11 มิ.ย. เวลา 13:44 • ปรัชญา
กรรมนั่น กายวาจาใจนั้น เราเป็นคนทำเอง .อารมณ์กรรมโลกโกรธหลง ก็เกิดขึ้นที่กายเราเอง .มันพาไปทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ จริงมั้ย หรือว่าไม่จริง .ความลับไม่มีในโลกจริงหรือ .
ความจริง นั่นคืออะไร ..เราจะครวจสอบได้ที่ไหน ..มันมีเรื่องหนึ่ง ที่ธาตุทั้งสี่ บันทึกไว้ จิตแต่ละดวงนั่น ก็มีเรื่องราวของธาตุทั้งสี่ ที่ว่า แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย หรือที่เรียกว่า ธาตุุทั้งสี่ มาประชุมกัน เสมือนว่า เป็นดินฟ้าอากาศ สิ่งที่เราเคยทำไว้ กับพระแม่ทั้งสี่ บันทึกเรื่องราวต่างๆ ก็เหมือนดินฟ้าอากาศบันทึก ถ่ายทำ ส่องลงมาที่กาย ที่ประชุมกัน .
กายนี้ ..เหมือนเป็นเสมือนของสมมุติ ตั้งขึ้นมา ..มีอารมณ์กรรมต่างๆ เกิดขึ้น ต้องกินต้องนอน ต้องทำมาหากิน มีอารมณ์โลภโกรธหลงที่เกิดขึ้นในกาย อารมณ์ตัณหาราคะเกิดขึ้น จิตก็ใช้กายไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น จะไปใช้กายวาจาใจ มีเสียงกระแอมกระไอ้ ร้องครวญคราง ร้องห่มร้องไห้ ไปติเตียนใครอะไร ไปยึดเจ้าพ่อเจ้าแม่ ดูดวง . อะไรมากมาย ตั้งแต่ได้กายมา ..จนกายนี้ หมดลม ธาตุทั้งสี่ก็แยกจากกัน จิตออกจากกายไป ..ก็ยังมีธาตุุทั้งสี่ที่อยู่กับจิต เป็นหลักฐานกรรมอยู่ ตรงนี่นี่แหละ เมื่อจิตออกจากกาย ธาตุทั้งสี่ ก็นำพาไป
คราวนี้ เราเกิดมา ไม่รู้จักว่า ..แม่ทั้งสี่ นั่นพาไปหา ธาตุนะโม ..ไปฝากธาตุทั้งสองพ่อแม่ ที่จับคู่อยู่ร่วมกัน ธาตุทั้งสี่ก็มาประกอบกับธาตุนะโม ..แล้วแต่ว่าธาตุนั้น จะมีรูปร่างอะไร เป็นคนก็โชคดีหน่อย เป็นหมูหมากาไก่ ก็ต้องไปใช้สัญชาตญาณของรูปนั้นทำมาหากินเลี้ยงสังขาร ก็ต้องอยู่กับสังขารนั้นไปจน หมดสภาพ แล้วก็ไปเกิดใหม่ ..ก็วนเวียนไป คราวนี้ เกิดเป็นหมูหมามันก็สร้างบุญกุศลไม่ได้ ใช้กายวาจาใจ..ไม่ได้ เหมือนสังขารไม่อำนวย คำว่าจะรู้จักพระคุณพ่อแม่ก็ถูกปกปิดไปเลย
จิตที่ได้กายพ่อแม่เป็นมนุษย์นั้น เค้าให้มาแก้ไขตัวเอง ใช้กายวจาใจ ที่ดี เพราะมีสติปัญญา พอที่รู้จักดีชั่วได้
เหมือนว่า พอรู้จักบรรลุนิติภาวะ ก็รู้จักว่า พ่อแม่มีพระคุณ เราก็ รู้ใช้กายวาจาใจที่ดีกับพ่อแม่ เสมือนว่า เราไปทำอะไรไม่ดีกับพ่อแม่ ก็เหมือนทำลายตัวเราเอง เพราะเราใช้ธาตุทั้งสองนี้อยู่ หากเรารู้จัก ใช้กายที่ดีๆกับพ่อแม่ นอบน้อม สิ่งเรานี้ ก็เหมือนดินฟ้าอากาศบันทึกการกระทำของเรา ที่เค้าว่า พ่อแม่เป็นเหมือนพระอรหันตของลูก ลูกไปทำไม่ดีกับพ่อแม่ ชาติต่อไปเค้าก็ ส่งไปให้ธาตุพ่อแม่ที่ไม่ใช่มนุษย์
เรื่องราวที่น่า กลัว ..ก็เรื่องกรรมที่บันทึกลงไปที่ธาตุทั้งสี่ ที่ว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน .จิตเป็นผู้สั่งกาย มีอารมณ์อยากกิน ก็พากายไปกิน ที่นั้นที่นี้ มีกิริยาอะไร เค้าบันทึกหมด แต่จิตก็ไม่สามารถเรียนรู้เข้าไปถึงได้ ..เพราะจิตคนเรานั่น ห่วงกาย ไม่มีกิน ไม่มีที่นอน ..ก็หมกมุ่นกัยเรื่องราวหาเลียงกาย ไปตามอารมณ์ยถากรรม ที่เกิดขึ้นภายในกาย
แล้วจิตนั่นก็ไม่รู้เลยว่า กายวาจาใจ นั่นทำให้เกิดแก่เจ็บตาย อยู่ก็เจ็บป่วยๆ อยู่ก็ก็ตาย ..บ้างก็ว่าเป็นธรรมดา . ก็รู้อยู่แค่นั่น ..ก็เพราะรู้แค่นั้น ..เลยไม่รู้ว่า เมื่อมีกายเป็นมนุษย์ ควรสร้างเรื่องราวดี สร้างกายนั้นให้เกิดเป็นกายบุญ คราวนี้เมื่อเราไม่สร้างบุญกุศลขึ้นมา เราก็ไม่มีโอกาสมีกายเป็นบุญ ที่จะช่วยพยุงจิต .บรรเทาเบาบางจากวิบากกรรม ที่ต้องเจอะเจอ
เมื่อมีกายเป็นมนุษย์ ที่น่าเสียดาย ก็ตรงที่เมื่อหมดกายไปแล้ว มันน่ากลัวมากๆๆ ..กลัวความจริง ..ที่มีกายมา มีแต่กรรม มีโอกาสสร้างบุญกุศลบารมี กลับไม่ทำ . นี่หากเรา ได้เรียนรู้ว่า ผู้ที่ว่า ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ..หลงคิดว่าดี เป็นเกจิอาจารย์ พอจิตออกจากร่างไปไหน .ไปลงนรก ..ตกนรกยิ่งกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไปอีก
เวลาไปงานศพ บางทีได้เห็นคนตาย ที่จริงออกจากร่างไป .. ขันธ์ห้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปเปรต ..เอ้านี่ เรื่องจริงหรือ หรือว่า ภาพมายา ตรงนี้แหละที่น่่ากลัว เมื่อต้องเปลี่ยนแปลงไป เห็นใครมีบุญ ก็เรียกร้อง ช่วยด้วยๆ ขอบุญฉันบ้าง ..แล้วถามว่า จ้ตที่้ไม่มีกายเป็นมนุษย์แล้ว เป็นนามธรรม เค้าเห็นมนุษย์เป็นอย่างไรกัน ..?? ต่างกันด้วยมิติของธาตุไปแล้ว .
บางที่คนเราก็เกิดมาดี ครบอาการสามสิบสอง ก็ทำอะไรได้ดังใจ อยู่ๆ กรรมก็ตัดรอน ..ให้ชีวิตต้องผจญความยากลำบาก ให้ทุกข์ทรมาน ..บ้างก็ที่ครบอาการสามสิบสอง ก็ค่อยละลายหายไป กายกรรม..ก็มันเป็นกรรม ก็ต้องมีเรื่องราวนั้นนี่ให้ทุกข์ทรมาน เหน็ดเหนื่อยกาย .มันก็ค่อยเสื่อมไปเรื่อย ..บ้างที่ตัดรอน .ฉันพลัน .ตาย .
คนเรานั่นมันแปลก ยิ่งสร้างกรรม ยิ่งโลภมาก มันก็ยิ่งไม่รู้จักกรรม กรรมมันปิดสนิท ..ดีชั่วรับรู้ไม่ได้เลย ..มันก็หลงดี ..สร้างกรรมให้มากๆ เข้าไว้ ..ไม่คิดว่า จะตายเวลาไหน ..จิตออกจากร่างเมื่อไหร่ . ไปอยู่ที่ไหน.. อยู่ในนรก ..อยู่อีกนานมั้ย ..หนึ่งกัปป หนึ่งอสงไขย .. เพราะความโลภ พาไปอยู่กับทุกข์ยาวนาน
พระที่เรานับถือ ท่านอธิฐานไว้ เจ็บป่วยไม่บอกใคร ..ท่านมีความขันติอดทนมากๆ เราเห็นท่าน กระดูกสันหลัง เคลื่อนออกไม่อยู่ในแนวตรง เคยกระเพาะทะลุ สลบไปมีคนมาเจอ หากเรามาดูผิวเผิน ว่าท่านอดทนเก่งน่ะ ท่านบอกว่า ฉันไม่ได้อดทนอย่างนั้น ฉันทำเพื่อให้เกิดปัญญา รู้จักความทุกข์ที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร แล้วคนเราก็ไม่รู้จักทุกข์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร จึงไม่กลัว .ที่จะหนีทุกข์ . ไปหาสุข ..สุขที่แท้จริง สุขที่กายเป็นธรรม จิตเป็นธรรม หลุดพ้นยุติการเกิดได้
. เรื่องราวหนึ่งที่เราก็คงได้ยิน เรื่องราวของพระอรหันต์ …แต่ก็ไม่เคยเจอะเจอท่าน พอเจอพระที่ท่านเมตตา สอนให้ ชี้ เหตุผลเรื่องราวต่างๆให้ฟัง ชี้ว่า ทำอย่างไร จึงจะหนีทุกข์
ท่านบอกให้ฝึกหัด ทำจิตนอบน้อม .นั่งพับเพียบ ทำกายให้นิ่ง จิตนิ่ง ..ภาวนา พุทโธ ..เค้าก็กลัวกัน ..ทำไม่ได้.. กลัวกายมันทุกข์ทรมานตาย ..เค้ากลัว ความทุกข์ แต่ไม่รู้จักทุกข์ ..นั่นก็ความขันติ ความเพียร ที่จะทำให้จิตนั่น รู้จักทุกข์ รู้จักอารมณ์กรรม ที่เป็นเรื่องปัญญาของจิต มันเกิดขึ้นไม่ได้เลย . จิตนั้น..ก็มีแต่กรรม ที่กรรมนั้นให้ปัญญาเสมือนรู้ดีหลงใหลในอารมณ์ในตัวตนที่อาศัยกาย จิตที่ไม่รู้จักทุกข์ที่แท้จริง ก็ไม่เกรงกลัว เกิดตายๆ นับชาติไม่ได้เลย
โฆษณา