13 มิ.ย. เวลา 11:29 • ไลฟ์สไตล์
Eing ขอยก case study สมัยทำงานเป็นลูกจ้างในองค์กรใหญ่ ที่ในสมัยหนึ่งคนภายนอกบอกว่าองค์กรนี้มีแต่พวกเขี้ยวลากดิน มาเล่าให้ฟังค่ะพี่ คือในแต่ละปี กลุ่มผู้บริหารอย่างพวกเรา จะต้องทำการตั้งเป้าเป็นปกติ ตามตำราการเขียนเป้า ก็ต้องใช้หลัก S-M-A-R-T ก็ว่ากันไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องมีการปรับเป้า โดยพิจารณาจากข้อมูลการเอาชนะเป้าในต่ละปีว่า เสมอตัวได้ตามเป้า หรือเกินเป้า หรือต่ำกว่าเป้า
ครั้งหนี่งมีประเด็นปัญหาที่ผู้บริหารสูงสุดรับไม่ได้ กับสถิติทุจริตยักยอก ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเราทุกฝ่ายก็เริ่มหันหน้าคุยกันว่า เราจะตั้ง จะถือ จะแชร์เป้าอะไร อย่างใดกันดี เพื่อสนองนโยบาย "ลดปัญหาการทุจริต" ฝ่ายตรวจสอบโยนไปยังทุกฝ่าย ว่าทุกฝ่ายจะต้องรับเอา หรือร่วมกันแชร์เป้า "การทุจริตเป็นศูนย์ (0)"
ตอนนั้น Eing ยกมือทันที impossible! ไม่มีทางเป็นไปได้ และหากตั้งเป้าแบบนี้ เจ้านายใหญ่ได้ฮากลิ้งแน่นอน มันเป็นการตั้งเป้าที่เอาใจเจ้านายใหญ่จนดูตลกโกหกพกลมเสียมากกว่า มันไม่ได้เป็นการตั้งเป้าที่ SMART ตรงไหนเลย
Eing ให้เหตุผลทำนองเดียวกับคอมเม้นท์คุณ "นายเมาแมน" ว่า คนที่จะกระทำการทุจริตทุกคน ไม่ได้คิดจะทำเดี๋ยวนั้นเวลานั้น พวกนี้ผ่านประสบการณ์ทำงานอย่างโชกโชน ผ่านกระบวนการคิดหาช่องโหว่ของขั้นตอนและกฎระเบียบฯ และที่สำคัญคือการเรียนรู้นิสัย สันดาน และพฤติกรรมการทำงานของคนรอบข้าง เพื่อให้เขามั่นใจว่า เขาจะสามารถ "กระทำการได้โดยสะดวก"สังเกตดูก็ได้ค่ะ คนที่จะกระทำการ "ล้วนมีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน จนรู้เช่นเห็นชาติหมดทุกอย่าง"
Eing ขว้างบูมเมอแรงกลับไปที่ฝ่ายตรวจสอบทันที Eing บอกว่า พวกคุณก็คือตำรวจ คุณต้องทำหน้าที่ "คิดให้ได้แบบโจร" เข้าใจพฤติกรรมหรือจะเรียกว่าสันดานมนุษย์ให้ได้แบบโจร ทำตัวให้เหมือนโจร จะได้เข้าใจว่าโจรมันคิดอะไร เพื่อปรับปรุง แก้ไข และออกกฎระเบียบ และการสุ่มตรวจที่มีรอบสุ่มตรวจถี่กว่าเดิม และการสุ่มตรวจ ก็จะต้องสุ่มจริงๆ ไม่ใช่เป็นการกำหนดตาราง ว่าวันนั้นเวลานั้นจะไปตรวจ (นะจ๊ะ)
ที่พูดกันว่า
ตำรวจก็คือโจร โจรก็คือตำรวจ
มันก็คือยุทธวิธีตำรวจอย่างหนึ่ง
เพียงแต่คนเราก็มักจะแพ้ทางอำนาจและเงิน
โฆษณา