12 มิ.ย. เวลา 02:15 • หุ้น & เศรษฐกิจ

การออมเงิน และการลงทุน มีวัตถุประสงค์ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันอน่างชัดเจน

การออมเงิน (Saving)
การออมเงิน คือ การเก็บเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ที่ได้รับมาในปัจจุบัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้จ่ายในอนาคต โดยทั่วไปแล้ว การออมเงินจะเน้นไปที่การรักษาเงินต้นให้ปลอดภัย และมีสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถนำเงินออกมาใช้ได้ง่ายเมื่อจำเป็น
ตัวอย่างการออมเงิน:
- การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์
- การฝากประจำ
- การซื้อสลากออมสิน/สลาก ธ.ก.ส.
- การเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน
ข้อดี
ความเสี่ยงต่ำ: เป็นการเก็บเงินที่เน้นความปลอดภัยของเงินต้นเป็นหลัก ทำให้โอกาสเสียเงินต้นมีน้อย
สภาพคล่องสูง: สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ง่ายและรวดเร็ว
สร้างวินัยทางการเงิน: ช่วยให้รู้จักจัดสรรเงินและมีวินัยในการใช้จ่าย
เข้าถึงง่าย: ทุกคนสามารถเริ่มต้นออมเงินได้ง่ายๆ ผ่านธนาคารหรือการเก็บด้วยตนเอง
ข้อเสีย
ผลตอบแทนต่ำ: โดยส่วนใหญ่แล้ว ผลตอบแทนที่ได้จากการออมเงิน จะไม่สูง
อาจแพ้อัตราเงินเฟ้อ: ดอกเบี้ยที่ได้รับอาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับอัตราเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินลดลง
เงินเติบโตช้า: การออมเงินอย่างเดียวอาจทำให้เงินเติบโตไม่ทันเป้าหมายทางการเงินระยะยาว
การลงทุน (Investing)
การลงทุน คือ การนำเงินที่เก็บสะสมไปใช้เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต โดยมักจะมีการยอมรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง เพื่อให้เงินนั้นงอกเงยและเพิ่มมูลค่าขึ้น
ตัวอย่างการลงทุน:
- การซื้อหุ้น (ลงทุนในกิจการของบริษัท)
- การซื้อกองทุนรวม (รวมเงินจากนักลงทุนหลายคนไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ)
- การซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ (ให้เงินกู้แก่รัฐบาลหรือบริษัท เพื่อรับดอกเบี้ย)
- การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (เช่น ซื้อบ้าน คอนโด เพื่อปล่อยเช่าหรือขายทำกำไร)
- การลงทุนในทองคำ หรือสินทรัพย์อื่นๆ
ข้อดี
โอกาสสร้างผลตอบแทนสูง: มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการออมเงินมาก
เอาชนะเงินเฟ้อได้: ผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินเพิ่มขึ้น
เงินงอกเงย: ช่วยให้เงินทำงานแทนเรา และเติบโตไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ใหญ่ขึ้น
ข้อเสีย
ความเสี่ยงสูง: การลงทุนมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน ยิ่งผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงตาม
ต้องใช้ความรู้และเวลา: การลงทุนที่ดีต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่ลงทุน และการติดตามภาวะตลาดอย่างสม่ำเสมอ
สภาพคล่องอาจต่ำ: สินทรัพย์บางประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
จุดสมดุลที่สำคัญ
หัวใจสำคัญของการบริหารเงินคือการหา จุดสมดุล ระหว่างการออมและการลงทุน:
มีเงินออมสำรองฉุกเฉิน: อย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อความมั่นคงในชีวิต
ลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว: เมื่อมีเงินออมสำรองเพียงพอแล้ว ค่อยนำเงินส่วนเกินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายของคุณ
โฆษณา