เมื่อวาน เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ย้อนอดีตเงินเฟ้อไทย มีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่?

หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์เงินเฟ้อไทย จะเห็นว่าเคยมีทั้งช่วงที่เงินเฟ้อสูงและต่ำแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา บทความนี้จึงขอชวนผู้อ่านทุกท่านนั่งไทม์มาชีนย้อนเวลากลับไปทำความรู้จักกับเงินเฟ้อไทย ปัจจัยและบริบททางเศรษฐกิจแบบไหนที่ทำให้เงินเฟ้อไทยในอดีตเกิดการเปลี่ยนแปลง
หากย้อนกลับไปประมาณ 40 ปี เราอาจแบ่งอัตราเงินเฟ้อไทยออกได้เป็น 4 ช่วง ตามระดับเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไปตามบริบทเศรษฐกิจสำคัญในแต่ละช่วง
1
ช่วงที่หนึ่ง : เงินเฟ้อสูงก่อนใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ
ในช่วงก่อนปี 2543 ที่ไทยยังไม่ได้ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) ไทยใช้การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ซึ่งสอดคล้องกับประเทศส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลเงินเฟ้อมากนัก แต่มุ่งเน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ (money supply) หรือการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน (exchange rate management) มากกว่า ทำให้ระดับเงินเฟ้อของโลกและไทยในช่วงนี้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น ๆ โดยเงินเฟ้อไทยโดยเฉลี่ยสูงถึง 4.6%
1
ในช่วงเวลาดังกล่าว ภาคธุรกิจยังไม่มีตัวเลขทางการไว้ใช้ในการอ้างอิงและธนาคารกลางไม่ได้ประกาศว่าจะออกมาดูแลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือลดลงมาอยู่ในระดับไหน ทำให้การยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) ทำได้ไม่ดีนัก การตั้งราคาสินค้าและขึ้นค่าจ้างในแต่ละปีจึงขึ้นอยู่กับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงในอดีตมากกว่า
ตัวอย่างเช่น หากปีที่แล้วเงินเฟ้อสูงขึ้น 10% ธุรกิจก็อาจจะขึ้นราคาและค่าจ้างสำหรับปีนี้อีก 10% ทำให้ราคาสินค้าและค่าจ้างเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอีก ฉะนั้น เวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น (shock) จึงมักจะสูงค้างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ ไทยยังมีปัจจัยเฉพาะที่ขับเคลื่อนระดับเงินเฟ้อในประเทศด้วย นั่นก็คือ การเร่งลงทุนที่เกินตัว โดยพึ่งพาเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ ทำให้ไทยมีหนี้ต่างประเทศในระดับที่สูง เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง และสุดท้ายนำมาสู่เหตุการณ์ฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และกลายเป็นวิกฤตทางการเงินในปี 2540 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) ซึ่งทำให้เงินบาทอ่อนค่ารุนแรงและอัตราเงินเฟ้อสูงมากกว่า 10%
1
อย่างไรก็ดี ไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่เงินเฟ้อสูงในช่วงนี้ ทำให้หลายประเทศเริ่มตระหนักว่า การที่เงินเฟ้อสูงจนเกินไปมีข้อเสียตามมา ไม่ว่าจะเป็น
(1) การบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน ทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตเท่าเดิม และปัญหายังจะรุนแรงขึ้น หากค่าจ้างหรือรายได้โตช้ากว่าเงินเฟ้อมาก ๆ
(2) ความผันผวนของเงินเฟ้อ ซึ่งการขึ้น ๆ ลง ๆ ของเงินเฟ้อ ทำให้ครัวเรือนและภาคธุรกิจวางแผนการบริโภคและการลงทุนได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในระยะยาว ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจที่ต้องการลงทุนสร้างโรงงาน จะกำหนดราคาขายสินค้า คาดการณ์รายได้ และจุดคุ้มทุนได้ยาก เพราะต้นทุนและราคาที่ผันผวนและไม่มีเสถียรภาพ และ
1
(3) ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะสูงขึ้นและสูงค้างนานในกรณีที่เกิด shock เพิ่มขึ้น จนบางประเทศต้องเผชิญกับเจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรง หรือที่เรียกว่า hyperinflation เช่น บราซิล ในช่วงต้นปี 2533 ที่เงินเฟ้อสูงกว่า 70% หรือเวเนซุเอลา ในปี 2561 ที่เงินเฟ้อสูงถึง 80,000-100,000% (อ่านบทความ “เรื่องเล่า วิกฤตเงินเฟ้อในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก” เพิ่มเติมได้ที่ https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-magazine/Phrasiam-68-2/the-knowledge-inflation-crisis.html )
ซึ่งสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องยาวนานในลักษณะนี้เอง เป็นสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกไม่อยากเจอและพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ช่วงที่สอง: จุดเริ่มต้นของการมีเสถียรภาพด้านราคา
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 ไทยได้นำกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) มาใช้เป็นกรอบในการดำเนินนโยบายการเงินหลังเปลี่ยนจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่มาเป็นอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว โดยเริ่มจากกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 0 - 3.5% เป็นกรอบเป้าหมายก่อนจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป จนปัจจุบันใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 1-3% เป็นกรอบเป้าหมาย
การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อที่เป็นตัวเลขชัดเจนช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจทราบว่า ธปท. จะมีการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่กำหนด ภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น เมื่อมี shock เข้ามากระทบทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราวและสามารถคลี่คลายไปได้เอง
อัตราเงินเฟ้อก็จะสามารถปรับลดลงมาได้ภายในระยะเวลาไม่นาน เพราะประชาชนมีความเชื่อมั่นว่า ธปท. จะดูแลอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ในกรอบได้ จึงตัดสินใจตั้งราคาและค่าจ้างจากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ ซึ่งไม่เพียงแต่ไทยเท่านั้น แต่ประเทศต่าง ๆ ก็เริ่มนำกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อมาใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงเวลานี้เช่นกัน ทำให้ภาพรวมของเงินเฟ้อทั่วโลกลดต่ำลง
นอกจากนี้ การเข้ามาของกระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) และการเข้าร่วมเป็นสมาชิก World Trade Organization (WTO) ของจีนและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ยังทำให้ประเทศต่าง ๆ นำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนมากขึ้น รวมถึงมีการย้ายฐานการผลิตไปใช้แรงงานราคาถูกในประเทศที่กำลังพัฒนาด้วย ทำให้โลกมีความเชื่อมโยงทางการค้าและเทคโนโลยีมากขึ้น การผลิตสินค้ามีประสิทธิภาพดีขึ้น การแข่งขันรุนแรงขึ้น และต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าถูกลง
ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโลกปรับลงมาอยู่ในระดับต่ำที่ 4.1% จาก 19.4% ในช่วงก่อนปี 2543 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในบ้านเราก็ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 2.6% เช่นกัน และเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีที่เฉลี่ย 4.2%
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น สงครามระหว่างอิรักและสหรัฐฯ ในปี 2548 วิกฤตการเงินโลกในสหรัฐฯ ในปี 2552 และโรคระบาดในหมู เมื่อปี 2554 แต่จะสังเกตได้ว่าแม้ shocks เหล่านี้จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น และมีการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโดยสารสาธารณะ และราคาอาหารสำเร็จรูปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงค้างนานเหมือนในอดีต
ยกตัวอย่างเช่น หลังสงครามระหว่างอิรักและสหรัฐฯ ในช่วงปี 2546-2548 ที่ราคาน้ำมันโลกเพิ่มขึ้น 250% ในเวลา 3 ปี และในขณะเดียวกันก็มีการยกเลิกมาตรการตรึงราคาของภาครัฐที่ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจาก 15 บาทต่อลิตร ไปเป็น 27 บาทต่อลิตร แต่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นไปที่ 6% ในปี 2548 ก็สามารถปรับลดลงมาอยู่ในกรอบเงินเฟ้อได้ภายในเวลา 12 เดือน
ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่ต่ำลงภายหลังจากที่มีการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ที่สำคัญ นั่นก็คือ เสถียรภาพด้านราคาที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยรักษาอำนาจซื้อของเงินในกระเป๋าของประชาชน อีกทั้งความผันผวนที่น้อยลง ยังช่วยให้ครัวเรือนและธุรกิจสามารถวางแผนการบริโภคและการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และยังลดความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะสูงค้างนานเมื่อเกิด shock ขึ้นด้วย
ช่วงที่สาม : ปัจจัยด้านอุปทานทำให้เงินเฟ้อทั่วโลกต่ำลง
ตั้งแต่ปี 2558-2562 เป็นช่วงที่เงินเฟ้อต่ำทั่วโลกรวมถึงไทย แม้ว่าประเทศต่าง ๆ จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย อัตราดอกเบี้ยต่ำจนถึงกับติดลบในบางประเทศ แต่เงินเฟ้อก็ยังต่ำทั่วโลก สำหรับไทยเอง มีค่าเฉลี่ยเงินเฟ้ออยู่ที่เพียง 0.3% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยระยะปานกลาง (3-5 ปี) ที่ 2.5±1.5% และต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อในทุกวันนี้ด้วย
ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหินดินดาน หรือที่เรียกว่า shale oil ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ต้นทุนต่ำลง การผลิตและอุปทานน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก จนทำให้ราคาน้ำมันโลกในช่วงนั้นลดลงจาก 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และยังทำให้ราคาน้ำมันโลกหมดโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นมากได้เหมือนในอดีต
นอกจากนี้ ราคาพลังงานที่ต่ำลงยังส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหาร เช่น ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง รวมทั้งค่าขนส่ง ลดลงตามไปด้วย ทำให้ราคาหมวดอาหารสด และราคาสินค้าอื่นๆ ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก
อีกก้าวสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและมีผลทำให้เงินเฟ้อโลกและไทยต่ำลงก็คือ การใช้ e-commerce ที่แพร่หลาย ซึ่งทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าต่าง ๆ ได้ง่าย ที่สำคัญการแข่งขันบนช่องทางออนไลน์ที่รุนแรง ยังเป็นการลดอำนาจในการตั้งราคา และกดดันให้ผู้ขายขึ้นราคาสินค้าได้ยาก หรือแม้กระทั่งต้องมีการปรับลดราคาลงมาเพื่อสร้างความได้เปรียบ
ในช่วงเวลานี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อไทยจะต่ำต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาถึง 5 ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยทางด้านอุปทานที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและดิจิทัลได้เข้ามาทำให้ประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้นและต้นทุนการผลิตลดลง รวมถึงช่วยสนับสนุนการแข่งขันในภาคธุรกิจซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในภาพรวม
ฉะนั้น เงินเฟ้อที่ต่ำในช่วงเวลาดังกล่าวจึงกลับช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และจะสังเกตว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงดังกล่าวขยายตัวได้ดีต่อเนื่องเฉลี่ยที่ 3.4% แบบไม่สะดุด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำ ไม่ได้สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่อ่อนแอเสมอไป
ช่วงที่สี่ : เงินเฟ้อยุคหลังโควิด 19 ปัจจัยด้านอุปทานกลับมาผันผวนอีกครั้ง
ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่ไทยต้องเผชิญกับ shock ที่มากระทบกับเงินเฟ้อโลกค่อนข้างมากทำให้แนวโน้มของเงินเฟ้อมีทั้งช่วงที่สูงขึ้นและต่ำลง การดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับบริบทในแต่ละช่วงเวลา จึงมีบทบาทที่สำคัญมาก
ในปี 2563 ที่มีการระบาดของโควิด 19 กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักไปในหลายภาคส่วน ประกอบกับราคาน้ำมันโลกที่ลดลงมาก ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศลดลงจากลิตรละ 27 บาท เป็น 17 บาท ภายในเวลา 3 เดือน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโลกและไทยลดลงมาก โดยเงินเฟ้อติดลบอยู่ที่ -0.85% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่กำหนดไว้ที่ 1-3%
อย่างไรก็ดี ในปี 2564 เงินเฟ้อโลกกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวกลับมา ขณะที่ยังมีปัญหาห่วงโซ่อุปทานชะงักงันจากการระบาดของโควิด ทำให้โรงงานต่าง ๆ ยังไม่สามารถกลับมาผลิตได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น โลกยังถูกซ้ำเติมจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนในปี 2565 ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกสูงขึ้นต่อเนื่อง และทำให้เงินเฟ้อไทยสูงขึ้นตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดีเซลในประเทศขึ้นไปสูงสุดที่ลิตรละ 35 บาท
1
นอกจากนี้ ไทยยังมีปัจจัยเฉพาะภายในประเทศจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู ทำให้ราคาเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น และส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาอาหารสำเร็จรูปให้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อไทยจึงปรับสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 และขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดในเดือนสิงหาคม 2565 ที่ 7.9% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 15 ปี
หลังจาก shock ต่าง ๆ คลี่คลายลง อัตราเงินเฟ้อโลกก็ทยอยปรับลดลง ขณะที่เงินเฟ้อไทยถือว่าสามารถปรับลดลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้รวดเร็วกว่าต่างประเทศ โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเฉพาะที่ทำให้ผู้ผลิตไม่ต้องเร่งขึ้นราคา
ได้แก่ (1) มาตรการตรึงราคาพลังงาน ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการและชะลอการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าในวงกว้าง
(2) ตลาดแรงงานไทยมีความยืดหยุ่น เพราะมีแรงงานต่างด้าวและแรงงานภาคเกษตรที่พร้อมจะเข้ามาเติมเต็มในจุดที่ขาดแคลนได้ ภาคธุรกิจจึงไม่ต้องขึ้นค่าจ้างสูงมากเพื่อแย่งคนงานเหมือนในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีบทบาทของนโยบายการเงินไทยที่ต้องดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ รวมถึงระบบการเงินไปพร้อมกัน ซึ่งในแต่ละช่วงก็มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยไปในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ในปี 2563 ช่วงที่เศรษฐกิจถูกกระทบจากโควิด 19 อย่างหนักหน่วง และการทยอยขึ้นดอกเบี้ยกลับมาในระดับปกติเพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อในช่วงที่เงินเฟ้อสูงปี 2565 โดยเป็นการขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว
อีกประเด็นสำคัญที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้มาต่อเนื่องกว่า 20 ปี ช่วยให้สามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ได้ดี และมีส่วนช่วยให้การขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปี 2565 ไม่จำเป็นต้องขึ้นแรงและเร็วเกินไปจนกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะสามารถกลับเข้าสู่กรอบได้ในที่สุด
เห็นได้จากเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางของไทยที่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย แม้กระทั่งในช่วงที่เจอ shock จากวิกฤตโควิด และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งความเชื่อมั่นนี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และไม่ทำให้ภาวะเงินเฟ้อในเวลานั้น ๆ ย่ำแย่ลงกว่าเดิม
ล่าสุด ในปี 2567 อัตราเงินเฟ้อไทยลดลงมาอยู่ในระดับต่ำที่ 0.4% และคาดว่าจะยังต่ำต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 และ 2569 จากราคาพลังงานเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันโลกเผชิญแรงกดดันและความวิตกกังวลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แต่เงินเฟ้อไทยที่ต่ำนี้ ก็ไม่ได้สะท้อนเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เพราะราคาสินค้าไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง และยังมีหลายสินค้าที่ราคายังคงเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่ต่ำก็มีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพไม่ให้สูงขึ้นไปอีก โดยราคาสินค้าที่จำเป็นบางส่วน เช่น เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำมันเชื้อเพลิง ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด 19 อยู่ประมาณ 20% เลยทีเดียว (อ่านบทความ “ปลดล็อกความเข้าใจ เงินเฟ้อไทย ทำไมถึงต่ำ” เพิ่มเติมได้ที่ https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-magazine/Phrasiam-68-2/theknowledge-lowinflation.html )
จะว่าไปแล้วเงินเฟ้อในช่วงนี้ ก็เป็นสถานการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับเงินเฟ้อในช่วงที่สาม ซึ่งเป็นช่วงที่เงินเฟ้อต่ำต่อเนื่องจากปัจจัยด้านอุปทาน
จากภาพรวมเงินเฟ้อไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา คงทำให้ได้เห็นแล้วว่า ท่ามกลางโลกที่เชื่อมต่อกันทางด้านเศรษฐกิจและการค้านั้น เงินเฟ้อถือเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเราหวังว่าความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเงินเฟ้อในบทความนี้ จะมีส่วนช่วยให้ทุกท่านสามารถตรวจจับสัญญาณเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอน
โดยเฉพาะจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงเครียดจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือกับผลกระทบจากเงินเฟ้อและเศรษฐกิจได้อย่างทันท่วงที

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา