11 มิ.ย. เวลา 13:42 • หนังสือ

บทที่ 9: ความเชื่อ หรือความงมงาย

📌เส้นแบ่งที่เลือนราง
ระหว่างความเชื่อและความงมงายมีเส้นแบ่งที่เลือนลางมาก สิ่งที่คนหนึ่งเรียกว่า "ศรัทธา" คนอื่นอาจเรียกว่า "อนธศรัทธา" สิ่งที่บางคนเรียกว่า "การมีใจเปิดกว้าง" บางคนอาจเรียกว่า "ความโง่เขลา"
ในพุทธศาสนา เราได้ยินเรื่องราวมากมายที่ดูเหมือนขัดต่อเหตุผล การที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสวรรค์เพื่อแสดงธรรมแก่พระมารดา การมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ การเกิดซ้ำ การมีกรรมจากชาติก่อน
พุทธศาสนิกชนหลายคนดิ้นรนกับคำถามว่า ควรจะเชื่อเรื่องเหล่านี้มากแค่ไหน หากเราไม่เชื่อ เราจะยังเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีได้หรือไม่? หากเราเชื่อ เราจะไม่กลายเป็นคนงมงายหรือ?
ความจริงคือ การเชื่อและไม่เชื่ออาจเป็นความงมงายได้ทั้งคู่ หากเราไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อด้วยปัญญา
V
📌ความงมงายของการเชื่อ
การเชื่อแบบงมงายเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ใช้ปัญญาตรวจสอบ เพียงเพราะมีคนบอกเรา เพียงเพราะเขียนไว้ในหนังสือ เพียงเพราะคนส่วนใหญ่เชื่อ หรือเพียงเพราะเราอยากเชื่อ
เราอาจเชื่อว่าการทำบุญจะทำให้เราร่ำรวย โดยไม่เข้าใจว่าความร่ำรวยที่แท้จริงคืออะไร เราอาจเชื่อว่าการสวดมนต์จะป้องกันอันตราย โดยไม่เข้าใจว่าอันตรายที่แท้จริงมาจากไหน
เราอาจเชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะมาช่วยเราเมื่อเราอยู่ในอับจน โดยไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าได้ช่วยเราแล้วโดยการประทานหลักธรรมที่เราสามารถช่วยตัวเองได้
การเชื่อแบบงมงายทำให้เราพึ่งพาสิ่งภายนอก แทนที่จะพึ่งพาปัญญาของตัวเอง ทำให้เรากลายเป็นทาสของความเชื่อ แทนที่จะเป็นผู้นำชีวิตตัวเอง
ความงมงายของการเชื่อคือการให้ความเชื่อควบคุมชีวิตเรา แทนที่จะให้ปัญญาเป็นผู้นำ
V
📌ความงมงายของการไม่เชื่อ
การไม่เชื่อก็อาจเป็นความงมงายเช่นกัน หากเราปฏิเสธทุกสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เราอาจพลาดความจริงหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้
เราอาจปฏิเสธประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของตัวเองและของคนอื่น เพียงเพราะมันไม่เข้ากับกรอบความคิดที่เราคุ้นเคย เราอาจปิดใจต่อความเป็นไปได้ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจปัจจุบันของเรา
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เองก็เริ่มค้นพบสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เช่น การพัวพันกันของอนุภาคในระดับควอนตัม การที่จิตใจมีผลต่อสสาร การที่ข้อมูลไม่สามารถทำลายได้
การปฏิเสธทุกสิ่งที่เราไม่เข้าใจเป็นความงมงายในรูปแบบของความเย่อหยิ่ง เป็นการคิดว่าสิ่งที่เรารู้คือสิ่งเดียวที่มีอยู่ในจักรวาล
ความงมงายของการไม่เชื่อคือการปิดกั้นตัวเองจากความเป็นไปได้ที่อยู่นอกเหนือความรู้ปัจจุบัน
V
📌ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อสิ่งใดเพียงเพราะได้ยินมา อ่านมา หรือคนอื่นบอกมา ให้ใช้ปัญญาตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่พระองค์ก็ไม่ได้สอนให้เราปฏิเสธทุกสิ่งที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ทันที
ปัญญาแท้จริงคือการมีใจเปิดกว้างแต่ไม่ไร้วิจารณญาณ การพร้อมที่จะพิจารณาความเป็นไปได้ต่างๆ แต่ไม่ยอมรับทุกอย่างโดยไม่ไตร่ตรอง
เมื่อเราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ เราไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือไม่เชื่อทันที เราสามารถถือเอาใจเป็นกลาง และถามตัวเองว่า "เรื่องนี้มีประโยชน์อะไรต่อการปฏิบัติธรรมของฉัน?"
หากเรื่องราวนั้นช่วยให้เราเกิดศรัทธาในหลักธรรม เกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติ หรือเปิดใจต่อความเป็นไปได้ที่ลึกซึ้งกว่าความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน มันก็มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม
ปัญญาไม่ได้บอกเราว่าจะเชื่ออะไร แต่บอกเราว่าควรใช้ความเชื่อนั้นอย่างไร
V
📌ศรัทธาที่แท้จริง
ศรัทธาในพุทธศาสนาไม่ได้หมายความว่าการเชื่อโดยไม่ไตร่ตรอง แต่หมายความว่าความเชื่อมั่นที่เกิดจากการทดลองและการได้ประสบผลด้วยตัวเอง
เมื่อเราปฏิบัติตามหลักธรรมและเห็นผล เราจะเกิดศรัทธาในหลักธรรมนั้น ไม่ใช่เพราะมีคนบอกว่าดี แต่เพราะเราได้ลองแล้วและรู้ด้วยตัวเองว่าดี
เมื่อเราฝึกสติและพบว่าจิตใจสงบขึ้น เราจะเกิดศรัทธาในการฝึกสติ เมื่อเราปฏิบัติเมตตาและพบว่าความสัมพันธ์ดีขึ้น เราจะเกิดศรัทธาในการปฏิบัติเมตตา
ศรัทธาที่แท้จริงเป็นผลจากการรู้และเห็น ไม่ใช่ผลจากการฟังและคิด มันเป็นความเชื่อมั่นที่มั่นคง เพราะมีรากฐานจากประสบการณ์จริง
ศรัทธาที่แท้จริงไม่ได้ทำให้เราปิดตาเชื่อ
แต่ทำให้เราเปิดตาดู
V
📌ความสมดุลระหว่างศรัทธาและปัญญา
การใช้ชีวิตอย่างมีสมดุลระหว่างศรัทธาและปัญญาคือการเปิดใจต่อความเป็นไปได้ แต่ยังคงใช้วิจารณญาณ เป็นการมีศรัทธาในหลักธรรมพื้นฐาน แต่ยังคงใช้ปัญญาในการประยุกต์ใช้
เราอาจมีศรัทธาว่าการปฏิบัติธรรมจะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง แต่ใช้ปัญญาในการหาวิธีปฏิบัติที่เหมาะกับสภาพชีวิตของเรา เราอาจมีศรัทธาว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งดี แต่ใช้ปัญญาในการหาวิธีช่วยเหลือที่เกิดประโยชน์จริงๆ
เราอาจยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องชาติภพ แต่เราปฏิบัติตัวเหมือนกับว่าการกระทำของเรามีผลต่อไปยังอนาคต เราอาจยังไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน แต่เราปฏิบัติเพื่อลดความทุกข์ในชีวิตปัจจุบัน
ความสมดุลระหว่างศรัทธาและปัญญาทำให้เราสามารถเดินบนเส้นทางธรรมได้อย่างมั่นคงแต่
ยืดหยุ่น
📌เมื่อความเชื่อเป็นอุปสรรค
บางครั้งความเชื่อที่เราถือมั่นมานานกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ เมื่อเราเชื่อว่าเราเข้าใจธรรมะแล้ว เราอาจหยุดเรียนรู้ เมื่อเราเชื่อว่าเราเป็นคนดีแล้ว เราอาจหยุดพัฒนาตัวเอง
เมื่อเราเชื่อว่าวิธีปฏิบัติของเราถูกต้องแล้ว เราอาจปฏิเสธวิธีอื่นที่อาจเหมาะกับเราขึ้น เมื่อเราเชื่อว่าครูของเราสมบูรณ์แบบ เราอาจไม่เห็นข้อผิดพลาดที่เราควรเรียนรู้จากครู
ในช่วงเวลาเหล่านี้ เราต้องกล้าที่จะปล่อยวางความเชื่อเก่า เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับความเข้าใจใหม่ เราต้องยอมรับว่าความรู้ของเราไม่สมบูรณ์ ความเข้าใจของเราอาจผิด และยังมีอีกมากมายที่เราไม่รู้
การปล่อยวางความเชื่อไม่ได้หมายความว่าการทิ้งศรัทธา แต่หมายความว่าการทำให้ศรัทธานั้นบริสุทธิ์ขึ้น
V
📌ความเชื่อเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย
ในที่สุด เราต้องเข้าใจว่าความเชื่อเป็นเพียงเครื่องมือในการเดินทางทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เป้าหมายของการเดินทาง
เป้าหมายคือการตื่นรู้ การเข้าใจ การหลุดพ้นจากความทุกข์
ความเชื่อที่ดีคือความเชื่อที่ช่วยให้เราเติบโต ช่วยให้เรา
ปฏิบัติธรรม ช่วยให้เราเป็นคนดีขึ้น ความเชื่อที่ไม่ดีคือความเชื่อที่ทำให้เราหยุดนิ่ง ทำให้เราเป็นคนโหดร้าย หรือทำให้เราปิดใจต่อความจริง
เราควรใช้ความเชื่อเหมือนกับการใช้แพ ขณะที่เราข้ามแม่น้ำ แพมีประโยชน์มาก แต่เมื่อข้ามแม่น้ำแล้ว เราไม่จำเป็นต้องแบกแพไปด้วย
เช่นเดียวกัน เมื่อเราได้รับประสบการณ์และความเข้าใจโดยตรง เราอาจไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความเชื่อเดิมอีกต่อไป
ความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความเชื่อในความสามารถของตัวเราเองที่จะตื่นรู้และเข้าใจความจริง
V
โฆษณา