Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คาลอส บุญสุภา
•
ติดตาม
12 มิ.ย. เวลา 03:56 • ปรัชญา
ปล่อยพื้นที่ว่างให้เวทมนตร์ทำงาน: สกัดนวัตกรรมจากความบังเอิญ
ตลอดการทำงานทั้งในฐานะครูการศึกษาพิเศษ การเรียนในระดับปริญญาตรี โท และเอก รวมไปถึงการเขียนบทความต่าง ๆ หลายครั้งไอเดียมากมายที่เกิดขึ้น เริ่มมาจากความบังเอิญ มันคือการที่เรามุ่งหมายเพื่อจะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ แต่กลับได้ผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น ผมกำลังเขียนบทความเกี่ยวกับการปรับพฤติกรรมของเด็กที่มีภาวะออทิซึมเปกตรัม ในระหว่างที่กำลังเขียนมากลับ "ปิ้ง" ไอเดียน่าสนใจ จึงเปลี่ยนเรื่องมาเขียนเกี่ยวกับปัญหาพฤติกรรมและความอ้วนที่เกิดจากการบริโภคอาหารปรุงแต่งขั้นสูงของเด็กที่มีภาวะออทิซึมฯ แทน
ผมเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับผู้อ่านทุกท่าน เพราะโลกไม่เคยขาดนวัตกรรมที่บังเอิญเกิดตรงทางเบี่ยงของเป้าหมายเดิม เช่นเดียวกับบุคคลสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ นับจากวันที่นักเล่นแร่แปรธาตุจีนสมัยราชวงศ์ถังลุกขึ้นผสมดินประสิว กำมะถัน และถ่านไม้เพื่อไล่ล่าตำรับยาอมตะ แต่กลับได้ดินปืนมหาศาสตราแทน การเกิดขึ้นของเพนิซิลลินก็เช่นเดียวกัน มันเกิดจากการเพราะเชื้อราที่อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิงลืมล้างจานทดลอง
พลาสติกสังเคราะห์เกิดเมื่อเลโอ เบเคแลนด์กำลังพยายามหาวิธีเคลือบฉนวนไฟฟ้า กระดาษโพสต์ อิทกำเนิดเพราะกาวที่ไม่เหนียวพอของ สเปนเซอร์ ซิลเวอร์ และแม้แต่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจก็ถูกจุดประกายจากขดลวดที่วิศวกรทำวงจรไฟฟ้าผิดทาง จึงน่าฉงนใจว่านวัตกรรมเปลี่ยนโลกอีกกี่ชิ้นที่อาจซ่อนอยู่ แต่หลุดรอดสายตาเพราะเราก้มหน้าดันทุรังไล่ตามแผนเดิมจนมองไม่เห็นความประหลาดใจที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ผมไม่ได้คิดเป็นตุเป็นตะนะครับ แต่นักประดิษฐ์หลายคนบันทึกประสบการณ์คล้ายกัน พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่า เซเรนดิพิตี (Serendipity) มีที่มาจาก The Three Princes of Serendip คือนิทานเรื่องหนึ่งจากวัฒนธรรมเปอร์เซียโบราณ ซึ่งเล่าถึงเจ้าชายสามพระองค์ที่เดินทางผจญภัยและมักจะพบสิ่งดี ๆ โดยไม่คาดฝัน (โชคดีที่บังเอิญค้นพบ) เซเรนดิพิตีจึงมีความหมายว่า "การพบสิ่งที่ต้องการหรือสิ่งที่น่าพอใจโดยบังเอิญหรือโดยไม่คาดหวัง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและมักนำไปสู่ความสุขหรือความสำเร็จที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อน"
ปาสเตอร์ลืมฉีดเชื้อให้กระต่าย ทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวัคซีนพิษสุนัขบ้า
นักประดิษฐ์มากมายอธิบายเพิ่มเติมว่า เซเรนดิพิตี เกิดเมื่อเราเดินเข้าสู่สนามทดลองด้วยเครื่องหมายคำถามไม่ใช่เคล็ดลับสำเร็จรูป เมื่อนานมาแล้วในสมัยที่เรายังเป็นเด็ก เราหยิบ กด ดม ผสม แล้วตาโตกับสิ่งผิดคาด แต่เมื่อโตขึ้น ระบบการศึกษาและโลกรายงานผลลัพธ์วัดได้ ทำให้เราค่อย ๆ สร้างทางด่วนทางอคติที่มองหาแต่ข้อมูลที่ยืนยันสิ่งที่คิดไว้แล้ว (Confirmation bias) นั่นคือจุดที่นวัตกรรมเริ่มเหี่ยว เพราะเราเผลอคัดทิ้ง “เมล็ดพันธุ์” ที่ยังดูไร้ค่าไปเสียก่อน
งานวิจัยด้านความคิดสร้างสรรค์เรียกช่วงแรกของกระบวนการว่า Divergent phase คือเวลาที่เราอนุญาตให้ทุกความเป็นไปได้โตปะทุโดยยังไม่ตัดสิน แต่ปัญหาคือในวัฒนธรรมเร่งสปีดปัจจุบัน เรามักรีบเข้าสู่ Convergent phase คัดกรอง สรุป และเสนอเร็วเกินไป ทั้ง ๆ ที่กระบวนการออกแบบชื่อดังอย่าง Design Thinking ย้ำเสมอว่าข้อมูลแปลกต้องถูกปักหมุดไม่ใช่ขีดฆ่า เพราะมันอาจเป็นประตูบานถัดไปสู่สิ่งที่โลกยังไม่รู้ว่าต้องการ การนำเข้าสู่ข้อสรุปตามสิ่งที่เป็นมา ไม่ต่างจากการที่ตัดเมล็ดพันธุ์ทิ้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันรับแสง
แต่มันยังไม่สายเกินไปที่จะฝึกฝนนะครับ เราสามารถเปิดพิ้นที่ว่างให้เวทมนตร์ทำงานเพื่อพบเจอนวัตกรรมจากความบังเอิญได้ แต่เราจะต้องหัดเปิดพื้นที่ว่างให้เห็น ผมมีข้อเสนอบางอย่างที่น่าสนใจ ที่ผู้อ่านทุกท่านสามารถนำไปทดลองกับตนเองได้
1) กำหนดกรอบเป้าหมายกว้าง แล้วเว้นพื้นที่ 20% สิ่งนี้ทำให้บริษัทอย่างกูเกิลประสบความสำเร็จมาแล้ว กูเกิลเคยปล่อย “20 percent time” จนก่อกำเนิดจีเมลกับแผนที่ออนไลน์ (Google map) แนวคิดเดียวกันนี้ใช้ได้กับห้องทดลองทุกชนิด รวมถึงโปรเจ็กต์ส่วนตัว
2) ตั้งกติกา “เก็บของแปลก” ให้ผู้อ่านทุกท่านเขียนบันทึกไอเดียหรือผลลัพธ์ผิดคาดแยกไว้ ยังไม่ต้องพิสูจน์ทันที แต่ให้มันอยู่นอกถังขยะข้อมูล จากนั้นให้เอาไอเดียที่ได้ไปชนข้ามสาย นักจิตวิทยาพบว่าแนวคิดใหม่มักเกิดตอนสองสิ่งที่ต่างโดเมนมาชนกัน ผสมผสานกัน เช่น นักเคมีจับมือกับนักดนตรีสร้างเซนเซอร์เสียงตรวจมะเร็ง
3) ฝึกใจกว้างต่อความไม่รู้ ให้ตั้งเวลา 10 นาทีต่อวันให้สมองได้อยู่กับคำถามเปิด เช่น “ถ้า X ใช้งานกลับหัวได้จะเกิดอะไรขึ้น” เพื่อยืดวงจรประสาทรับข้อมูลใหม่ ผมเรียกสิ่งนี้ว่า "What if" มันคือการจินตนาการถึงความเป็นไปได้ของสิ่งต่าง ๆ มันจะเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น
4) คัดกรองทีหลังไม่ใช่ทีแรก หลังจาก Divergent phase ไปแล้วค่อยกลับมาสวมหมวกนักวิเคราะห์ สอบทวนความเป็นไปได้ ใช้ข้อมูลตลาดและต้นทุนมาหั่นทางเลือก เหมือนตัดกิ่งให้ต้นไม้แข็งแรงแทนการถอนต้นออกไปตั้งแต่ยังเป็นเมล็ด ไม่แตกต่างกับ Design Thinking ในขั้นตอนแรกอย่าง "Empathize" ที่เน้นการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เข้าใจปัญหา ความต้องการ อารมณ์ และพฤติกรรมของพวกเขา
ความคิดที่เราเคยมองว่าไร้สาระมากกว่าอาจจะเป็นส่วนผสมสำคัญของนวัตกรรมหลายอย่างในอนาคต ข้อเสนอแนะของผมไม่ได้ทำให้ผู้อ่านลำบากหรือเสียเวลามากมายอะไร แต่เป็นการฝึกฝนที่มีประโยชน์ทั้งต่อสมอง และงานของเรา ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเดินไปตามเส้นทาง ๆ เดิมที่เคย (คิดว่า) สำเร็จ ท่ามกลางความเป็นเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเราฝืนบังคับเมล็ดเล็ก ๆ ให้เดินตรงทางแคบตามเป้าหมายเดิม เราอาจได้ต้นกล้าตามบรรทัดฐานทั่วไป แต่พลาดพันธุ์ไม้มหัศจรรย์ที่เขย่าโลก ปล่อยให้มันแตกยอดสู่ดวงอาทิตย์ตามวิถีของมันก่อน แล้วช่วงคัดแยกจะตามมาทีหลัง บางทีสิ่งที่เรากำลังค้นหาอาจไม่ใช่ยาอมตะ แต่เป็นดินปืนชนิดใหม่ที่จุดประกายนวัตกรรมครั้งถัดไปของมนุษยชาติ
อ้างอิง
Rubin, R. (2023). The Creative Act: A Way of Being. Penguin Press
แนวคิด
ปรัชญา
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย