Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เขียนไว้ให้เธอ
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 08:45 • ความคิดเห็น
You had me at Hello..
ภรรยาผมเคยเจอบู๊ทเล็กๆ ของแบรนด์ครีมกันแดด Mizumi ที่งานโรงเรียนลูกเมื่อหลายปีก่อน พอเอามาลองใช้แล้วก็ติดใจเนื้อครีมและการใช้สารธรรมชาติมากๆ พอไปญี่ปุ่นก็ไปตามหาแล้วก็หน้าแตก และถึงรู้ว่า Mizumi เป็นแบรนด์ไทย แล้วก็เป็นสาวกแบรนด์นี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผ่านไปหลายปี จากบู๊ทเล็กๆ ในวันนั้น ล่าสุดเห็นรายงานการเงินแบรนด์เครื่องสำอางไทยเบอร์ต้นๆ มีชื่อ Mizumi ลอยเด่นขึ้นมาด้วยรายได้แตะสองพันล้านบาทและกำไรน่าจะไปถึงสี่ร้อยล้านบาทแล้ว…
เมื่อวาน ผมได้สัมภาษณ์คุณหนุยแห่ง Mizumi ที่ HOW Club คุณหนุยเริ่ม Mizumi จากความชอบส่วนตัวเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตัดสินใจลาออกจากงานมาด้วยเงินเก็บนิดเดียวแต่มีความฝันอยากทำธุรกิจของตัวเอง คุณหนุยเป็นคนแพ้ง่ายเป็นทุนเดิมเวลาใช้เครื่องสำอางค์ ก็เลยสนใจส่วนผสม สนใจสูตรของเครื่องสำอางค์แต่ละชิ้นเป็นพิเศษ
พอออกมาสังเกตโน่นดูนี่ซักพักก็ตัดสินใจอยากทำครีมกันแดด เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้หญิงใช้ประจำ
เริ่มต้นจากไม่รู้อะไร ก็ไปตื๊อนักวิจัยในโรงงานญี่ปุ่นลองขึ้นต้นแบบให้ คุณหนุนอยากทำครีมกันแดดจากธรรมชาติที่มีเนื้อครีมแบบที่ตัวเองชอบ ใช้เวลาลองเทสต์อยู่สองปี แล้วก็เริ่มชวนเพื่อนๆอีกสามคนมาร่วมทุนด้วยกัน ตอนเริ่มต้นก็ใช้เงินทุนหนึ่งล้านบาท เป็น SME เล็กๆ เงินเท่าที่มีก็สั่งออเดอร์ขั้นต่ำจากโรงงานได้ 6 พันขวด ลองผิดลองถูก ทำการตลาดออนไลน์ ขยันไปออกบูท ค่อยๆ ขายได้หมดในเวลา 7 เดือน
วันหนึ่งก็ได้รับการติดต่อจากวัตสัน คุณหนุยและเพื่อนก็ได้รับออเดอร์เข้าวัตสันที่ต้องผลิตหลักหลายหมื่น ต้องเพิ่มทุนกันแล้วลุยต่อ ด้วยสาวกแฟนๆ ของ Mizumi ในออนไลน์ทำให้ขายดีมาก คุณหนุยและพาร์ตเนอร์ก็ขยันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขยายช่องทางมาเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จมากในปัจจุบัน…
เรื่องราวของ Mizumi ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรหวือหวาถ้าเล่าแบบนี้ แต่เอาจริงๆ แล้ว ผมฟังได้แค่ช่วงต้น เรื่องราวแรกฟังก็รู้เลยว่ายังไงคุณหนุยก็ประสบความสำเร็จแน่ๆ เพราะคุณหนุยเล่าว่าตัวเองเป็นเด็กในครอบครัวที่ต้องดิ้นรน ไม่เคยไปต่างประเทศ แต่มีความฝันอยากไปเรียนต่อ ทางเดียวที่จะไปได้ก็คือต้องได้ทุนไปเรียน
คุณหนุยก็กัดฟันขยันอย่างหนักตั้งแต่เด็กๆ เพื่อทำตามความฝัน จนได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างสแตนฟอร์ด
1
กลับมาในการศึกษาระดับนั้นก็แน่นอนว่าได้งานดีๆ เป็นงานที่ปรึกษาระดับโลกต่อด้วยงานในบริษัทข้ามชาติทำ ในชีวิตที่ไม่น่าจะต้องดิ้นรนอะไรอีก เดินทางตามสายวิชาชีพซักพักก็น่าจะมีเงินเดือนเป็นแสน ทำงานออฟฟิศหรูๆ แต่คุณหนุยเล่าถึงเสียงเรียกร้องในใจตัวเองที่อยากจะทำธุรกิจเล็กๆ ไม่อยากทำงานองค์กรใหญ่ ด้วยเงินเก็บที่มีนิดเดียวก็บ้าระห่ำลาออกมา
1
ในช่วงสองปีที่ต้องทดลองสูตรครีมกันแดด คุณหนุยอยู่รอดได้ด้วยการรับจ้างสอนพิเศษตามบ้าน เงินที่มีน้อยเกินที่จะสั่งออเดอร์ขั้นต่ำได้ก็เลยต้องไปชวนเพื่อนอีกสามคนมาลงเงินคนละสองแสนห้า เพื่อนคุณหนุยเล่าให้ฟังถึงวันแรกที่พบ คุณหนุยก็บอกว่าจะทำแบรนด์ให้ไปไกลระดับภูมิภาค สามคนก็ยังงงๆว่าลงเงินกันคนละสองแสนห้าเนี่ยนะ แต่ก็เอาด้วยเพราะเงินก็ไม่ได้มากอะไร
หลังจากสั่งมาหกพันขวด คุณหนุยและเพื่อนก็ต้องดิ้นรนขายให้หมดให้ได้ ขายออนไลน์ ตอบแชทเองทั้งวันทั้งคืน คุณหนุยเล่าว่าเพิ่งหยุดเป็นแอดมินเองเมื่อไม่นานมานี้ ไปติดต่อเปิดบูทเล็กบูทน้อยตามใต้ตึกออฟฟิศบ้าง งานตลาดนัดบ้าง ขยันออกงานไม่หยุด
เพื่อนคุณหนุยเล่าว่าเคยมีบางเคสเห็นหนุยยืนเล่ายืนขายชั่วโมงกว่าถึงขายได้หนึ่งหลอด บางวันที่ขายทั้งวันได้ยี่สิบหลอดก็กลับมาดีใจ ค่อยๆ ทำ คุยกับลูกค้าออนไลน์เหมือนเพื่อน ไปทีละหลอด ทีละกล่อง กลับมาก็ดีใจกับตัวเองว่าวันนี้ดีขึ้นนะ
1
ถ้าไม่มีทางเลือกอะไรนัก ผมก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์บีบบังคับได้ แต่ผู้หญิงที่จบมหาวิทยาลัยระดับโลก จะหางานที่ไหนก็ได้ มีกลุ่มเพื่อนฝูงที่มีหน้าที่การงาน มีสังคมดีๆ ใช้ชีวิตสาวออฟฟิศที่ไม่นานก็คงเป็นผู้บริหารแน่ๆ จะตัดสินใจบ้าระห่ำ สอนพิเศษตามบ้าน อดทนขายครีมกันแดดทีละหลอด
1
คุณหนุยเล่าว่าอาหารดีๆ ที่กินกับแฟนก็เป็นพวกร้านเชนร้านฟาสต์ฟู้ด และเพื่อลดแรงกดดันของตัวเอง คุณหนุยตัดสินใจไม่เล่นโซเชียลหลายปี ตัดหมดทั้ง FB IG เพื่อไม่ต้องเห็นเพื่อนฝูงโพสต์ชีวิตที่ดี หรูหรา สะดวกสบาย จะได้ไม่จิตตก มีเวลาโฟกัสกับงาน
1
คุณหนุยทำเองทุกอย่างตั้งแต่ต้น ตั้งแต่คิดผลิตภัณฑ์ ยืนขายของทั้งวัน ไปเจรจาห้าง ไปเรียนยิงแอด ตอบแชทเองทุกแชท คุยจนสนิท ให้ใจ ให้เวลาจนมี FC และแฟนกลุ่มแรกที่คุณหนุยมีก็เป็นฐานที่สำคัญหลังจากนั้นมาก ทั้งไปอุดหนุนตอนขึ้นห้าง และให้ข้อมูลดีๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อ
การไปยืนขายเองก็ทำให้ได้พัฒนาวิธีการเล่าเรื่อง ได้ฟัง feedback ลูกค้าจากปาก ได้เจอลูกค้าตัวเป็นๆซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญมากๆ ในการเอามาพัฒนาผลิตภัณฑ์และงานโฆษณาต่อ
ผมยืนคุยกับน้องอีกคนที่ฟังเรื่องราวของคุณหนุย น้องเขาเริ่มทำแบรนด์สกินแคร์ของตัวเอง เริ่มก็จ้างทีมงาน มีทีมขาย จะไปขายที่ไหนก็ใช้ลูกน้องไป ไม่กล้าไปขายเองเพราะอายคนรู้จัก ตอบแชทก็ตอบเองบ้าง ให้ลูกน้องตอบบ้าง ตอนมาฟังก็อยากได้เคล็ดลับเรื่องแบรนด์ เรื่องการตลาด
พอมาฟังก็ถึงรู้ว่าเคล็ดลับของ mizumi อยู่ตรงนี้นี่เอง…
เคยมีประโยคเด็ดในหนัง Jerry Mcquire เป็นหนังคลาสสิคยุค 90 มีฉากหนึ่งที่พระเอกพยายามสารภาพรักยาวเหยียดต่อหน้านางเอกและเพื่อน พอพูดจบ นางเอกตอบประโยคเดียว และเป็นประโยคตำนานของฮอลลีวู้ดเลยว่า “ You had me at Hello”
หมายถึงว่านางเอกเห็นหน้าก็รักแรกพบแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรมากมายอีกเลย
แค่พอฟังว่าเด็กนักเรียนทุนสแตนฟอร์ด ทำงานที่ปรึกษาระดับโลก มีอีโก้ มีโลกรอบตัวให้แบก มีทางเลือกดีๆมากมายที่จะสบายได้ แต่ตัดสินใจออกมาตามฝัน ปิดโซเชียลทั้งหมด ยอมสอนพิเศษรายได้เล็กๆ น้อยๆ รอการพัฒนาครีมกันแดดที่ฝันไว้ ไม่สนหน้าตา โนแคร์ใดๆ กล้าไปยืนขายครีมทีละหลอด ตอบแชททีละแชท มีทางเลือกมากมายแต่เลือกทางที่ยาก ที่ทรหด และที่ลำบากที่สุด
จิตที่แข็งขนาดนั้น พลังแห่งความมุ่งมั่นขนาดนั้น… เรื่องราวอื่นๆ ของ Mizumi ว่าสำเร็จยังไงก็ไม่ต้องฟังต่อแล้ว
เพราะ You had me at Hello แล้วล่ะครับ….
2 บันทึก
17
1
2
2
17
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย