Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ISM Technology Recruitment Ltd.
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 10:30 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ต้นตอที่แท้จริงของ Bug = ความเข้าใจผิดใน Requirement
Software Developer ส่วนใหญ่โฟกัสที่คุณภาพของ Code แต่ปัญหาที่แท้จริงเริ่มต้นจาก Requirement ที่ไม่ชัดเจน มาเรียนรู้สาเหตุและวิธีแก้ไขที่ต้นตอ กับ ต้นตอที่แท้จริงของ Bug = ความเข้าใจผิดใน Requirement
Software Developer ส่วนมากให้ความสำคัญกับงานที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของ Code เช่น การตรวจสอบ Pull Request, การบังคับใช้แนวทางปฏิบัติที่ดี และการเลือกใช้ Framework แต่ความพยายามเหล่านี้มักจะต้องจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของกระบวนการพัฒนา แท้จริงแล้วปัญหาส่วนใหญ่เริ่มต้นจากความกำกวมหรือ Requirement ที่ไม่ชัดเจน ซึ่งจะซับซ้อนมากขึ้น เมื่อการพัฒนาเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ
บทความนี้จะสำรวจว่าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงพบได้บ่อย และ Developer จะสามารถแก้ไขที่ต้นตอได้อย่างไรบ้าง มาดูกันเลย!
ความชัดเจนที่ลวงตา
ในทีมส่วนใหญ่ งานหรือข้อกำหนดดูเหมือนจะชัดเจนในระดับผิวเผิน เช่น “เพิ่มการแจ้งเตือนของ User” หรือ “ส่งออกเป็น CSV” แต่จริง ๆ แล้วกลับขาดบริบทหรือรายละเอียดที่สำคัญ ความชัดเจนแบบผิด ๆ นี้อาจทำให้ทีมดำเนินงานต่อไปโดยมีความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาในขั้นตอนการพัฒนาได้
แต่หากเจาะลึกลงไป คุณจะพบว่ามีความไม่ชัดเจนที่ซ่อนอยู่ในหลายระดับ เช่น:
• ควรมี Trigger ใดที่กระตุ้นให้เกิดการแจ้งเตือน?
• User จะตั้งค่าการแจ้งเตือนอย่างไร?
• ความล่าช้าที่รับได้ ควรอยู่ที่เท่าไหร่?
• ระบบสิทธิ์ในการเข้าถึง ควรทำงานอย่างไร?
• ถ้า User สร้างการแจ้งเตือน 1,000 รายการ จะเกิดอะไรขึ้น?
• เป้าหมายทางธุรกิจที่อยู่เบื้องหลัง Feature นี้คืออะไร?
บ่อยครั้งเมื่อมีคนถามคำถาม คำตอบที่ได้รับมักไม่ชัดเจน ดังนั้น Developer อาจต้องเดาหรือตัดสินใจเอง โดยอิงจากข้อมูลบางส่วน ซึ่งในภายหลัง เมื่อ QA, User หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน Project เห็นผลลัพธ์ พวกเขาจะพูดว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ"
ปัญหาใน Software เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะ Code มี Bug แต่เกิดจากความเข้าใจผิดหรือการสื่อสารที่ผิดพลาดเกี่ยวกับสิ่งที่ Code ควรจะทำ
เหตุใดจึงเกิดขึ้น
มีเหตุผลเชิงโครงสร้างบางประการที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องใน Requirement ไม่ใช่แค่ Code เท่านั้น:
1. “ความเร็ว” ถูกให้ความสำคัญมากกว่า “การสื่อสารที่ชัดเจน”
หลายทีมให้ความสำคัญกับการทำงานอย่างรวดเร็วมากกว่าการสื่อสารที่ชัดเจน Feature ต่าง ๆ ต้องปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้การเขียน Spec ถูกเร่งรีบหรือบางครั้งก็ข้ามไป ซึ่ง Product Manager ก็เข้าใจว่าทีม Developer จะเข้าใจความต้องการเอง ในขณะที่ทีม Developer ก็เข้าใจว่า Product Manager รู้ชัดเจนว่าต้องการอะไร การขาดความชัดเจนแบบนี้มักนำไปสู่ปัญหาในภายหลัง
2. สมมติฐานที่ทับซ้อนกัน นำไปสู่ปัญหา
Product Manager เข้าใจว่า User ต้องการบางอย่าง (X)
Developer ก็เข้าใจว่าวิธีของตนเอง (Y) เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างสิ่งนั้น
Designer ก็เข้าใจว่าการออกแบบของตนเอง (Z) จะเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ Developer ทำ
สุดท้าย ทุกคนต่างก็มีความเข้าใจของตัวเอง โดยไม่ยืนยันให้แน่ชัด และก็ลงเอยด้วยการสร้าง Feature ที่ดูดีแต่ไม่มีใครต้องการจริง ๆ
3. Requirement ที่แท้จริง มักยังไม่มีใครรู้
บางครั้งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ Requirement ไม่ชัดเจน แต่อยู่ที่ Requirement เหล่านั้นยังไม่ถูกค้นพบ หรือไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่า Feature ควรทำงานอย่างไร จนกว่า User จริงจะได้เริ่มใช้งาน ดังนั้นทีมเหมือนกำลังสร้าง Feature โดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ราวกับทำงานอยู่ในความมืด
4. ภาษาอาจคลุมเครือหรือตีความผิดได้
คนแต่ละคนอาจตีความคำเดียวกันต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางคนพูดว่า “Dashboard” แต่คนอื่นอาจเข้าใจว่าเป็น “Report” หรือคำอย่าง “เรียลไทม์”, “ใช้งานง่าย” หรือ “ปลอดภัย” ก็สามารถมีความหมายต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนพูด หากไม่มีการกำหนดความหมายอย่างชัดเจน คนในทีมอาจสื่อสารกันไม่เข้าใจ และสิ่งนี้มักนำไปสู่ Bug และปัญหาในตัว Product
ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ของความเข้าใจผิดใน Requirement
เมื่อคุณสร้างสิ่งที่ไม่ตรงกับ Requirement:
• คุณจะสิ้นเปลืองเวลาและบั่นทอนกำลังใจของทีม Engineer
• คุณทำให้การส่งมอบงานมีความล่าช้า
• คุณสะสมหนี้ UX จนต้องหาวิธีแก้ไขซ้ำซ้อนไปอีก
• คุณเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจาก User (ลูกค้าอาจถามว่า: ทำไมถึงสร้างสิ่งนี้ แทนที่จะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ)
ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ความเข้าใจผิดใน Requirement แก้ไขได้ยากกว่า Bug ใน Code เสียอีก ซึ่ง Code ที่พังจะมี Stack Trace ให้ตามรอยได้ แต่ความคาดหวังที่ไม่ตรงกันไม่มีสัญญาณแบบนั้นเลย
คุณจะไม่พบปัญหาเหล่านี้ใน Log ของคุณ แต่จะเจอใน Support Ticket อย่างตัวชี้วัดการเลิกใช้งานของ User หรือข้อความใน Slack จากทีมขายที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
จะจับ Bug ได้อย่างไร ตั้งแต่เนิ่น ๆ
วิธีแก้ไม่ใช่การรีวิว Code ให้มากขึ้น แต่คือการมีบทสนทนาที่ดีกว่า ก่อนเริ่มเขียน Code
นี่คือวิธีที่จะช่วยให้เห็น Bug ตั้งแต่ในระดับ Requirement ตั้งแต่ต้นทาง:
1. ให้โฟกัสที่ปัญหาของ User มากกว่าการเน้นแค่ Feature
แทนที่จะถามว่า “เราจะสร้าง Feature แจ้งเตือนอย่างไร?” ให้ถามว่า “User พยายามแก้ปัญหาอะไรด้วย Feature แจ้งเตือนนี้?”
ออกแบบ Solution ของคุณจากจุดที่ User มีปัญหา ไม่ใช่แค่จากสมมติฐานเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหา
2. เขียน Spec โดยใช้ตัวอย่างเป็นหลัก
สร้างความชัดเจนโดยการกำหนดรายละเอียดให้เจาะจง แทนที่จะเขียนว่า “User จะได้รับการแจ้งเตือน” ให้เขียนว่า: “ถ้า User เลือกเปิดใช้งานการแจ้งเตือนทางอีเมล และการใช้งาน CPU เกิน 85% ติดต่อกันเป็นเวลา 5 นาที User จะได้รับอีเมลหัวข้อ ‘การใช้งาน CPU สูงใน Project XYZ’”
การใช้ตัวอย่างช่วยให้ทีมเข้าใจตรงกันว่า ควรเกิดอะไรขึ้นในสถานการณ์จริง ไม่ใช่แค่เป้าหมายเชิงนามธรรม
3. ตั้งคำถาม “อะไรอาจผิดพลาดได้บ้าง?” ก่อนเริ่มงาน
ก่อนเริ่มพัฒนา ประชุมทีมแล้วถามว่า “ส่วนไหนอาจจะถูกเข้าใจผิดหรือก่อให้เกิดปัญหาได้บ้าง?”
ให้ทีม Developer, Designer, Product Manager และ QA ร่วมกันแชร์ความเสี่ยงหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับ Feature วิธีนี้จะช่วยให้ค้นพบสมมติฐานที่ซ่อนอยู่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้แก้ไขก่อนที่มันจะก่อปัญหา
4. พูดคุยโดยตรงกับผู้ที่เจอปัญหา
ถ้าเป็นไปได้ ให้ Developer ได้ยินปัญหาจาก User โดยตรง แม้เพียงประโยคสั้น ๆ เช่น “ผมแค่อยากรู้เมื่อไหร่ที่ระบบจะล่ม เพื่อที่จะได้แก้ไขทันที” ดังนั้นควรให้ความชัดเจนมากกว่า Spec ที่มีความยาว 2 หน้ากระดาษที่เขียนผ่านคนกลาง
5. สร้าง “คำจำกัดความของงานที่เสร็จสมบูรณ์” ที่รวมถึงการสร้างคุณค่า
แค่การพัฒนา Feature เสร็จไม่พอที่จะถือว่างานเสร็จจริง Feature จะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมันส่งมอบผลลัพธ์ที่ User ตั้งใจไว้จริง ๆ คำจำกัดความของงานที่เสร็จสมบูรณ์ที่ดี ควรครอบคลุมทั้งการส่งมอบทางเทคนิคและผลกระทบหรือประโยชน์ที่แท้จริงต่อ User
สิ่งที่ Developer สามารถทำได้
แม้ว่าคุณจะเป็น “แค่ Engineer” แต่คุณไม่ได้หมดอำนาจ
Developer ที่ดี:
• ถามคำว่า “ทำไม?” มากกว่า “ทำอย่างไร?”
• ชี้ให้เห็นเมื่อ Spec ไม่ชัดเจน
• เสนอวิธีที่ง่ายกว่า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกัน
• แจ้งเตือน เมื่อมีความซับซ้อนแอบแฝงในงาน
• ปฏิเสธการสร้างสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ
คุณไม่ใช่เครื่องจักรเขียน Code แต่คุณคือผู้สร้าง Product อย่ายอมรับข้อมูลที่คลุมเครือ
สิ่งที่ทีมสามารถทำได้
สำหรับทีมที่พยายามหลีกเลี่ยงกับดักของ Bug จากความเข้าใจผิดใน Requirement:
• สร้างนิสัยการรีวิว Spec ร่วมกัน ระหว่างทีมที่มีหน้าที่ต่างกัน
• ให้รางวัลสำหรับการเขียนที่ชัดเจนและคำถามเชิงลึก
• ปล่อย Feature เล็ก ๆ และทดสอบความถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ
• มองว่าทุกการเปิดตัว Feature หรือ Product คือโอกาสในการเรียนรู้
ทำให้การ “ผิด” ตั้งแต่ต้นทางเป็นเรื่องที่ปลอดภัย แล้วคุณจะ “ผิด” น้อยลงเมื่อถึงเวลา Run จริง บน Production
Bug ที่อันตรายที่สุด
มักไม่ได้มาจาก Function หรือ Loop ที่ผิดพลาดเสมอไป แต่เกิดจากความเข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการทำงานของระบบ, เอกสารที่ไม่ชัดเจน หรือสมมติฐานที่ไม่ถูกต้อง
แม้ Code ของคุณจะสะอาดและสมบูรณ์แบบทางเทคนิคแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ถ้าคุณกำลังแก้ปัญหาที่ผิด ดังนั้น ก่อนที่คุณจะกด “Merge” ให้หยุดคิดสักนิดแล้วถามตัวเองว่า: “นี่คือคำตอบที่ถูกต้อง ของคำถามที่ถูกต้องจริงหรือ?” “หรือเราแค่เขียน Code ดี ๆ ให้กับไอเดียที่ผิด?”
สิ่งสำคัญ: แก้ความเข้าใจและสมมติฐานให้ชัดเจนก่อน แล้ว Code ที่ถูกต้องจะตามมาเอง
ISM เชี่ยวชาญในธุรกิจ IT Recruitment & IT Outsourcing โดยเฉพาะ ได้เปิดทำการมาแล้วกว่า 30 ปี มีพนักงานทุกสายและทุกระดับทางด้าน IT ที่ได้ร่วมงานกับลูกค้าองค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงและบริษัทข้ามชาติมากมาย
www.ismtech.net
เทคโนโลยี
ไอที
วงการไอที
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย