เมื่อวาน เวลา 13:57 • ธุรกิจ

🧠 หมดยุคสร้าง eCommerce แบบแจกเยอะ —> “พลิกเกม E-Commerce ไม่ให้แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มได้อย่างไร?”

เพราะสงคราม E-Commerce วันนี้ ไม่ใช่แค่ “ใครแจกเยอะสุด” แต่คือ “ใครเข้าใจลูกค้าลึกสุด และส่งคุณค่าได้จริง” — พร้อมระบบนิเวศที่สร้างความสัมพันธ์ยาวนาน ไม่ใช่เพียงการปะทะระยะสั้น
❌ แจก/แลก/แถม/ให้ “แต้ม” ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเพียงเครื่องมือ  และอาจกลายเป็นภาระถ้าใช้ผิดจุด
หลายองค์กรยังคงเข้าใจผิดว่า "แต้ม" คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทรงพลังในการดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แต้มเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้เพื่อ "รักษา" ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่เดิม ไม่ใช่กลไกที่ดีพอสำหรับสร้างฐานลูกค้าใหม่ หากไม่มี Value Proposition ที่แข็งแรงมาคู่กัน
* การแจกแต้มเพื่อจูงใจคนดาวน์โหลด = Acquisition ที่ได้แค่ครั้งเดียว แต่ไม่มี Retention ที่แท้จริง
* การแถมแต้มหลังการซื้อ (Post-purchase Bonus) มักทำให้ลูกค้า "รู้สึกดีชั่วคราว" แต่ไม่ใช่แรงจูงใจให้กลับมาใช้ซ้ำหาก UX, ความหลากหลายของสินค้า หรือราคายังไม่จูงใจ
* การแลกแต้มเพื่อรับของหรือคูปองที่จำกัดหมวด/วันใช้งาน มักสร้างความหงุดหงิดมากกว่าความผูกพัน เพราะลูกค้าไม่รู้สึกว่าได้เลือก หรือว่าคุ้มค่าเท่ากับการลดราคาแบบตรงไปตรงมา
* แต้มไม่ใช่เงินสด ใช้ได้จำกัด → ไม่ได้สร้าง “Aha! Moment” หรือ Loyalty ที่แท้จริง เพราะลูกค้าไม่รู้สึกว่ามีอิสระในการใช้แต้ม หรือแต้มเหล่านั้นมีมูลค่าจริงในชีวิตประจำวัน
* ลูกค้ายุคใหม่ “รู้ทัน” เกมการตลาด พวกเขาไม่ตื่นเต้นกับการแจกแต้มที่ซับซ้อน หรือจำกัดหมวดหมู่ของใช้ → แถมยังเหนื่อยใจกับเงื่อนไขซ่อนเร้น เช่น ต้องซื้อขั้นต่ำ ใช้ได้เฉพาะวัน หรือใช้ได้กับร้านที่ไม่เคยไป
* การ “แจกแต้ม” เพื่อให้ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมหรือ onboarding แพลตฟอร์มใหม่ มักได้ผลระยะสั้น → แต่หากสินค้าและบริการไม่ตอบ pain จริง → ลูกค้าก็จะทิ้งแต้มโดยไม่สนใจจะใช้เลยด้วยซ้ำ
* “การแลกแต้ม” ถ้าเงื่อนไขยุ่งยาก หรือต้องรวมหลายขั้นตอน → กลายเป็นต้นทุนเวลา ที่ลูกค้าไม่อยากจ่าย
* “การแถมแต้ม” ถ้าเป็นเพียงการปิดการขายแบบไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม → ลูกค้าอาจรู้สึกว่าถูกบีบให้ซื้อเพื่อได้สิ่งที่ไม่อยากได้จริง
Case Study
1. JCPenney ห้างค้าปลีกในสหรัฐฯ
* เคยพยายามพลิกกลยุทธ์ด้วยการแจกแต้มแบบหนักหน่วงเพื่อดึงลูกค้า แต่กลับล้มเหลวอย่างมีนัยสำคัญ
* กลยุทธ์ “Fair and Square” ของอดีต CEO อย่าง Ron Johnson ที่พยายามตัดคูปอง ลดราคา และเปลี่ยนโฉมร้านด้วยภาพลักษณ์ใหม่ กลับทำให้ลูกค้าเก่าที่ชินกับการล่าโปรโมชันและแต้มสะสมรู้สึกสับสนและไม่เห็นคุณค่า
* ผลคือ “ยอดขายร่วงกว่า 25% ภายในปีเดียว และมูลค่าบริษัทหายไปกว่า 50% ในเวลาไม่นาน”
* จุดพลาดสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันโดยไม่สื่อสารกับฐานลูกค้าเดิม และไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่มี loyalty จากระบบแต้มแบบเดิมอย่างแท้จริง (Source : https://edition.cnn.com/2022/11/27/business/jcpenney-stores-ceo-marc-rosen)
2. Rakuten Super Points
* Rakuten ของญี่ปุ่นกลับกลายเป็นต้นแบบที่สำเร็จในระดับสากล โปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาให้ "แต้มมีชีวิต" เพราะสามารถใช้ได้หลากหลายช่องทาง เช่น ซื้อสินค้าทั่วไป, จองโรงแรม, เติมเกม, และยังรวมถึงการใช้แต้มแทนเงินสดได้แบบ real-time กับพาร์ตเนอร์มากมาย
* นอกจากนี้ยังมีแคมเปญ "Super Point Back" และ "Point Up Festival" ที่ให้แต้มสะสมเพิ่มจากการซื้อในโอกาสต่างๆ โดยไม่จำกัดประเภทสินค้า
* ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแต้มมีค่าจริง ใช้ได้ทุกวัน และไม่ต้องจดจำเงื่อนไขซับซ้อน Rakuten จึงกลายเป็น Ecosystem ที่ต่อเนื่องระหว่าง E-Commerce, Fintech และ Lifestyle ซึ่งสร้าง retention ได้อย่างยั่งยืน (Source : https://rakuten.today/tag/rakuten-points)
Insight ที่สำคัญ?
* “แต้ม” อาจเคยเป็นเครื่องมือสร้างความผูกพัน แต่วันนี้แต้มกลับถูกใช้เพื่อหวังจูงใจคนให้ “เริ่มใช้” โดยลืมสร้างเหตุผลให้ “กลับมาใช้” และ “อยู่กับเรา” เหมือนระบบบัตรสมาชิกที่ไม่มีใครอยากใช้ซ้ำ หากไม่สร้างคุณค่าที่จับต้องได้ หรือไม่มี Customer Journey ที่ต่อเนื่องและน่าประทับใจ
* เช่นเดียวกับ Starbucks Rewards ที่ไม่ได้สร้าง loyalty ด้วยแต้มเพียงอย่างเดียว แต่ผสานกับ UX, สินค้าที่เฉพาะทาง, ความสะดวกในการสั่งซ้ำ และความคุ้มค่าที่ลูกค้ารู้สึกได้ทุกครั้งที่ใช้ — “แต้ม” จึงกลายเป็นตัวช่วยเสริม ไม่ใช่พระเอก
🏷️ ทำไม “สงครามราคา” และ “สินค้าซ้ำ” ถึงไม่ใช่ทางรอด?
เพราะสินค้าที่ใครๆ ก็ขายได้ สุดท้ายจะแข่งกันที่ “ราคา” → ซึ่งสุดท้ายไม่มีใครชนะ นอกจากผู้เล่นที่เผาเงินได้ยาวที่สุด
1. Red Ocean ที่ไม่มี Loyalty
* เมื่อลูกค้าซื้อของเดิมซ้ำจากร้านไหนก็ได้ พฤติกรรมการซื้อจึงขึ้นอยู่กับว่าใครถูกกว่า ส่งไวกว่า ซึ่งยากที่จะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว หรือความแตกต่างเชิงอารมณ์ ลูกค้าไม่ได้ผูกพันกับร้านใดร้านหนึ่งเป็นพิเศษ ส่งผลให้ธุรกิจไม่สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำที่ยั่งยืนได้ → กลายเป็นเพียงช่องทางหนึ่งในสมรภูมิราคาแบบ One-time Transaction
2. หมากกลยุทธ์ที่ผิดลำดับ
* ผู้เล่นใหม่ไม่ควรเริ่มต้นด้วยเกมราคา โดยเฉพาะเมื่อไม่มี “ต้นทุนเชิงโครงสร้าง” เช่น ระบบโลจิสติกส์แบบ next-day, inventory control ที่มีประสิทธิภาพ หรือ credit term ที่เอื้อต่อการหมุนเงินในสเกลใหญ่
* ยิ่งไม่มี bargaining power กับ supplier → ยิ่งถูกบีบให้ขายขาดทุน ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นหน้าใหม่ burn rate สูง โดยไม่มีโอกาสสร้าง cashflow ที่เพียงพอต่อการเติบโตจริง
3. ไม่สร้าง Margin ที่เพียงพอ
* เมื่อกลยุทธ์หลักคือราคาถูก คุณจะถูกบีบให้ตัด budget ในสิ่งที่ “สร้างความต่าง” เช่น การทำ UX ให้ง่ายขึ้น, การลงทุนในคอนเทนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจ
* หรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้ลูกค้าสะดวกขึ้นทุกครั้งที่ใช้งาน → สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้ margin ในการขับเคลื่อน หากกำไรต่อหน่วยต่ำเกินไป จะไม่มีโอกาสคืนทุนในนวัตกรรมใดเลย
* และยิ่งกว่านั้นยังตกเป็นเหยื่อของการต้อง “แจกโปร” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า → จนเกิด dependency ต่อแคมเปญแทนการสร้างแบรนด์
ตัวอย่างเช่น Jet.com ที่เคยเป็น eCommerce startup จากอเมริกา พยายามใช้กลยุทธ์ “ราคาต่ำสุดในตลาด” เพื่อต่อกรกับ Amazon → สุดท้ายต้องขายกิจการให้ Walmart เพราะไม่สามารถรักษา margin และ traffic ได้โดยไม่พึ่งพา promo หรือ discount แบบไม่รู้จบ (Source: Forbes)
🎯 ถ้าอยากชนะ ต้องไม่แข่งด้วยสิ่งที่ “ใครก็เลียนแบบได้”
จุดแข็งของ Platform ไม่ใช่แค่ระบบที่ลื่นไหล แต่คือ “คุณค่าที่คนอื่นก็ลอกไม่ได้”
✅ 1. เฉพาะทางและแตกต่างแบบลูกค้าต้องการ (Painkiller Product)
* ขายสินค้าที่ mass platform ไม่มี: อาหารท้องถิ่น, สินค้า OTOP, เวชภัณฑ์เฉพาะทาง, อาหารเฉพาะกลุ่มเช่น Plant-based หรือ Diabetic-friendly
* สินค้าเฉพาะทางที่อิงจาก Insight เช่น เครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย, สินค้าสำหรับเด็กที่มีภาวะพิเศษ, หรือผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากภูมิปัญญาท้องถิ่นแต่ผ่านการปรับปรุงให้ทันสมัย
* เน้น solving pain มากกว่า selling SKU → เช่น สินค้าสำหรับแม่ลูกอ่อน, คนดูแลผู้สูงวัย, สินค้าฮาลาล, หรือสินค้าที่มีองค์ความรู้เบื้องหลัง เช่น วิธีใช้ที่ปลอดภัย หรือมีการให้คำปรึกษาแบบ real-time เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึง “ความใส่ใจไม่ใช่แค่สินค้า”
* สร้าง community ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น กลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มดูแลผู้สูงอายุ หรือคนที่สนใจ zero waste เพื่อให้สินค้าไม่ได้มาเดี่ยว ๆ แต่กลายเป็นทางเลือกของคนที่รู้สึกว่า “นี่แหละคนเข้าใจเรา”
✅ 2. Logistics ที่ลูกค้ารู้สึกได้ทันทีว่า "เร็วกว่าและเชื่อถือได้กว่า"
* ส่งภายใน 2 ชม. ในเขตเมือง → ตอบ pain point "สั่งวันนี้ ใช้วันนี้" เช่น ลูกค้าที่ต้องการของใช้ด่วน, ของสด, หรือเวชภัณฑ์ที่ไม่สามารถรอข้ามวันได้
* ใช้ micro-fulfillment center + การันตีส่งวันเดียวทั่วประเทศ + ระบบแจ้งเตือนที่โปร่งใสและแม่นยำแบบ real-time เช่น แชทบอทติดตามการส่ง, เลือกเวลารับของที่แน่นอน, แจ้งเตือนเมื่อของกำลังใกล้ถึง, หรือ AI assistant แนะนำช่วงเวลาที่เหมาะกับผู้ใช้ที่สุด
* เพิ่มบริการหลังการขายทันที เช่น กดคืนของผ่านแอปได้เลย, ส่งสินค้าผิดมีพนักงานรับเรื่องภายใน 10 นาที, หรือมีเบอร์ฉุกเฉินที่ติดต่อได้จริงตลอดเวลา
✅ 3. Build Platform ไม่ใช่แค่ App
* เปิดให้ร้านค้าภายนอก onboard ง่าย ไม่ติดระบบบัญชี/ภาษีซับซ้อน → เช่น มีระบบ onboarding แบบ video guide, ใช้แค่บัตรประชาชนกับสมุดบัญชีก็เริ่มขายได้
* มีระบบหลังบ้านช่วยผู้ขาย → เช่น สรุป insight ผู้ซื้อ, auto-reply, e-KYC ง่าย, integration กับระบบบัญชีง่ายสำหรับ SME, ฟีเจอร์แจ้งเตือนของที่ขายดี, และระบบแนะนำ SEO สำหรับเขียนคำโปรโมตสินค้า
* แชร์ traffic ระหว่าง partner → เช่น ร้านอาหารท้องถิ่นกับคนผลิตบรรจุภัณฑ์, หรือระบบ affiliate ที่จูงใจ creator ให้เป็นพันธมิตรระยะยาว พร้อม commission แบบ tiered ตามยอดขาย
* มีระบบ reward สำหรับร้านที่ให้บริการดี → เช่น badge ร้านยอดนิยม ร้านส่งเร็ว ร้านมี packaging เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อกระตุ้นให้ ecosystem แข่งกันดี ไม่ใช่แข่งกันตัดราคา
✅ 4. เข้าใจลูกค้าแบบ Deep Insight ไม่ใช่แค่ Persona
* สร้างโปรที่ตอบบริบทจริง เช่น "ช้อปวันเงินเดือนออก", “Flash deal ตอนฝนตก”, "ลดพิเศษวันแม่ให้คุณแม่ช้อปก่อนลูก" หรือ "ดีลพิเศษสำหรับคนเพิ่งย้ายบ้าน/มีลูกคนแรก/ซื้อของครั้งแรกในรอบ 60 วัน"
* เน้น UX ที่ไม่ทำให้ลูกค้าเหนื่อย: ไม่ต้องโหลดหลายแอป, ไม่ต้อง log in ซ้ำ, ใช้ biometric หรือ QR เข้าได้เลย, ทำให้ทุก touchpoint ลื่นไหลแม้ใช้มือถือรุ่นเก่า
* ลดขั้นตอนการ checkout ให้จบใน 2 คลิก ไม่ต้องผูกหลายระบบให้วุ่นวาย + รองรับการชำระเงินแบบหลากหลาย (wallet, ผ่อน, แต้ม, สแกน) และมี reminder ระบบอัตโนมัติหากของในตะกร้าถูกทิ้งไว้
* ใช้ AI เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า เช่น รู้ว่าใครช้อปกลางคืน ใครสั่งของเดิมซ้ำ แล้ว personalized ทั้ง banner, โปรโมชั่น, และลำดับหมวดหมู่ เพื่อให้ลูกค้า “รู้สึกเหมือนแอปนี้ถูกสร้างมาเพื่อเรา”
🔁 อย่าเผาเงิน เพื่อสร้างพฤติกรรมที่ไม่มีวันกลับมา
ธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากการแจกจนลูกค้าเสพติดของฟรี แต่เกิดจากการ “รู้ว่าจะมอบคุณค่าอะไร?” ให้ลูกค้ากลับมาเพราะอยากได้ ไม่ใช่เพราะได้ของ
* ถ้าแต้มใช้เพื่อแรกเข้า → แล้วลูกค้าใช้ครั้งเดียวทิ้ง = ขาดทุนซ้อน เพราะไม่เกิด CLV (Customer Lifetime Value)
* ถ้าแจกเพื่อลงแอป แต่ไม่ได้สร้าง retention loop = ต้องยิงโฆษณาซ้ำ → CAC สูงลิ่ว และ ROI ต่ำอย่างเจ็บปวด
* ถ้า UX ยังซับซ้อนกว่าเจ้าเดิม → ลูกค้าไม่มีแรงจูงใจจะย้ายมาใช้ → ยิ่งเหนื่อย = ยิ่งหนี
เพราะลูกค้าไม่ได้อยากได้ “ของฟรี” แต่เขาอยากได้ “เหตุผลที่จะกลับมาใช้อย่างเต็มใจ”
🚫 กับดักที่ผู้เล่นรายใหม่ต้องระวัง
หลายเจ้าพยายามเดินตามรอย Shopee ด้วยการอัดโปร แจกแต้ม เผาเงินเพื่อเร่งการเติบโต แต่ลืมไปว่าต้นทุนการทำธุรกิจของรายใหม่ “ไม่เท่ากัน” กับผู้เล่นที่มีระบบโลจิสติกส์ของตัวเอง, Bargaining Power กับ Supplier, หรือฐานผู้ใช้งานระดับล้าน
การเข้าสู่ Red Ocean โดยไม่มีจุดต่างที่ชัดเจน = คือการเดินเข้าสงครามที่แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะทุกบาทที่คุณแจกไป ต้องชนะทั้งใน CAC, Retention และ CLV ให้ได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นไปได้ยากในโลกจริงที่คุณต้องทำ Budgeting, Monitor Burn Rate และยังไม่มี Brand Loyalty ที่เพียงพอ
การแข่งขันเรื่องราคาคือ "เกมของทุนใหญ่" ไม่ใช่เวทีฝึกซ้อมของสตาร์ทอัพ — ยิ่งแจก ยิ่งเสี่ยง!!!
หากแพลตฟอร์มใหม่ไม่สามารถสร้าง "ความต่าง" และ "คุณค่า" ได้ตั้งแต่ต้น การพยายามไล่ตามด้วยการแจกมากกว่าเดิม จะนำไปสู่การหมดแรงกลางทาง เหมือนอย่าง Jet.com ที่พยายามสู้ Amazon ด้วยราคาต่ำสุดในตลาด จนต้องยอมขายกิจการให้ Walmart ในที่สุด
🏅 “ชนะด้วยคุณภาพ” = สินค้าและบริการที่ดีกว่า ไม่ต้องแจกแต้มก็อยู่ในใจลูกค้า
ในที่สุดแล้ว แต้มที่แจกไปก็เทียบไม่ได้กับ "คุณภาพจริง" ที่ลูกค้าได้รับในทุกครั้งที่ใช้บริการ
“คุณภาพสินค้าที่จับต้องได้”
* ลูกค้าสมัยนี้ไม่ใช่แค่ซื้อของราคาถูก แต่พวกเขาซื้อเพราะ "เชื่อมั่น" ในคุณภาพ เช่น สินค้าออร์แกนิกที่มีแหล่งที่มาชัดเจน เป็นต้น
* ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานอิสระ หรือของใช้ที่ผ่านการทดสอบจากผู้ใช้จริง
“บริการหลังการขายที่วางใจได้”
* เช่น การคืนสินค้าโดยไม่ซักถาม, การมีแชท (ด้วย AI ที่ฉลาด) ตลอด 24 ชม.,
* หรือการมีเจ้าหน้าที่โทรกลับทันทีเมื่อระบบมีปัญหา → สิ่งเหล่านี้สร้างความรู้สึกว่าแบรนด์ไม่ได้หายไปหลังปิดการขาย
“ประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและเสมอต้นเสมอปลาย”
* ลูกค้าจำนวนมากรู้สึกผิดหวังจากร้านค้าที่บริการดีในครั้งแรก แต่กลับไม่สามารถรักษามาตรฐานได้
* แพลตฟอร์มที่ชนะในระยะยาวคือผู้ที่รักษา "คุณภาพ" ได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น Apple ที่ไม่ต้องลดราคาแต่ผู้ใช้ก็ยังรอคอยสินค้าใหม่ทุกปี เพราะเชื่อมั่นในมาตรฐานที่แบรนด์รักษาไว้เสมอ
“การได้รับมากกว่าที่คาดหวัง”
* บริการที่ใส่ใจในรายละเอียด เช่น การห่อสินค้าอย่างประณีต, การเขียนการ์ดขอบคุณ เป็นต้น
* หรือการเสนอคำแนะนำสินค้าอื่นที่อาจมีประโยชน์ให้กับลูกค้า → ล้วนสร้างความประทับใจเกินมาตรฐานทั่วไป และยากที่คู่แข่งจะลอกเลียนแบบได้
เพราะในยุคที่แต้มถูกแจกจนแทบไร้ค่า แพลตฟอร์มที่ชนะจึงต้องกลับมาให้ความสำคัญกับ "คุณภาพ" ทั้งของสินค้าและประสบการณ์แบบไม่มีเงื่อนไข
🚚 Logistic = “เบื้องหลังชัยชนะที่ลูกค้ามองไม่เห็น แต่รู้สึกได้”
การแข่งขันใน eCommerce ไม่ได้วัดกันที่โปรโมชั่นเท่านั้น แต่ “ใครจัดส่งได้ดีและเร็วกว่า” คือคนที่ลูกค้ารู้สึกถึงคุณค่าทันที
* Speed matters: ลูกค้าในเขตเมืองใหญ่มองว่าการได้รับของเร็วไม่ใช่แค่ความสะดวก แต่คือความมั่นใจในบริการ → ส่งภายในวัน, เลือกช่วงเวลา, หรือมีพัสดุถึงมือในชั่วโมงเร่งด่วน คือประสบการณ์ที่ตรึงใจและสร้าง loyalty ได้มากกว่าแต้ม
* ระบบโลจิสติกส์ที่แม่นยำและโปร่งใส: เช่น real-time tracking, ระบบแจ้งเตือนแบบ personalized, การคาดการณ์เวลาส่งด้วย AI และ fallback plan หากพัสดุติดปัญหา → ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแล แม้ของจะยังมาไม่ถึง
* Cost-to-Serve ที่ต่ำกว่าคู่แข่ง: ผู้เล่นที่ลงทุนใน fulfillment center, last-mile efficiency, หรือ cold-chain delivery มักสามารถจัดการต้นทุนต่อคำสั่งซื้อได้ดีกว่า → ทำให้สามารถลงทุนในโปรโมชั่น หรือบริการพิเศษได้มากกว่า โดยไม่กระทบ margin
* Logistic-first Strategy: Shopee เริ่มต้นจากการเป็น tech-company แต่สามารถ dominate ตลาดได้ในช่วงแรก เพราะควบคุมฝั่ง supply chain เอง ทำให้ลูกค้า “มั่นใจ” ในคุณภาพและระยะเวลาจัดส่งมากกว่าคู่แข่งที่ต้องพึ่งพา logistics จาก third-party
เพราะถ้าแต้มคือ “แรงจูงใจให้ลองใช้” — Logistic คือ “เหตุผลที่ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำโดยไม่ลังเล”
🚀 ดังนั้น eCommerce Platform ที่ยั่งยืน ต้องเล่นเกมที่ตัวเองถนัด และลูกค้าได้ประโยชน์จริง
1. “แต้มไม่ใช่พระเอก” → ต้องทำงานร่วมกับสินค้า-ราคา-UX ที่ “ใช่” และ “คุ้ม” สำหรับผู้ใช้รายบุคคล ไม่ใช่พึ่งพาแต้มเป็นกลยุทธ์หลักแบบที่ผู้เล่นหลายรายเข้าใจผิดจนเผางบโดยไม่ได้ใจลูกค้า
2. อย่าขายของเหมือนเจ้าอื่น แต่ให้คิดแบบ “หมอ” ที่เข้าใจ pain ลูกค้าและหาทางรักษา → ใช้ความเฉพาะทางสร้างความภักดี ด้วยสินค้าและบริการที่คนอื่นลอกไม่ได้
3. ไม่แข่งกันที่แอปไหนสวย แต่แข่งกันที่ใคร “ช่วยชีวิตลูกค้าได้จริง” ในแต่ละวัน → โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าเฉพาะทาง, เวชภัณฑ์, หรือของจำเป็นที่ต้องใช้ตอนนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้
4. ขยายจาก E-Commerce สู่ E-Business → มีทั้ง eLogistics, eFinance, eContent, eEngagement และ eRelationship ที่ยั่งยืน โดยมี supply chain ที่ควบคุมเอง หรือ ecosystem ที่พึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด
5. อย่าหลงทางใน "วงจรแจก" แบบที่ Shopee วางไว้เป็นกับดักสำหรับผู้ตาม → เพราะรายใหม่ที่พยายามแจกมากกว่า ยิ่งเผาเงินก็ยิ่งเจ็บลึก โดยไม่สามารถชนะ CAC หรือ Retention ได้เลย
โลกไม่ต้องการแค่ Marketplace ใหม่ที่แจกมากกว่า…แต่ต้องการ Platform ที่คนรู้สึก “อยากกลับมาอยู่” อย่างเต็มใจ — เพราะมันมีคุณค่าที่เฉพาะตัว ไม่ใช่คูปองที่ใครก็แจกได้
“Don’t play the occasion, play the game.” — เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อดีตผู้จัดการแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้พาทีมชนะเพราะกล้าเลือกเกมที่เหมาะกับตัวเอง ไม่ใช่ไล่ตามคู่แข่งในเกมของเขา (Source : หนังสือ Leading: Learning from Life and My Years at Manchester United)
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#EcommerceStrategy
#PlatformThinking
#PainkillerProduct
#RetentionOverAcquisition
#FromAppToEcosystem
โฆษณา