16 มิ.ย. เวลา 03:50 • ความคิดเห็น
ซากปรักหักพัง ข้างในมันเรื่องราว ที่เราใช้กาย ใช้วิญญาณทั้งหก ที่วิญญาณทั้งหก ไปนำมา บันทึก ส่งลงไปให้จิต จิตเราไม่รับรู้อะไร ส่งต่อไปให้ เก็บไว้ที่ธาตุทั้งสี่ จิตของเรมันเป็นจิตน้อยๆ อาศัยในกาย.. จิตพอมีอารมณ์อะไระเกิดขึ้น ที่ไหลออกมาจากธาตุทั้งสี่ ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ก็ส่งลงไปที่ธาตุทั้งสี่ มีอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ มีตัณหาราคะผุด ขึ้นมา เหมือนบ่อน้ำผุร้อน ธาตุทั้งสี่ในกายก็หวั่นไหว เกิดอารมณ์ต่างๆ ราคะตัณหา อะไรต่างๆ ส่งขึ้นมา มีเสียงอะไรมากมายก่ายกอง ส่งเสียงออกมา ที่เสีนงของอารมณ์ เกิดขึ้น
เสียงของอารมณ์ เกิดขึ้น อารมณ์ก็อุปโลกน์ ว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ดี บางที่ก็เกิดภาพที่อารมณ์อุปโลกน์ ..ไอ้คนนี้ มาติดเตียน อิจฉา .. บางที่เค้าคัดคอนิดเดียว ว่าไม่กี่คำ ..โอ้ย ..จำมาเผาตัวเอง ยึดวิตกวิจารณ์ อะไรมาก็ .. . สรุปมันก็เรื่องที่เกิดขึ้นในกาย เรื่องอารมณ์นึกคิดในกาย ..จิตก็อาศัยในกาย ..จิตนั้น..มันเหมือน ต้องมนต์มายาของอารมณ์ เมามาย ไม่มีสติสัมปชัญญะ รู้จักอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาได้เลย แล้วจะทำอย่างไรดี
..เมื่อไม่สติสัมปชัญญะ ..ก็มาฝึกหัด มาทางนี้ๆ สวดมนต์ ไหว้พระ กราบพระ ..พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อัครสาวก จะมาสวดมนต์ กราบพระ ..ปฏิบัติธรรม กายต้องนิ่ง จิตต้องนิ่ง นำกายที่มีคุณ นำม่กราบพระ ระลึกพระคุณให้ได้ (อย่าไปนึกถคงขิงเน่าในกาย ซากปรักหักพัง) มาปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ภาวนาพุทโธ สองคำ เพื่อเหนี่ยวรั้ง ให้ออกจากอารมณ์นึดคิดต่างๆ ไม่ต้องมีอารมณ์นึกคิด ไม่ต้องพิจารณาอะไรหรอก
..เพราะจิตนั้น มันจมโคลนตมอยู่ ..ทำกายนิ่งๆ นั่งพับเพียบ ..นอบน้อม จิตไปหาพระ ..กายนิ่ง จิตเฉย ..ภาวนาพุทโธ เพื่อสลัดเอาสิ่งที่บันทึก ซากปรักหักพัง ..ที่มันก็ไม่มีตัวตน จับต้องได้ ..เหมือนเป็นนามธรรม
จิตของเราก็เป็นนามธรรม กายนั้นเป็นรูปธรรม ..จับกายมานั่งนิ่ว จิตเฉย ภาวนาพุทโธ ..น้ำโคลนที่เกาะกายกรรม ก็จะค่อยหลุดลอกออกมา เวลามันหลุดลอกออกมา เหมือนถบอกหนังออก มันเจ็บปวด ก็ต้องทน ขันติกอดทน หมั่นเพียรเอาโคลนตมออกไป หรือ จะไม่เอาออก ก็ไม่มีใครว่า เพราะ มันเรื่องจิตใตรจิตมัน ..มันต้องทพเอง พึ่งตัวเราเอง ทำมันขึ้นมาเอง
กายนั้น เหมือนแก้วน้ำ มันมีน้ำนิดเดียว ..น้ำนั้นก็คือจิต .น้อยๆ สิ่งที่อยู่ในแก้วน้ำนั้น คิือกรรม คืออารมณ์กรรมตัวกระทำต่างๆมากมายก่ายกอง น้ำเลือดน้ำหนองผู้ที่มีกรรม ที่หล่อเลี้ยง ตัวกินเลือดกินเนื้อพยาธิต่างๆ เหมือน หนอนไส้เดือนที่ขอนไชอยู่ในดิน เพราะกายนี้ ก็ตั้งขึ้นมาด้วย ธาตุดินน้ำลมไฟ มาประกอยกันขึ้น มันก็มีมดปลวก ไส้เดือนมาชอนไชได้ เวลามองดูเนื้อสัตว์ผลไม้
หากวางไว้เฉยๆ มันก็บูดเน่า เมื่อกินเข้าไป มันก็ไปบูดเน่าเหม็นในท้อง กินอาหารดิรอย่างไร มันก็ไปบูดเน่าเหมือนว่า เราก็กินของเน่าๆทุกวัน พอเห็นรูปนั่นสวยๆ ก็กินของบูดเน่าเหมือนกัน เวลากินนี้ก็เลือกของดีๆมากิน
แต่เรื่องอารมณ์ต่างๆ ที่ไปสัมผัส เอาวิญญาณทั้งหกไปเสพ กลับไม่ใคร่ครวญพิจารณาว่า มันบูดเน่า .เลย ก็ปล่อยให้อารมณ์ บูดเน่า สะสมภายในกาย .พอมากเข้า ไปโทษคนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ ..เพราะในกายนั้น มันเหมือนเป็นดืนดาน น้ำอะไรก็ซึมลงไปไม่ได้เลย ดินดานมันก็เป็นอย่างนี้แหละ
การใช้กายวาจาใจ นั่นมันก็จากเรื่องราวภายใน ในตัวตนที่เพียงรูปกาย ใช้ดีหรือไม่ดี ก็มาจากภายในกาย หรือ ว่า จากข้างนอกกาย .หากข้างในมันดี มันก็ดีออกมาข้างนอก ที่กายวาจาใจ แล้วหากข้างในมันไม่ดี มันเน่า จะทำอย่างไร มันมีอะไรสะเทือนนิดหน่อย เย่านิดหน่อย ของเน่าๆ มันก็ลอยออกมา ฟุ้งออกมาเอง ก็ลองไปสังเกตดูได้ ให้ร่ำรวย ยศศักดิ์ ร่ำรวยเงินทอง มีตำแหน่งใหญ่โต เวลาของเน่าในกายสั่นสะเทือน กายวาจาใจเค้าเป็นอย่างไร มีชมดูเป็นขวัญตา ประเเทืองสติปัญญาตัวเอง
โฆษณา