เมื่อวาน เวลา 03:50 • ไอที & แก็ดเจ็ต

สงคราม "หุ่นยนต์มนุษย์" สหรัฐ VS จีน Top 5 ผู้ผลิต Humanoid ตัวแทนแรงงานยุคใหม่

“ฮิวแมนนอยด์” แม้คำนี้จะทำให้นึกถึง C-3PO ในเรื่อง Star Wars แต่เชื่อหรือไม่ว่าอีกไม่นานหุ่นเหล่านี้อาจจะก้าวออกจากจอภาพยนตร์มาสู่โลกจริง และแม้กระทั่งในบ้านของเรา
เมื่อเทคโนโลยี AI กำลังทำให้หุ่นยนต์มีชีวิตและรัฐบาลกับภาคธุรกิจก็ให้ความสำคัญกับแรงงานอัตโนมัติที่ไม่ต้องกิน นอน หรือหยุดพัก หุ่นยนต์เสมือนมนุษย์จะช่วยโลกแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานจริงหรอ ?
  • “Humanoid” อีกขั้นของวิวัฒนาการหุ่นยนต์
ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังก้าวกระโดดอย่างไม่หยุดยั้ง “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์” กำลังกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจไม่แพ้บรรดาแชตบอตอัจฉริยะ ซึ่งได้กลายเป็นพื้นฐานการประมวลผลสำคัญที่ทำให้ฮิวแมนนอยด์พัฒนาอย่างรวดเร็ว
จากเดิมที่เราอาจเห็นหุ่นยนต์เหล่านี้ที่ออกมาสาธิตการยกแขนยกขา ยกของบ้างบางทีในงานโชว์เทคโนโลยีหรือแม้แต่ Specialized Robots หรือหุ่นยนต์เฉพาะทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในโรงงานและบ้านเรือน เช่น หุ่นยนต์แขนกลหรือหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แต่ปัจจุบันการพัฒนาของ Generative AI ได้เปลี่ยนภาพนั้นไปอย่างสิ้นเชิง
หุ่นยนต์เหล่านี้มีสมรรถนะทางปัญญาและความต้องการใช้งานก็ชัดเจนกว่าที่เคย สามารถตีความภาษา คำสั่ง และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง จากการเทรนข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ทำให้สามารถฝึกฝนทักษะ เรียนรู้ และพัฒนาจากประสบการณ์ผ่านสถานการณ์จริงคล้ายกับการเรียนรู้ของมนุษย์
  • ตลาดมูลค่า 5 ล้านล้าน เป้าหมายบิ๊กเทค
รายงานก่อนหน้านี้จาก Goldman Sachs Research คาดการณ์ว่า ตลาดหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ทั่วโลกอาจมีมูลค่าสูงถึง 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2035 โดยได้รับแรงผลักจากความก้าวหน้าทางของ AI
ขณะที่รายงานล่าสุดของ Morgan Stanley ได้วาดภาพอนาคตที่ “พ่อบ้านแม่บ้านฮิวแมนนอยด์” และแรงงานหุ่นยนต์อัตโนมัติจะกลายเป็นภาพคุ้นตาภายในช่วงทศวรรษ 2030 พร้อมคาดการณ์มูลค่าตลาดฮิวแมนนอยด์จะพุ่งแตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2050 เมื่อจำนวนหุ่นยนต์ทั่วโลกแตะระดับ 1,000 ล้านตัวบนสมมติฐานที่ว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะเข้ามาพลิกโฉมวิถีการใช้ชีวิตและการทำงานของมนุษย์
โดยปัจจุบันหลักฐานที่ชัดที่สุดว่าการปฏิวัติหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์กำลังเกิดขึ้นจริง นั่นก็คือ การหลั่งไหลของเงินลงทุนจากรัฐบาลและบริษัทใหญ่ทั่วโลก บิ๊กเทคและสตาร์ทอัพหุ่นยนต์ต่างพุ่งเป้าไปที่ฮิวแมนนอยด์ เพราะเชื่อว่ามันไม่ใช่แค่หุ่นยนต์ แต่คือ “ตัวแทนแรงงานแห่งอนาคต” ที่พร้อมใช้งานในโลกจริงไม่ใช่แค่ในโรงงานอีกต่อไป
จากการหลอมรวมกันของหุ่นยนต์และ AI ที่ก้าวล้ำ Morgan Stanley เรียกแนวโน้มนี้ว่า “Embodied AI” หรือ “Physical AI” พูดให้เห็นภาพชัดก็คือ AI ที่มีตัวตน มีร่างกาย ฮิวแมนนอยด์จึงไม่ใช่แค่การเลียนแบบมนุษย์ในรูปลักษณ์ แต่เป็นการนำ AI ออกมาสู่โลกจริง และอาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมของเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 จากปัจจัยกระตุ้นโครงสร้างประชากรและปัญหาแรงงานในหลายประเทศ
ปี 2030 สหรัฐฯ จะมีผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปีถึง 25 คนต่อประชากรวัยแรงงาน 100 คน ญี่ปุ่น อัตรานี้จะสูงถึง 50 คน และ จีนที่ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี 2050 ทำให้ด้านนักพัฒนาหุ่นยนต์มองว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเติมเต็มงานที่ซ้ำซากและอันตรายซึ่งมนุษย์ไม่อยากทำ
Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันแนวคิดนี้อย่างจริงจัง โดยเขาเชื่อว่าหุ่นยนต์ Optimus ของบริษัทจะเปลี่ยนโลกได้ยิ่งกว่ารถยนต์ไฟฟ้าเสียอีก ในการประชุมรายงานผลประกอบการไตรมาสแรก Musk ยังกล่าวว่า Optimus อาจผลักดันให้มูลค่า Tesla สูงถึง 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นมูลค่าในระยะยาวส่วนใหญ่ของบริษัทอีกด้วย
ขณะเดียวกัน Amazon ก็ได้สนับสนุนบริษัท Agility Robotics และเริ่มนำหุ่นยนต์ Digit ไปใช้งานจริงในศูนย์กระจายสินค้าแล้วเช่นกัน BMW ได้ทดลองใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ในสายการผลิต และ Mercedes-Benz ได้ทดลองใช้ในสายงานตรวจสอบคุณภาพ ส่วน Hyundai ก็กำลังวางแผนนำหุ่นยนต์จาก Boston Dynamics มาทดสอบในโรงงาน
นอกจากนี้ยังมีบริษัทใหญ่อีกหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพื้นฐานด้าน AI และยานยนต์ก็เริ่มกระโดดเข้ามาในตลาดนี้ โดยอาศัยการพัฒนา AI ล่าสุดเป็นตัวเร่ง เช่น Toyota ที่พัฒนา T-HR3, Xiaomi ที่เปิดตัว CyberOne, Xpeng เปิดตัว PX5 รวมถึง Nvidia ที่เพิ่งเปิดตัว AI Stack สำหรับฮิวแมนอยด์ที่ชื่อว่า Isaac GR00T ไปล่าสุด
  • สหรัฐฯ VS จีน ใครกำลังชนะในสนามหุ่นยนต์โลก
ปัจจุบันการแข่งขันด้านหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ จีนถือเป็นผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มานานแล้ว ตามรายงานจาก Stanford AI Index ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา จีนแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นผู้ติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมรายใหญ่ที่สุดในโลก และปัจจุบันกว่าครึ่งของหุ่นยนต์ที่ติดตั้งทั่วโลกในปี 2023 ล้วนแล้วแต่ผลิตในจีน ตามข้อมูลของสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (IFR)
ระบบนิเวศหุ่นยนต์ในจีนขับเคลื่อนโดยรัฐ หุ่นยนต์ถือเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติภายใต้แผน “Made in China 2025” ที่เน้นการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและราคาจับต้องได้ เพื่อผลักดันหุ่นยนต์เข้าสู่การใช้งานในระดับมวลชนต่อเนื่องจากบริบทของโรงงานอุตสาหกรรม บริการสาธารณะ และระบบสุขภาพ
He Liang ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Northwestern Polytechnical ในมณฑลส่านซี เปิดเผยว่า การแข่งขันระหว่างบริษัทหุ่นยนต์จีนทำให้ราคาหุ่นยนต์บางรุ่นลดลงต่ำกว่า 200,000 หยวน (ประมาณ 27,825 ดอลลาร์สหรัฐ) เขากล่าวว่า จีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนจากศักยภาพการผลิตในฐานะ “โรงงานของโลก” ซึ่งมีห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่และกระบวนการผลิตที่คล่องตัว ข้อได้เปรียบนี้ทำให้ราคาหุ่นยนต์ของจีนสามารถแข่งขันได้ ทำให้ในจีนการเช่าหุ่นยนต์ไม่ต่างจากการเช่ารถ
รัฐบาลจีนเพียงประเทศเดียวลงทุนในเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา โดยการเดินเกมอย่างเป็นระบบผ่านรัฐและเอกชน เช่น บริษัท Fourier Intelligence, Unitree Robotics และ UBTECH
บทความ “Who will win the race to develop a humanoid robot?” จาก BBC ที่ได้สัมภาษณ์ Thomas Andersson ผู้ก่อตั้งบริษัทวิจัย STIQ ที่เฝ้าติดตามบริษัทหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์กว่า 40 ราย กล่าวว่า บริษัทจีนจะเป็นผู้นำตลาดนี้ จากห่วงโซ่อุปทานและระบบนิเวศสำหรับหุ่นยนต์ในจีนที่กว้างขวางทำให้การพัฒนาและ R&D ทำได้ง่ายและรวดเร็ว
โดยเขายังชี้ว่าการลงทุนในเอเชียสูงกว่าโซนอื่นอย่างชัดเจน จากรายงานของ STIQ เกือบ 60% ของเงินทุนที่ใช้ในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์อยู่ในเอเชีย โดยที่สหรัฐฯ เป็นตลาดรอง
นอกจากนี้จีนยังมีข้อได้เปรียบจากการสนับสนุนโดยรัฐ เช่น เมื่อต้นปี 2025 กลุ่ม Zhangjiang Jike Robot Technology ได้ร่วมมือกับศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ระดับชาติและท้องถิ่นในเซี่ยงไฮ้ สร้างฮับขนาด 5,000 ตารางเมตร เพื่อฝึกหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์สำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมจริง โดยตั้งเป้าฝึกได้ถึง 1,000 ตัวต่อรอบภายในปี 2027
อย่างไรก็ตามในฝั่งของสหรัฐฯ ผู้นำด้านชิป AI และซอฟต์แวร์ประมวลผล ซึ้งคิดเป็นมูลค่าราว 80% ของหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ นับเป็นด้านที่สหรัฐฯ ยังคงครองความได้เปรียบ ระบบนิเวศหุ่นยนต์ของสหรัฐฯ ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนนำโดยสตาร์ทอัปและบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น OpenAI, Tesla, Amazon, Figure AI, Agility Robotics และการสนับสนุนของ AI จาก OpenAI และ NVIDIA ซึ่งโดยรวมแล้ววางเป้าหมายไว้ที่การพัฒนาหุ่นยนต์ทั่วไปที่สามารถเรียนรู้และทำงานแบบหลากหลาย
พูดง่ายๆ คือ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่พัฒนาโดยสหรัฐฯ โดดเด่นด้านปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง ขณะที่หุ่นยนต์จากจีนเป็นผู้นำด้านความคล่องแคล่วของร่างกายและกระบวนการผลิตที่มีต้นทุนต่ำ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้สหรัฐฯ จะเป็นผู้นำด้าน AI ซึ่งเปรียบเสมือน “สมอง” ของหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ แต่จีนเป็นผู้นำด้านฮาร์ดแวร์ โดยออกแบบร่างกายของหุ่นยนต์ให้มีความคล่องแคลวยิ่งขึ้น ปัจจุบัน Tesla, Boston Dynamics และ Figure AI เป็นแนวหน้าในสหรัฐฯ ส่วนฝั่งจีนมีการแข่งขันที่เข้มข้นจากหลายบริษัท เช่น UBTech, Unitree, EngineAI และ Agibot เป็นต้น
ปัจจุบันยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าใครเป็นผู้นำในสนามนี้ แต่อย่างน้อยความเคลื่อนไหวและศักยภาพของหลายบริษัทได้สร้างความก้าวหน้าที่น่าจับตา และยังสะท้อนให้เห็นว่า "หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์" นี้กำลังกลายเป็นแนวรบใหม่ในการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทั้งสองต่างเร่งลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีนี้เพื่อเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของตน
"หุ่นยนต์มนุษย์จีน" ทำไมถึงน่ากลัว? เบื้องหลังการทดสอบเทคโนโลยีครองโลก ทำไมจีนถึงเอาหุ่นยนต์มาต่อยมวย วิ่งมาราธอน?
อ้างอิงข้อมูล Morgan Stanley , Bloomberg , CNBC , Thechinaacademy
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -
โฆษณา