยับเข้าสู่ “Winning Zone” ในฐานะบิ๊กเพลย์เยอร์รายใหม่
ตั้งแต่ลั่นระฆังเปิดทำการในปี 2561 ผลประกอบการของสุกี้ตี๋น้อยภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เติบโตขึ้นทุกปี ปีล่าสุดมีรายได้ 7,075 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าราว 34% พร้อมกับกำไรสุทธิอีก 1,168 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีแรกที่ทำกำไรทะลุหลักพันล้านบาทสำเร็จ
ขณะที่ตัวใหญ่อย่างเอ็มเค เจอโจทย์หินมาหลายปี สะท้อนจากการเดินหมากของทายาทรุ่นที่ 2 ทั้งการจัดโปรบุฟเฟ่ต์ เพิ่มไลน์อาหารจานเดี่ยว และที่สร้างความฮือฮามากที่สุดน่าจะเป็นการตัดสินใจนำอาวุธลับบุกรีเทล ตั้งแต่น้ำจิ้มเอ็มเค ชุดผักเอ็มเค และเร็วๆ นี้ยังมีแผนนำบะหมี่เป็ดย่างแพ็คกล่องในรูปแบบ “Ready to eat” ด้วย
หลังจาก “ฤทธิ์ ธีระโกเมน” เจ้าพ่ออาณาจักรเอ็มเค กรุ๊ป ประกาศส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายปี 2567 ทิศทางธุรกิจสุกี้เบอร์ 1 ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการทำแคมเปญสื่อสารถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านโซเชียลมีเดีย รวมถึงแผนบุกรีเทลด้วยการดึง “Hero Product” ออกมาวางขาย
ในเชิงตัวเลข “เอ็มเค” ยังครองส่วนแบ่งตลาดสุกี้เกินครึ่งด้วยสัดส่วน 60% จากมูลค่าตลาดสุกี้ชาบู 23,000 ล้านบาท ทว่า ตัวเลขนี้ก็ไม่อาจทำให้บิ๊กแบรนด์นิ่งนอนใจ หลายสิบปีที่ผ่านมา “เอ็มเค” ยืนหนึ่งเป็นเชนสุกี้เจ้าตลาดเพียงรายเดียว
แต่ภายหลังทศวรรษ 2560 การมาถึงของ “สุกี้ตี๋น้อย” ก็ถูกยกเป็นคู่เทียบกับเชนเจ้าตลาดเรื่อยมา เดินเกมด้วยกลยุทธ์บุฟเฟ่ต์ในราคาเอื้อมถึง ปักหมุดแบบป่าล้อมเมืองด้วยพื้นที่นอกห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก และที่สำคัญ โมเดลเปิดร้านลากยาวไปจนถึงเวลา 05.00 น. ยังเป็นข้อจำกัดที่สุกี้เจ้าตลาดไม่เคยทำมาก่อนด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ใต้ร่มใหญ่ตลาดสุกี้ชาบูเหมือนกัน แต่จุดยืนทั้งสองแบรนด์มีความแตกต่าง “เอ็มเค” จับกลุ่ม “Medium to high” ขณะที่ “สุกี้ตี๋น้อย” ครองตลาดแมส แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกลุ่มกลางค่อนบนเองก็ถูกฝั่งแมสยื้อแย่งไปเป็นลูกค้าอยู่ไม่น้อย “เอ็มเค” จับสัญญาณความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ ทำให้ในปี 2567 ยักษ์สุกี้ปล่อยไวรัลคอนเทนต์ออกมาหลายระลอก
ภายใต้การสื่อสารที่ต้องการสร้างเอนเกจเมนต์-ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น ไล่มาตั้งแต่เปลี่ยนชื่อร้านเป็น “มงคล” (MongKol) รับเทศกาลตรุษจีน สร้างเทมเพลตกราฟิกน้ำจิ้ม ออกแคมเปญสุกี้ชุดเมษารวมญาติ ทำเมนูสุกี้ผัดแห้ง และล่าสุดกับโปรโมชันบุฟเฟ่ต์ 299 บาท
ถึงอย่างนั้นก็ยังพบว่า กระแสตอบรับจากฝั่งผู้บริโภคไม่เป็นไปในทิศทางบวกมากนัก หลายคนมองว่า แคมเปญที่ออกมาเป็นการ “เกาไม่ถูกที่คัน” เพราะความท้าทายของเอ็มเค คือเรื่องราคาและคุณภาพสินค้าที่ผู้บริโภคบางส่วนมองว่า ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่า แม้จะมีโปรโมชันบุฟเฟ่ต์ 299 บาท แต่ความไม่พร้อมของส่วนงานโอเปอเรชันหลังบ้านได้สร้างผลสะเทือนจนเกิดเป็นความเห็นเชิงลบมากกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะเดียวกันขนาดของธุรกิจเอ็มเคยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งเรื่องจำนวนสาขาที่ปัจจุบันมีมากถึง 448 แห่ง กับจำนวนพนักงานราว 25,000 คน เมื่อพลิกดูตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปีที่แล้ว “เอ็มเค” มีรายได้ 13,778 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,771 ล้านบาท พร้อมกับรายจ่ายรวมที่ 11,682 ล้านบาท
หากนำตัวเลขกำไรสุทธิมาคำนวณสัดส่วนต่อสาขาพบว่า ร้านเอ็มเค 1 แห่ง ทำกำไรได้ราว 3.9 ล้านบาท ขณะที่ฝั่งสุกี้ตี๋น้อยมีกำไรสุทธิ 1,168 ล้านบาท กับจำนวนสาขา 82 แห่ง (ตัวเลข ณ สิ้นปี 2567) เท่ากับว่า หนึ่งสาขาของสุกี้ตี๋น้อยทำกำไรได้ราว 14 ล้านบาท เป็นไปได้ว่า นี่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เอ็มเคไม่สามารถดั๊มป์ราคามากกว่านี้ได้ แม้จะเป็นการปรับเกมสู่สมรภูมิบุฟเฟ่ต์แล้วก็ตาม ด้วยปัจจัยเรื่องต้นทุนที่ยากจะควบคุม ซึ่งก็รวมไปถึงค่าเช่าพื้นที่ที่ส่วนใหญ่ปักหมุดอยู่ในห้างสรรพสินค้าแทบทั้งสิ้น
โฆษณา