จากสวนสาธารณะใน Blog ที่แล้วเราจะกลับเข้าไปเดินเล่นในเมืองกันบ้าง วันนี้จะพาไปเที่ยวแถวย่านเก๋ๆ อย่าง Bermondsey เดินลัดเลาะข้าม London Bridge จนไปถึง St. Paul Cathedral กันค่ะ ไปดูกันว่าในระหว่างทางจะมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้าง
Bermondsey เป็นหนึ่งในพื้นที่เก่าแก่และน่าสนใจของลอนดอน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น้ำเทมส์ใกล้กับ London Bridge และ Tower Bridge
และด้วยความที่เป็นย่านแรงงาน ทำให้มีผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดแหล่งเสื่อมโทรมตามมา โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำเทมส์ที่กลายเป็นสลัมขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ Jacob's Island ซึ่งเป็นสลัมที่ถือว่าเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน และสลัมแห่งนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักจากนวนิยายเรื่อง Oliver Twist ของ Charles Dickens นั่นเอง
จาก Fashion + Textile Museum เราจะเดินข้าม London Bridge ไปอีกฝั่งของเมืองเพื่อไปที่ The Royal Exchange ค่ะ
สองข้างทางมีตึกสวยๆ เยอะดี
เดินเพลินๆ แป๊บเดียวก็มาถึง The Royal Exchange แล้วค่ะ
The Royal Exchange คืออาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเคยมีอดีตที่ยิ่งใหญ่ในฐานะศูนย์กลางการค้าและการเงินของอังกฤษ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็น ห้างหรูใจกลางลอนดอนที่ผสมผสานความคลาสสิกและทันสมัยได้อย่างลงตัว
ประวัติความเป็นมาของอาคารหลังนี้
The Royal Exchange ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอนตรงข้ามกับ Bank of England ก่อตั้งขึ้นในปี 1565 โดย Sir Thomas Gresham (เซอร์โทมัส เกรแชม) พ่อค้าผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบิดาแห่งการธนาคารของอังกฤษ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหุ้นแห่งแรกของลอนดอน
The Royal Exchange ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตลาดหลักทรัพย์ในเมือง Antwerp (แอนต์เวิร์ป) ประเทศเบลเยียม ซึ่งเป็นตลาดการเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและ Sir Thomas Gresham ก็เคยทำงานอยู่ที่นั่นมาก่อน
ด้านในอาคารสวยมากๆ
อาคารหลังนี้ก่อสร้างเสร็จในปี 1571 โดยสมเด็จพระราชินี Elizabeth I ได้ทรงเสด็จเปิดอาคารแห่งนี้และให้ชื่อว่า The Royal Exchange
ในปี 1666 ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน (Great Fire of London) ทำให้อาคาร The Royal Exchange ได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องสร้างอาคารหลังที่ 2 ขึ้นทดแทน
Fortnum & Mason ชาร้านดังก็มีสาขาที่นี่
แต่ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้นอีกครั้งจนต้องสร้างอาคารหลังที่ 3 โดยครั้งนี้สถาปนิกผู้ออกแบบได้เปลี่ยนรูปแบบอาคารเดิมที่เป็นสไตล์บาร็อคให้เป็นสไตล์นีโอคลาสสิกโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิหารแพนธีออนในกรุงโรม และอาคารแห่งที่ 3 นี้ได้เปิดอย่างเป็นทางการโดยสมเด็จพระราชินี Victoria ในปี 1844
The Royal Exchange ได้รับการขึ้นทะเบียนอาคารระดับ Grade I และได้ถูกปรับปรุงใหม่อีกครั้งโดยสถาปนิก Aukett Fitzroy Robinson ในปี 2001 ซึ่งได้เปลี่ยนสถานที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของระบบการเงินอังกฤษให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งหรูหรา มีร้านแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่าง Hermès, Tiffany & Co., Fortnum & Mason
นอกจากนั้น The Royal Exchange ยังมีความสำคัญอีกอย่างเพราะที่นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่ใช้สำหรับพิธีประกาศการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์อังกฤษ (Royal Proclamation of Accession) อีกด้วย
โดยหลังจากกษัตริย์พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ จะมีพิธีของ Accession Council ที่ St. James's Palace เพื่อประกาศพระนามของกษัตริย์องค์ใหม่อย่างเป็นทางการ จากนั้นจะมีการอ่านประกาศนี้ในจุดต่างๆ ทั่วลอนดอน โดยหนึ่งในจุดสำคัญที่สุดคือด้านหน้าของ The Royal Exchange บริเวณ Bank junction ซึ่งพิธีนี้ทำกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และยังคงปฏิบัติอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2022 The Royal Exchange ก็ได้เป็นที่ประกาศการขึ้นครองราชย์ของ King Charles III หลังการสิ้นพระชนม์ของ Queen Elizabeth II
จาก The Royal Exchange ฝั่งตรงข้ามเราจะเห็น Bank of England ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งอาคารที่สวยมาก
Bank of England
ใกล้ๆ กันจะมีสถานีรถไฟใต้ดิน Bank Station ที่เราต้องเดินลงไปข้างล่างนิดนึงเพื่อจะได้รูปเก๋ๆ
ตรงประตูทางเข้าสถานีจะมีรูปมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ City of London ด้วย