Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
•
ติดตาม
15 มิ.ย. เวลา 02:35 • นิยาย เรื่องสั้น
บทที่ 2 แฮมเลตได้ฟังเรื่องวิญญาณ
ขณะนี้ภายในท้องพระโรง กษัตริย์แห่งเดนมาร์กทรงพระนามว่าคลอดิอัส กำลังออกว่าราชการ พระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ โดยมีผู้เข้าเฝ้าได้แก่ราชินีของกษัตริย์องค์ก่อนทรงพระนามว่าเกอร์ทรูด เจ้าชายแฮมเลตพระโอรสของกษัตริย์องค์ก่อน โปโลเนียสหัวหน้าคณะที่ปรึกษา พร้อมด้วยบุตรชายนามว่าแลร์เตสและธิดานามว่าโอฟีเรีย ตลอดจนเหล่าขุนนางทั้งหลาย
กษัตริย์คลอดิอัสได้รับสั่งว่า
"พวกท่านทั้งหลาย ข้าอยากจะบอกต่อพวกท่านว่าทุกวันนี้ข้ายังรู้สึกเศร้าเสียใจต่อการจากไปของพี่ชายข้ากษัตริย์แฮมเลตผู้ยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป พสกนิกรยังต้องการให้ข้าปกครองดูแลให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีมีความปลอดภัยและมีความสุข
ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าข้าจะเลือกทางเดินที่ทั้งความโศกเศร้าและความสุขสามารถดำเนินไปพร้อมกันได้ ดังนั้นข้าขอประกาศให้รู้โดยทั่วไปว่าข้าจะจัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่างข้ากับราชินีเกอร์ทรูดพี่สะใภ้ข้า ข้ามั่นใจว่าทั่วทั้งแผ่นดินจะร่วมยินดีและมีความสุขต่อการแต่งงานของเราครั้งนี้ และข้าจะจัดพิธีอภิเษกให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติขององค์ราชินี"
เหล่าขุนนางต่างเปล่งเสียงแสดงความยินดีดังกึกก้องท้องพระโรง
เจ้าชายแฮมเลตตกใจมากต่อเรื่องที่ได้ยิน เขาสังเกตเห็นสีหน้าของราชินีเกอร์ทรูดแม่ของเขามิได้มีความแปลกใจและมีความเสียใจแต่อย่างใด แม่กลับมีสีหน้ายินดีเสียด้วยซ้ำราวกับว่าแม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
กษัตริย์คลอดิอัสรับสั่งต่อไปว่า
"เรื่องต่อไป พวกท่านต่างก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้าเด็กน้อยเฟอร์ทินบราส์กำลังซ่องสุมผู้คนและเสบียง มันกำลังท้าทายอำนาจของข้า แต่มันประเมินข้าต่ำเกินไปซะแล้ว มันคิดว่าเมื่อข้าเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ๆ แล้วบ้านเมืองจะต้องเกิดความวุ่นวาย มันจึงคิดฉวยโอกาสทำการใหญ่เพื่อทวงเอาแผ่นดินที่พ่อมันเสียให้แก่พี่ข้ากลับคืน การกระทำของมันช่างรบกวนจิตใจข้าอย่างยิ่ง ข้าจะไม่ปล่อยมันไว้เด็ดขาด"
เมื่อกษัตริย์คลอดิอัสรับสั่งจบ ได้ทรงสั่งให้นำตัวโวลเทมานด์และคอร์เนเลียสมาเข้าเฝ้าเพื่อรับคำสั่ง
เมื่อทั้งสองได้เข้ามาในท้องพระโรง กษัตริย์คลอดิอัสจึงได้ตรัสกับทั้งสองว่า
"ข้าได้เขียนหนังสือถึงกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ผู้เป็นลุงของเจ้าเด็กน้อยฟอร์ทินบราส์ กษัตริย์เฒ่าผู้อ่อนแอขี้โรคและโง่เขลา มันไม่รู้เลยว่าหลานสุดที่รักของมันกำลังวางแผนการเป็นใหญ่ในนอร์เวย์ ข้าจะบอกมันให้รู้ถึงแผนชั่วร้ายนี้ ข้าสืบรู้มาว่ากองกำลังของเจ้าเด็กน้อยล้วนแล้วแต่เป็นชาวนอร์เวย์ ดังนั้นมันน่าจะเป็นเรื่องง่ายมากที่กษัตริย์เฒ่าจะสามารถจัดการสลายกองกำลังของหลานมันได้ดุดพลิกฝ่ามือ
ข้ารู้ว่าเจ้าทั้งสองเป็นผู้มีความสามารถในการเจรจา ดังนั้นข้าขอแต่งตั้งเจ้าทั้งสองเป็นฑูตนำสาส์นของข้าไปมอบต่อกษัตริย์เฒ่าโดยเร็ว"
เมื่อกษัตริย์คลอดิอัสตรัสจบพระองค์ก็ทรงยื่นกล่องใส่หนังสือดังกล่าวให้ทั้งสองคนรับไป
"ข้าทั้งสองขอรับรองว่าจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังอย่างแน่นอน"
"เจ้าทั้งสองจงรีบไป ข้าจะรอฟังข่าวดี"
เมื่อเทมานด์และคอร์เนเลียสออกไปจากท้องพระโรง กษัตริย์คลอดิอัสสังเกตเห็นแลร์เตสมีท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูด พระองค์จึงตรัสถามว่า
"แลร์เตส ดูเหมือนเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าหรือ? ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดได้ ที่ผ่านมามีอะไรบ้างที่เจ้าถามข้าแล้วข้าไม่ได้ตอบเจ้า? แลร์เตส เจ้าฟังข้าให้ดีนะ คำพูดของเจ้าจะไม่สูญเปล่าเมื่อเจ้าพูดกับกษัตริย์อย่างข้า อย่าลืมนะว่าข้ากับบิดาของเจ้าเราสนิทกันมากเปรียบประดุจดั่งจิตใจกับหัวใจหรือประดุจดั่งมือกับปาก เจ้าพูดออกมาได้เลยแลร์เตส"
เมื่อกษัตริย์คลอดิอัสได้เปิดโอกาสให้แลร์เตสพูดถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะทิ้งโอกาส
"ขอบพระทัยฝ่าบาท ข้าต้องการขออนุญาตจากพระองค์ ทรงยินยอมให้ข้ากลับฝรั่งเศส เหตุที่ข้ากลับมาเดนมาร์กครั้งนี้ก็เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ที่ได้ครองราชสมบัติ บัดนี้การก็สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ข้ากับฝรั่งเศสด้วยพะยะค่ะ"
"ในฐานะพ่อ เจ้าคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร?" กษัตริย์คลอดิอัสตรัสถามโปโลเนียส
"ลูกของกระหม่อมได้เตือนเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่กระหม่อมก็บ่ายเบียงมาโดยตลอด จนถึงบัดนี้กระหม่อมใคร่ขอให้พระองค์ทรงอนุญาตให้มันกลับฝรั่งเศสเถิดพะยะค่ะ" โปโลเนียสตอบ
"ถ้าเจ้าปรารถนาเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับฝรั่งเศสได้ และข้าขออวยพรให้เจ้าใช้ชีวิตที่นั่นอย่างมีความสุข"
ตรัสจบพระองค์ก็หันไปมองเจ้าชายแฮมเลตผู้มีสีหน้าเศร้าหมอง
"คราวนี้ก็มาถึงตาเจ้าแล้วแฮมเลตผู้เป็นทั้งหลานรักและบุตรรักของข้า"
"พระองค์ทรงนับญาติกับกระหม่อมหลายฐานะเสียจริง" แฮมเลตพูดออกเสียงเบาๆ เหมือนกับบ่นพึมพำไม่ให้ใครได้ยิน
"ดูหน้าตาเจ้าสิ แฮมเลต บุตรข้า ใบหน้าเจ้าช่างเศร้าหมองราวกับว่าเจ้าได้แบกรับความทุกข์อันหนักอึ้งไว้ตลอดเวลา"
"ทรงกล่าวผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงหลานของพระองค์หาได้เป็นบุตรของพระองค์ไม่"
"แฮมเลตลูกรักของแม่ เจ้าจงหยุดความเศร้าโศกเสียใจและเอาแต่สวมใส่เสื้อผ้าสีดำตลอดเวลา และแม่ขอให้ลูกจงอย่ามีอคติต่อกษัตริย์ซึ่งตอนนี้เป็นทั้งอาและพ่อของลูก ลูกรู้อยู่แล้วว่าความตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คนทุกคนต้องตายเพื่อกลับไปสู่ความเป็นนิรันดร์" ราชินีเกอร์ทรูดกล่าวกับเจ้าชายแฮมเลต
"แม่กล่าวได้ถูกต้องทุกอย่าง"
"แล้วทำไมลูกถึงทำตัวอย่างนี้ล่ะ"
"แม่หมายถึงอะไรลูกไม่เข้าใจ แต่ลูกอยากบอกแม่ให้รู้ว่าทั้งหมดที่ลูกแสดงออกมันยังไม่อาจทดแทนความรู้สึกที่ลูกมีต่อการจากไปของพ่อ ซึ่งลูกก็เชื่อว่าแม่มองเห็น แต่ว่าใครบางคนสามารถหลอกลวงผู้อื่นว่าตัวเองเศร้าโศกด้วยการแต่งกายหรือด้วยการแสร้งทำสีหน้าให้เศร้าหมองแต่นั่นก็เป็นแค่เปลือกนอก ขอให้แม่รู้ว่าการแต่งชุดดำของลูกก็เป็นแค่เครื่องเตือนใจลูกเท่านั้น"
กษัตริย์คลอดิอัสตรัสกับแฮมเลตว่า
"แฮมเลต เจ้าเป็นคนมีจิตใจงาม เจ้าเป็นลูกที่มีความกตัญญู ข้าขอชื่นชมเจ้าที่ไว้ทุกข์ให้กับพ่อ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าพ่อของเจ้าก็สูญเสียพ่อเช่นเจ้า ปู่ของเจ้าก็สูญเสียพ่อเช่นเจ้า ความเศร้าโศกของเจ้าต่อการจากไปของพ่อเช่นนี้มันออกจะสุดโต่งเกินไป มันไม่ใช่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า มันเป็นการทำร้ายหัวใจและจิตใจอันเปราะบางของตนเอง
เราทุกคนต่างรู้ดีว่าถึงที่สุดแล้วทุกคนต้องตายไม่ช้าก็เร็วแล้วทำไมเราถึงไม่ใส่ใจต่อจิตใจของตนเอง เจ้าทำเช่นนี้เหมือนท้าทายต่อสวรรค์ ท้าทายต่อความตาย ท้าทายต่อธรรมชาติ ข้าขอร้องให้เจ้าจงหยุดเศร้าโศกและกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติ กลับมาเป็นที่รักของแม่ และกลับมาเป็นที่รักของข้าในฐานะพ่อคนใหม่ของเจ้า
ทุกคนในแผ่นดินนี้ต่างรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ที่จะสืบบัลลังก์ต่อจากข้า ดังนั้นข้าขอให้เจ้าจงหมั่นเรียนรู้ในการที่จะเป็นกษัตริย์สืบต่อไป ส่วนการที่เจ้าคิดจะไปใช้ชีวิตที่วิตเตนเบิร์กนั้นข้าไม่เห็นด้วย ข้าอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็นหลานรักของข้า เป็นลูกรักของข้าและเป็นทายาทผู้สืบบัลลังก์ต่อจากข้า ทั้งหมดนี้คือความในใจของข้า เจ้าเข้าใจไหมแฮมเลต"
"ได้โปรด....แฮมเลตลูกรักของแม่ ลูกอย่ากลับไปวิตเตนเบร์กเลย ลูกจงอยู่กับเราที่นี่เถอะ" ราชินีเกอร์ทรุดกล่าววิงวอน
ในที่สุดแฮมเลตก็ทนต่อการร้องขอของแม่ไม่ได้จึงฝืนใจตอบไปว่า
"ตกลงลูกจะเชื่อฟังแม่"
"แฮมเลตเจ้าตัดสินใจถูกต้องแล้ว คำตอบของเจ้าทำให้แม่ของเจ้ามีความสุข"
"ท่านทั้งหลาย วันนี้ข้ารู้สึกมีความสุขมาก ดังนั้นข้าขอดื่มเหล้าจอกนี้มอบให้แก่ทุกท่าน ตลอดจนให้สรวงสวรรค์ได้รับรู้ถึงความสุขของข้า และจากนี้ไปข้าขอเขิญให้พวกท่านไปร่วมงานรื่นเริงในห้องดนตรี"
ทุกคนต่างทยอยเดินออกจากท้องพระโรงไปยังห้องดนตรีเหลือแต่แฮมเลตที่ไม่ได้เดินตามไป
เมื่อแฮมเลตอยู่เพียงลำพังในท้องพระโรง ความเงียบทำให้แฮมเลตคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
"โธ่เอ๋ยตัวข้า ตอนนี้ข้าอยากที่จะให้กายเนื้ออันหยาบกระด้างและสกปรกของข้าได้มลายเป็นอากาศธาตุไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมหนอพระผู้เป็นเจ้าถึงไม่ยอมรับผู้ที่กระทำอัตวินิบาติ โอพระผู้เป็นเจ้า ข้ารู้สึกเหนื่อยอ่อนและสิ้นหวังในชีวิต ตัวข้าเปรียบเสมือนสวนที่ไร้ผู้ดูแลกลายสภาพเป็นป่ารกร้าง ข้ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกัน พ่อข้าจากไปได้เพียงสองเดือน ไม่สิ..มันยังไม่ถึงสองเดือนเลย
พ่อข้าเป็นถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าลุงคลอดิอัสอย่างเทียบกันไม่ได้ พ่อข้าได้มอบความรักแด่แม่ข้าด้วยความทะนุถนอม โอพระผู้เป็นเจ้า ข้าควรลืมมันเสียใช่ไหม แม่ผู้อยู่เคียงข้างพ่อมาตลอดราวกับว่าแม่จะอยู่ไม่ได้เมื่อขาดพ่อ
ในวันฝังศพพ่อ แม่ร้องไห้ฟูมฟายอย่างคนเสียสติ แต่แล้วพ่อจากไปไม่ถึงเดือนน้ำตาแม่ก็เหือดหายไปสิ้น สัตว์มันยังเศร้าเสียใจต่อการจากไปของคู่ชีวิตนานกว่าแม่เสียอีก บัดนี้แม่จะแต่งงานใหม่กับน้องชายสามีตัวเอง โอ...จิตใจแม่ช่างอ่อนเแอและอ่อนไหวเสียเหลือเกิน มันช่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่แม่ข้าจะต้องนอนร่วมเตียงกับน้องชายสามีตัวเองซึ่งเป็นญาติผู้ใกล้ชิด หัวใจข้าบัดนี้ได้แตกสลายท่ามกลางความเงียบที่ไม่อาจบอกกล่าวใครได้"
แฮมเลตจมอยู่ความคิดได้สักครู่ใหญ่จึงได้สติและเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสภาพภายในท้องพระโรง เมื่อเขาออกมายินอยู่หน้าท้องพระโรง ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นโฮราทิโอ มาร์เซลลัสและบาร์นาร์โดกำลังเดินมาพอดี ทุกคนต่างรู้สึกดีใจที่ได้พบหน้ากัน
"สวัสดีครับเจ้าชายแฮมเลต จำข้าได้ไหม ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน" โฮราทิโอกล่าวทัก
"ข้าจำได้แน่นอน ข้าดีใจที่ได้พบเจ้า โฮราทิโอสหายข้า ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้านึกว่าเจ้าอยู่ที่วิตเตนเบอร์กเสียอีก
โอ้!นี่เจ้ามาร์เซลลัสนี่?"
"สวัสดีเจ้าชาย ข้าดีใจที่ท่านจำข้าได้"
"และนี่ก็คือเจ้าบาร์นาร์โด"
"สวัสดีครับเจ้าชาย"
"โฮราทิโอ เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าทำไมเจ้าไม่อยู่ที่วิตเตนเบิร์ก"
"เพราะข้าหนีมายังไง"
"ข้าไม่เชื่อว่าคนอย่างเจ้าทำเช่นนั้น บอกข้ามาตามจริง เจ้ามาอยู่ที่เอลสินอร์ได้อย่างไร? ไหนๆ เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะถือโอกาสสอนให้เจ้าสามารถดื่มเหล้าแล้วไม่ให้เมาก่อนที่เจ้าจะต้องกลับไป"
'บอกเจ้าชายตามตรง ข้ามาที่นี่ก็เพื่อร่วมพิธีศพของบิดาท่าน"
"เจ้าอย่าพูดล้อข้าเล่นเลย เจ้ามานี่ก็เพื่อร่วมพิธีแต่งงานของแม่ข้าต่างหาก
"เจ้าชายมีสิทธิ์คิดเช่นนั้น ถึงอย่างไรมันก็เป็นความจริงที่พิธีแต่งงานจะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้"
"ข้าว่ามันก็แค่อาหารเหลือจากงานศพแล้วเอามากินต่อในงานแต่งงาน บางทีการเผชิญหน้ากับศัตรูอันร้ายกาจบนสวรรค์ยังดีเสียกว่าการต้องมีชีวิตอยู่เพื่อร่วมงานแต่งงานอันน่ารังเกียจ" แฮมเลตทำสีหน้าขยะแขยง จากนั้นจึงพูดต่อ
"โฮราทิโอ ข้าคิดว่าข้าได้เห็นพ่อของข้านะ"
โฮราทิโอสะดุ้งที่ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับอุทานออกมา
"เจ้าชายเห็นพ่อที่ไหนหรือ?"
"มันก็แค่ในความนึกคิดของข้าเอง"
"ข้าได้เคยมีโอกาสเห็นบิดาเจ้าชายครั้งหนึ่ง พระองค์เป็นกษัตริย์ที่น่ายกย่อง"
"ข้าก็เห็นเหมือนเจ้า หากมองบิดาข้าในฐานะปุถุชนคนธรรมดาแล้ว บิดาข้าก็ยังนับเป็นสามัญชนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ท่านมีความสามารถเกือบทุกด้าน จนถึงปัจจุบันนี้ข้ายังไม่เคยเห็นใครที่มีความสามารถเทียบกับบิดาข้าได้"
"ข้าขอบอกเจ้าชายตามความจริงว่า เมื่อวานนี้ตอนกลางคืนข้าได้เห็นวิญญานของเขา" โฮราทิโอพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
"เจ้าหมายถึงวิญญาณผู้ใดบอกข้ามา?"
"วิญญาณกษัตริย์องค์ก่อน บิดาของเจ้าชาย"
"เจ้าหมายถึงเช่นนั้นจริงหรือ?" แฺฮมเลตถามซ้ำด้วยความตื่นเต้น
"เจ้าชายโปรดระงับความตื่นเต้นลงแล้วตั้งใจฟังข้าเล่าให้ดีถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดซึ่งพวกเราในที่นี้ต่างก็เห็นเช่นกัน"
"โฮราทิโอ ได้โปรดเล่ามาให้ละเอียดข้าจะตั้งใจฟัง"
โฮราทิโอจึงค่อยๆ เล่าเหตุการณ์อย่างช้าๆ ให้แฮมเลตฟัง
"วิญญาณได้ปรากฏตัวขณะที่มาร์เซลลัสและบาร์นาโดกำลังเข้าเวรยาม มันปรากฏตัวให้เห็นถึงสองครั้ง และทั้งสองครั้งจะเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืน มันเป็นวิญญาณในชุดนักรบสวมชุดเกราะตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
บาร์นาร์โดเห็นว่าวิญญาณมีหน้าตาเหมือนกษัตริย์องค์ก่อนมาก วิญญาณเดินผ่านทั้งสองอย่างช้าๆ ด้วยท่วงท่าที่งามสง่าถึงสามรอบ แต่ด้วยอารามตกใจกลัว ทั้งมาร์เซลลัสและบาร์นาร์ดโดจึงไม่กล้าพูดอะไรเลยกับวิญญาณ มาร์เซลลัสได้เล่าเหตุการณ์นี้ให้ข้าฟังเหมือนกับที่ข้ากำลังเล่าให้เจ้าชายฟังนี่แหละ มาร์เซลลัสได้ชวนให้ข้าไปดูด้วยตาของตนเองถ้าไม่เขื่อ ด้วยความอยากรู้ของข้า ข้าจึงตัดสินใจไปดูด้วยตาตนเองกับมาร์เซลลัสโดยเลือกในคืนที่ต้องเข้าเวร
ในคืนนั้นเองข้าก็ได้เห็นวิญญาณมาปรากฏตัว วิญญาณมีใบหน้าเหมือนบิดาเจ้าชายมากข้าขอยืนยันเพราะข้าเคยเห็นพระองค์มาก่อน"
"วิญญาณปรากฏตัวที่ไหนหารือ?"
"บริเวณลานด้านหน้าปราสาทซึ่งเป็นตำแหน่งที่พวกเราเฝ้ายาม"
"เจ้าได้คุยกับมันหรือเปล่า?"
"ข้าได้คุยกับมัน แต่มันไม่ยอมคุยกับข้า เอาแต่ผงกศีรษะขึ้นลงหนึ่งครั้งเหมือนกับจะเริ่มพูด แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็มีไก่โผล่มาแล้วส่งเสียงขันเสียงดังจนวิญญาณค่อยๆ จางหายไป"
"เรื่องที่เจ้าเล่ามาเป็นเรื่องที่แปลกมาก"
"ข้าขอสาบาญต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าเรื่องที่ข้าเล่าล้วนเป็นความจริง พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าควรนำเรื่องมาบอกให้เจ้าชายทราบ"
"พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว คืนนี้พวกเจ้ามีหน้าที่ต้องเข้าเวรอีกหรือไม่?"
"ถูกต้อง พวกเราต้องเข้าเวรอีกในคืนนี้" มาร์เซลลัสและบาร์นาร์โดตอบพร้อมกัน
"เมื่อกี้เจ้าบอกข้าว่าวิญญาณสวมชุดเกราะใช่หรือไม่?"
"ใช่ครับ มันสวมชุดเกราะตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย" ทั้งมาร์เซลลัสและบาร์นาร์ดโดต่างแย่งกันตอบ
"อย่างนั้นพวกเจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของวิญญาณได้สิ?"
"ทำไมจะมองเห็นหน้าไม่ได้ล่ะก็ในเมื่อกระบังหน้าของหมวกมันเปิดขึ้นมาครับ" โฮราทิโออธิบาย
"แล้ววิญญาณมันขมวดคิ้วเข้าหากันหรือเปล่า?"
"มันเป็นการขมวดคิ้วที่ออกจะเศร้ามากกว่าโกรธ"
"แล้วใบหน้าของวิญญาณดูซีดหรือออกแดงๆ"
"ใบหน้าทั้งเศร้าหมองและดูซีดมาก"
"แล้วสายตาวิญญาณมันจ้องไปที่ไหน?"
"มันจ้องมองข้าตลอดเวลา" โฮราทิโอตอบ
"ฟังจากพวกเจ้าเล่ามาทั้งหมดข้าชักอยากจะรีบไปดูวิญญาณด้วยตาของข้าเองเสียแล้ว"
"หากเจ้าชายเห็นวิญญาณจริงๆ ท่านอาจจะตกใจอย่างมากก็ได้นะข้าขอเตือนไว้ก่อน"
"ข้ายอมรับว่าข้าคงตกใจจริงๆ ข้าขอถามเจ้าอีกหน่อยว่ามันปรากฏตัวนานแค่ไหน?"
"ก็นานเท่ากับเวลานับหนึ่งถึงร้อยอย่างช้าๆ" โฮราทิโอตอบ
มาร์เซลลัสและบาร์นาร์โดกล่าวพร้อมกันว่า
"ไม่นะ วิญญาณมันอยู่ให้เห็นนานกว่านั้น"
"ก็ตอนที่ข้าเห็นมันก็ประมาณนี้" โฮราทิโอเถียงกลับ
"อย่าเถียงกันเลย ช่างมันเถอะ ข้าขอถามอีกหน่อยว่าเคราของวิญญาณมีสีเทาใช่หรือไม่?"
"เคราของวิญญาณเหมือนของจริงมาก สีออกน้ำตาลเข้มแซมด้วยเคราสีเงิน'
"พวกเจ้าทั้งสามจงฟังข้า ข้าตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้ข้าจะร่วมเฝ้ายามกับพวกเจ้า ข้าหวังว่าวิญญาณจะมาปรากฏตัวอีกครั้ง"
"ข้ามั่นใจว่ามันต้องมาอีกแน่นอน" โฮราทิโอพูดสนับสนุน
"ถ้ามันเป็นวิญญาณที่ดีเหมือนเช่นบิดาข้า ข้าจะพูดกับมันต่อให้ประตูนรกเปิดออกมาแล้วสั่งให้ข้าหยุดพูดข้าก็จะไม่ยอมเด็ดขาด และข้าขอวิงวอนต่อพวกเจ้าให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ก็ตาม แล้วข้าจะตอบแทนพวกเจ้าในภายหลัง คืนนี้ข้าจะไปหาพวกเจ้าระหว่างเวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน และตอนนี้จอให้พวกเราแยกกันก่อนเดี๋ยวึนอื่นจะสงสัย ขอให้โชคดีทุกคน"
"พวกเราทั้งสามขอจงรักภักดีต่อเจ้าชายแฮมเลตตลอดไป"
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับไปแล้ว แฮมเลตยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียว
'ถ้าวิญญาณตนนั้นเป็นพ่อข้าจริงๆ แล้วเสื้อเกราะล่ะ! มันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ข้าอยากให้ถึงคืนนี้เร็วๆ แต่กว่าจะถึงคืนนี้ข้าต้องใจเย็นๆ ก่อน จะบุ่มบ่ามไม่ได้เป็นอันขาด ความจริงจะต้องถูกเปิดเผยไม่ว่ามันผู้ใดคิดจะปกปิด'
จบบทที่ 2
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
นวนิยายแปล
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โศกนาฏกรรมของเจ้าชายแฮมเลต
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย