เมื่อวาน เวลา 11:04 • ประวัติศาสตร์

การปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution)

“การปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution)” คือเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์
ตัวผมเองก็เคยเขียนถึงเหตุการณ์นี้ไว้หลายครั้งแล้ว แต่ขออนุญาตนำมาเขียนอีกที เผื่อคนที่เพิ่งจะมาตามเพจผม หรืออาจจะตกหล่นที่ผมเคยเขียนไว้
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
“การปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution)” ซึ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางการเมืองที่โด่งดังและรุนแรงที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในศตวรรษที่ 20
เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ “ราชวงศ์โรมานอฟ (House of Romanov)” ซึ่งปกครองรัสเซียมานานกว่า 300 ปีต้องสิ้นสุดลง
1
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การขาดแคลนอาหาร และการทุจริตของรัฐบาล ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อ “จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย (Nicholas II)” พระประมุขแห่งรัสเซีย
จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย (Nicholas II)
ในช่วงการปฏิวัติรัสเซีย กลุ่ม “บอลเชวิก (Bolsheviks)” ซึ่งนำโดยนักปฏิวัติฝ่ายซ้าย “วลาดิมีร์เลนิน (Vladimir Lenin)” ได้ยึดอำนาจและทำลายระบอบการปกครองของซาร์ หรือองค์จักรพรรดิ ที่มีมาอย่างยาวนาน
ในเวลาต่อมา กลุ่มบอลเชวิกได้กลายเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต
ในปีค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) เกิดการปฏิวัติสองครั้งในรัสเซีย ซึ่งได้ยุติการปกครองแบบจักรวรรดิที่ดำรงอยู่มานานหลายศตวรรษ และจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม นำไปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต
ถึงแม้ว่าการปฏิวัติทั้งสองครั้งจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนในปีค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) แต่ความไม่สงบในรัสเซียนั้นได้ก่อตัวและสั่งสมมานานหลายปีก่อนหน้าที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นซะอีก
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 รัสเซียถูกจัดเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรป ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนาและชนกลุ่มน้อยที่เป็นกรรมกรในโรงงาน ทำให้ประเทศในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่มองว่ารัสเซียเป็นประเทศที่ล้าหลังและด้อยพัฒนา
จักรวรรดิรัสเซียยังคงใช้ระบบไพร่ หรือที่เรียกว่า “ระบบศักดินา (Serfdom)” โดยชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ต้องทำงานรับใช้ชนชั้นขุนนางที่ถือครองที่ดิน ซึ่งระบอบนี้มีการใช้เรื่อยมาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปตะวันตกได้ยกเลิกระบอบนี้ไปตั้งแต่สิ้นยุคกลางแล้ว
1
ในที่สุด ค.ศ.1861 (พ.ศ.2404) จักรวรรดิรัสเซียได้ยกเลิกระบบไพร่อย่างเป็นทางการ ซึ่งการปลดปล่อยไพร่ในครั้งนั้นมีผลอย่างสำคัญต่อเหตุการณ์ที่นำไปสู่การปฏิวัติรัสเซียในเวลาต่อมา เพราะได้เปิดโอกาสให้ชาวนามีเสรีภาพมากขึ้นในการรวมกลุ่มและจัดตั้งองค์กรต่างๆ
หากจะถามว่าอะไรเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การปฏิวัติรัสเซีย ก็อาจจะต้องมาพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ
“การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)” เกิดขึ้นในรัสเซียช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา และเมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในรัสเซียในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ศตวรรษที่ 20 ก็ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองอย่างมหาศาลในรัสเซีย
ระหว่างปีค.ศ.1890 (พ.ศ.2433) ถึงค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ประชากรในเมืองสำคัญของรัสเซีย เช่น เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและมอสโกว ก็ได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ส่งผลให้เกิดความแออัดและสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากสำหรับชนชั้นแรงงานอุตสาหกรรมกลุ่มใหม่ของรัสเซีย
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ประกอบกับการเพาะปลูกที่ไม่ได้ผลดีเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นทางตอนเหนือของรัสเซีย และสงครามที่มีค่าใช้จ่ายสูงหลายสงคราม ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างต่อเนื่องทั่วจักรวรรดิที่กว้างใหญ่
นอกจากนั้น ภัยแล้งครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ.1891-1892 (พ.ศ.2434-2435) ก็ได้โหมโจมตีรัสเซีย และคาดว่าได้คร่าชีวิตชาวรัสเซียถึง 400,000 คน
“สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War)” ซึ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ.1904-1905 (พ.ศ.2447-2448) เป็นสงครามที่รัสเซียพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทำให้รัสเซียตกต่ำ และสร้างความอับอายและอัปยศแก่จักรพรรดินิโคลัสที่ 2
สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War)
รัสเซียต้องสูญเสียทั้งทหาร เรือรบ เงินงบประมาณ และชื่อเสียงระดับนานาชาติจากความพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้
นอกจากนั้น ชาวรัสเซียที่มีการศึกษาและได้เห็นความก้าวหน้าทางสังคมและวิทยาศาสตร์ในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ ต่างก็เห็นว่าการพัฒนาของรัสเซียนั้น ถูกขัดขวางโดยการปกครองแบบราชาธิปไตยขององค์จักรพรรดิและกลุ่มชนชั้นสูงที่สนับสนุนราชวงศ์ มองว่าคนเหล่านี้คือตัวที่ขัดขวางความเจริญของประเทศ
ในไม่ช้า การประท้วงครั้งใหญ่ของแรงงานรัสเซียต่อต้านระบอบกษัตริย์ก็ได้เกิดขึ้น และนำไปสู่เหตุการณ์ “วันอาทิตย์นองเลือด (Bloody Sunday)” ในปีค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธหลายร้อยคน ถูกกองทหารหลวงของจักรพรรดิสังหารหรือทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
1
วันอาทิตย์นองเลือด (Bloody Sunday)
เหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติรัสเซียในปีค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) โดยแรงงานที่โกรธแค้นได้ตอบโต้ด้วยการนัดหยุดงานครั้งใหญ่ทั่วประเทศ แรงงานภาคเกษตรและทหารก็เข้าร่วมในการเคลื่อนไหวนี้ด้วย ส่งผลให้เกิดการจัดตั้งสภาคนงานที่มีคนงานเป็นผู้ควบคุม เรียกว่า “โซเวียต (soviets)“
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในปีค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) และความพ่ายแพ้อันน่าอับอายในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 ก็ทรงให้สัญญาว่าจะพระราชทานเสรีภาพในการพูดต่อประชาชน หรือ “Freedom of Speech” มากขึ้น และจะมีการจัดตั้งสภาผู้แทนราษฎร หรือที่เรียกว่า “ดูมา (Duma)” เพื่อดำเนินการปฏิรูปประเทศ
สิงหาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) รัสเซียได้เข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 1 (WWI)” โดยรัสเซียได้สนับสนุนชาวเซิร์บ รวมถึงพันธมิตรอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ
ในไม่ช้า การเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ก็กลายเป็นหายนะสำหรับจักรวรรดิรัสเซีย
กองทัพรัสเซียนั้นไม่อาจเทียบได้กับกองทัพเยอรมัน และจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายของรัสเซียก็สูงกว่าของทุกชาติในสงครามครั้งก่อนๆ ทั้งหมด อีกทั้งรัสเซียยังต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารและเชื้อเพลิง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น เศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งย่อยยับจากภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลของสงคราม
จักรพรรรดินิโคลัสที่ 2 ได้เสด็จออกจากเมืองหลวงของรัสเซียคือเปโตรกราด (หรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ในปีค.ศ.1915 (พ.ศ.458) เพื่อเสด็จไปบัญชาการกองทัพรัสเซียด้วยพระองค์เองที่แนวหน้า
ในช่วงที่จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 เสด็จไปบัญชาการรบ ไม่ได้ประทับอยู่ในเมือง “จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (Alexandra Feodorovna)“ พระมเหสีของจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 พระราชวงศ์ผู้ซึ่งไม่เป็นที่นิยมหรือยอมรับนับถือจากผู้คนเท่าใดนัก อีกทั้งยังมีเชื้อสายเยอรมัน ก็ได้เริ่มปลดเหล่าขุนนางที่มาจากการเลือกตั้งออกจากตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดพระองค์ นั่นคือ ”กริกอรี รัสปูติน (Grigori Rasputin)” ก็เริ่มมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านการเมืองของรัสเซียและต่อราชวงศ์โรมานอฟ
จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (Alexandra Feodorovna)
อิทธิพลของรัสปูตินทำให้เหล่าขุนนางรัสเซียต่างไม่พอใจ และได้ร่วมมือกันสังหารรัสปูตินในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) โดยในขณะนั้น ชาวรัสเซียแทบจะทั้งประเทศต่างก็หมดศรัทธาในองค์จักรพรรดิไปนานแล้ว
การคอร์รัปชั่นในรัฐบาลมีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจของรัสเซียก็ยังคงล้าหลัง และจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 ก็มักจะยุบสภาดูมาอยู่เสมอในทุกครั้งที่สภาขัดต่อพระราชประสงค์ของพระองค์ ซึ่งสภาดูมา คือรัฐสภารัสเซียที่ไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงและถูกตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติปีค.ศ.1905 (พ.ศ.2448)
กริกอรี รัสปูติน (Grigori Rasputin)
ในไม่ช้า หลายกลุ่มก็เข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงของรัสเซียในการเรียกร้องให้โค่นล้มองค์จักรพรรดิผู้ไร้ซึ่งพระปรีชาสามารถ นำมาสู่เหตุการณ์ “การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (February Revolution)” ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460)
กลุ่มผู้ประท้วงที่หิวโหยได้ออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในเปโตรกราด โดยได้รับการสนับสนุนจากเหล่าคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่นัดหยุดงาน โดยเหล่าผู้ประท้วงได้ปะทะกับตำรวจ หากแต่ก็ปฏิเสธที่จะถอนกำลัง ไม่ยอมถอยออกจากถนน
11 มีนาคม ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) กองทหารรักษาการณ์ในเมืองเปโตรกราดได้รับคำสั่งให้ออกมาปราบปรามเหล่าผู้ประท้วง โดยกองทหารได้เปิดฉากยิงใส่ผู้ประท้วงจนมีผู้เสียชีวิต แต่ผู้ชุมนุมยังคงยืนหยัดอยู่บนท้องถนน ขณะที่ทหารบางส่วนก็เริ่มลังเล เริ่มไม่ภักดีต่อราชสำนัก
การปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (February Revolution)
12 มีนาคม ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) สภาดูมาก็ได้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้น และอีกไม่กี่วันต่อมา จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 ก็ทรงสละราชสมบัติ สิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์โรมานอฟที่ดำรงอยู่ในอำนาจมาเป็นเวลานานกว่า 300 ปี
กลุ่มผู้นำรัฐบาลเฉพาะกาล ซึ่งรวมถึงทนายความชาวรัสเซียที่มีนามว่า “อเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี (Alexander Kerensky)” ได้ออกนโยบายเสรีที่ส่งเสริมสิทธิต่างๆ เช่น เสรีภาพในการพูด ความเสมอภาคทางกฎหมาย และสิทธิของสหภาพแรงงานในการจัดตั้งและนัดหยุดงาน
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม เคเรนสกียังคงดำเนินนโยบายให้รัสเซียมีส่วนร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อไป แม้ว่าการเข้าร่วมสงครามจะเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ซึ่งการตัดสินใจนี้ก็ยิ่งทำให้ปัญหาการขาดแคลนอาหารในรัสเซียมีแต่จะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ความไม่สงบก็ยิ่งทวีความรุนแรง ชาวนาเริ่มปล้นสะดมฟาร์มและไร่ต่างๆ เกิดจลาจลเรื่องการขาดแคลนอาหารตามเมืองต่างๆ
อเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี (Alexander Kerensky)
วันที่ 6 และ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) กลุ่มปฏิวัติฝ่ายซ้ายที่นำโดย “วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin)” ผู้นำพรรคบอลเชวิก ได้ก่อรัฐประหารต่อรัฐบาลเฉพาะกาลของสภาดูมา
รัฐบาลเฉพาะกาลนั้นได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มผู้นำจากชนชั้นกลางขณะที่เลนินต้องการให้มีรัฐบาลโซเวียต ซึ่งจะปกครองโดยสภาของทหาร ชาวนา และคนงาน
พรรคบอลเชวิกและพันธมิตรได้บุกยึดอาคารรัฐบาลและจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่างๆ ในเมืองเปโตรกราด และในไม่ช้า ก็ได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยมีเลนินเป็นผู้นำ
วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin)
ในที่สุด สงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้นในรัสเซียในช่วงปลายปีค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) โดยฝ่ายที่สู้รบประกอบด้วย “กองทัพแดง (Red Army)“ และ “กองทัพขาว (White Army)”
ฝ่ายกองทัพแดงนั้นต่อสู้เพื่อรัฐบาลบอลเชวิกของเลนิน ส่วนกองทัพขาวเป็นกลุ่มพันธมิตรที่ประกอบด้วยฝ่ายนิยมกษัตริย์ นักธุรกิจทุนนิยม และผู้สนับสนุนสังคมนิยมประชาธิปไตย
วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) ราชวงศ์โรมานอฟก็ถูกปลงพระชนม์ล้างโคตรโดยพรรคบอลเชวิก และสงครามกลางเมืองรัสเซียก็ได้สิ้นสุดลงในปีค.ศ.1923 (พ.ศ.2466) โดยกองทัพแดงของเลนินเป็นฝ่ายชนะ และได้สถาปนาสหภาพโซเวียตขึ้น
การปลงพระชนม์หมู่พระราชวงศ์โรมานอฟ
หลังจากผ่านความรุนแรงและความไม่สงบทางการเมืองมาเป็นเวลาหลายปี การปฏิวัติรัสเซียก็ได้ปูทางให้ลัทธิคอมมิวนิสต์กลายเป็นแนวคิดทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลทั่วโลก และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นมามีบทบาทในเวทีโลกของสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น
โฆษณา