18 มิ.ย. เวลา 06:40 • ท่องเที่ยว
Bermondsey

ลัดเลาะลอนดอน จากโกดังเก่าสู่มหาวิหาร

Chapter 83/5: From Warehouses to Worship
จากสวนสาธารณะใน Blog ที่แล้วเราจะกลับเข้าไปเดินเล่นในเมืองกันบ้าง วันนี้จะพาไปเที่ยวแถวย่านเก๋ๆ อย่าง Bermondsey เดินลัดเลาะข้าม London Bridge จนไปถึง St. Paul Cathedral กันค่ะ ไปดูกันว่าในระหว่างทางจะมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจบ้าง
Bermondsey เป็นหนึ่งในพื้นที่เก่าแก่และน่าสนใจของลอนดอน ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น้ำเทมส์ใกล้กับ London Bridge และ Tower Bridge
ในช่วงศตวรรษที่ 18–19 ซึ่งเป็นยุคอุตสาหกรรม Bermondsey คือหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของลอนดอนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเครื่องหนัง โรงฟอกหนัง และคลังเก็บสินค้า
ที่นี่จะมีทั้งโกดังเก็บเนื้อ ชีส ไวน์ และสินค้าที่มาจากประเทศอาณานิคมต่างๆ จนย่านนี้ถูกเรียกว่า "London's Larder" หรือห้องอาหารของลอนดอนเพราะเป็นแหล่งเก็บอาหารที่สำคัญของเมือง
อาคารแถวนี้ดูมีความเป็นโกดังมาก
และด้วยความที่เป็นย่านแรงงาน ทำให้มีผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก จนทำให้เกิดแหล่งเสื่อมโทรมตามมา โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำเทมส์ที่กลายเป็นสลัมขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ Jacob's Island ซึ่งเป็นสลัมที่ถือว่าเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน และสลัมแห่งนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักจากนวนิยายเรื่อง Oliver Twist ของ Charles Dickens นั่นเอง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Bermondsey ถูกทิ้งระเบิดเสียหายหนักจนทำให้ต้องมีการฟื้นฟูใหม่ หลายพื้นที่ถูกทิ้งร้างจนกลายเป็นย่านที่เงียบเหงาและซบเซาไปช่วงหนึ่ง
ต่อมาในช่วงปี 1990 ได้มีการบูรณะโกดังเก่าหลายๆ แห่งให้กลายเป็นห้องแสดงงานศิลปะ คาเฟ่ ร้านอาหาร และที่อยู่อาศัยสุดหรู จนย่านนี้เริ่มกลายเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ ศิลปิน และชาวต่างชาติ และทำให้ Bermondsey กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
ร้านกาแฟเก๋ๆ ย่านนี้เยอะมาก (ป.ล. ชื่อร้านนี้โหดจัดเลย 😅)
จริงๆ เราเคยพามาเดินแถวนี้อยู่ครั้งนึงแต่เป็นการมาแบบแป๊บๆ วันนี้พอดีมีเวลาเลยอยากเดินเล่นแถวนี้ซักนิดว่ามีอะไรน่าสนใจ
ที่นี่มี White Cube Gallery ซึ่งเป็นหอศิลป์ที่มีการจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยให้ดูด้วย
White Cube Gallery
และวันนี้ก็ดวงดีมาก White Cube Gallery ปิดปรับปรุงซะงั้น…เอาไงดี search ดูมี Fashion + Textile Museum อีกที่ที่อยู่ไม่ไกลงั้นไปดูอันนั้นแทนละกัน
Fashion + Textile Museum
แค่ตัวอาคารนี่ก็น่าสนใจละเพราะเป็นโกดังเก่าที่เอามาตกแต่งใหม่แบบมีเอกลักษณ์มาก เพราะเค้าทาตึกทั้งหลังด้วยสีส้ม+ชมพู จนทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยมและสัญลักษณ์ของย่าน Bermondsey เลย
ป.ล. ที่นี่มีค่าเข้าด้วยนะคะ ผู้ใหญ่คนละ 13 ปอนด์
Fashion + Textile Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอศิลปะร่วมสมัยที่เกี่ยวกับแฟชั่นและสิ่งทอ
เข้าไปก็จะเจอกับประวัติศาสตร์ของสิ่งทอในทวีปต่างๆ ว่ามีความเป็นมายังไง ลักษณะการแต่งกายของแต่ละท้องที่เป็นยังไง
จบชั้นหนึ่งขึ้นไปชั้นสองต่อ มีงานแสดงนิดหน่อยและก็มีห้องเวิร์กช็อป
เอาจริงๆ ที่นี่มันเล็กมาก เดินแป๊บเดียวไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จบแล้ว อาจจะเพราะวันที่เราไปไม่ได้มีงานแสดงอะไรที่โดดเด่นด้วยก็เลยรู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้น่าสนใจสำหรับเราเท่าไหร่ 😕
จาก Fashion + Textile Museum เราจะเดินข้าม London Bridge ไปอีกฝั่งของเมืองเพื่อไปที่ The Royal Exchange ค่ะ
สองข้างทางมีตึกสวยๆ เยอะดี
เดินเพลินๆ แป๊บเดียวก็มาถึง The Royal Exchange แล้วค่ะ
The Royal Exchange คืออาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเคยมีอดีตที่ยิ่งใหญ่ในฐานะศูนย์กลางการค้าและการเงินของอังกฤษ แต่ปัจจุบันได้กลายเป็น ห้างหรูใจกลางลอนดอนที่ผสมผสานความคลาสสิกและทันสมัยได้อย่างลงตัว
ประวัติความเป็นมาของอาคารหลังนี้
The Royal Exchange ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอนตรงข้ามกับ Bank of England ก่อตั้งขึ้นในปี 1565 โดย Sir Thomas Gresham (เซอร์โทมัส เกรแชม) พ่อค้าผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบิดาแห่งการธนาคารของอังกฤษ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหุ้นแห่งแรกของลอนดอน
The Royal Exchange ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตลาดหลักทรัพย์ในเมือง Antwerp (แอนต์เวิร์ป) ประเทศเบลเยียม ซึ่งเป็นตลาดการเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและ Sir Thomas Gresham ก็เคยทำงานอยู่ที่นั่นมาก่อน
ด้านในอาคารสวยมากๆ
อาคารหลังนี้ก่อสร้างเสร็จในปี 1571 โดยสมเด็จพระราชินี Elizabeth I ได้ทรงเสด็จเปิดอาคารแห่งนี้และให้ชื่อว่า The Royal Exchange
ในปี 1666 ได้เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน (Great Fire of London) ทำให้อาคาร The Royal Exchange ได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องสร้างอาคารหลังที่ 2 ขึ้นทดแทน
Fortnum & Mason ชาร้านดังก็มีสาขาที่นี่
แต่ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้นอีกครั้งจนต้องสร้างอาคารหลังที่ 3 โดยครั้งนี้สถาปนิกผู้ออกแบบได้เปลี่ยนรูปแบบอาคารเดิมที่เป็นสไตล์บาร็อคให้เป็นสไตล์นีโอคลาสสิกโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิหารแพนธีออนในกรุงโรม และอาคารแห่งที่ 3 นี้ได้เปิดอย่างเป็นทางการโดยสมเด็จพระราชินี Victoria ในปี 1844
The Royal Exchange ได้รับการขึ้นทะเบียนอาคารระดับ Grade I และได้ถูกปรับปรุงใหม่อีกครั้งโดยสถาปนิก Aukett Fitzroy Robinson ในปี 2001 ซึ่งได้เปลี่ยนสถานที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของระบบการเงินอังกฤษให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งหรูหรา มีร้านแบรนด์ระดับไฮเอนด์อย่าง Hermès, Tiffany & Co., Fortnum & Mason
นอกจากนั้น The Royal Exchange ยังมีความสำคัญอีกอย่างเพราะที่นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่ใช้สำหรับพิธีประกาศการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์อังกฤษ (Royal Proclamation of Accession) อีกด้วย
โดยหลังจากกษัตริย์พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ จะมีพิธีของ Accession Council ที่ St. James's Palace เพื่อประกาศพระนามของกษัตริย์องค์ใหม่อย่างเป็นทางการ จากนั้นจะมีการอ่านประกาศนี้ในจุดต่างๆ ทั่วลอนดอน โดยหนึ่งในจุดสำคัญที่สุดคือด้านหน้าของ The Royal Exchange บริเวณ Bank junction ซึ่งพิธีนี้ทำกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และยังคงปฏิบัติอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2022 The Royal Exchange ก็ได้เป็นที่ประกาศการขึ้นครองราชย์ของ King Charles III หลังการสิ้นพระชนม์ของ Queen Elizabeth II
จาก The Royal Exchange ฝั่งตรงข้ามเราจะเห็น Bank of England ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งอาคารที่สวยมาก
Bank of England
ใกล้ๆ กันจะมีสถานีรถไฟใต้ดิน Bank Station ที่เราต้องเดินลงไปข้างล่างนิดนึงเพื่อจะได้รูปเก๋ๆ 
ตรงประตูทางเข้าสถานีจะมีรูปมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ City of London ด้วย
ท่ามกลางกลุ่มอาคารเก่าแก่ก็ยังมีอาคารใหม่ๆ ขึ้นแทรกอยู่ด้วย
เดินต่อมาอีกไม่ไกลก็จะเจอกับ St. Paul Cathedral ละ วันนี้ขอถ่ายรูปในมุมแอบๆ เพราะไปมาหลายรอบละ
St. Paul Cathedral
ส่วนอันนี้เป็น Christchurch Greyfriars Church
Christchurch Greyfriars Church
โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 และได้ถูกระเบิดทำลายโครงสร้างส่วนใหญ่ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเหลือเพียงผนังและหอระฆัง และปัจจุบันได้ถูกบูรณะให้กลายเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองที่ผู้คนสามารถมานั่งพักผ่อนหย่อนใจได้
เป็นสวนเล็กๆ ที่น่ารักดี
ภายในยังคงมีเสาโค้ง ต้นไม้และไม้เลื้อยตกแต่งอย่างสวยงาม บรรยากาศเหมือนกับเป็นสวนลับในเมืองเลย และแม้จะเหลือแค่ซากแต่สถานที่นี้ก็ได้รับการจดทะเบียนเป็น อาคารอนุรักษ์ระดับ Grade I อีกด้วย
ก่อนจบ Blog มีอีกที่ที่อยากนำเสนอ คิดว่าหลายๆ คนคงเคยไปมาแล้ว Bicester Village (อ่านว่า "บิสเตอร์ วิลเลจ") ค่ะ
ที่อยากพามาเพราะเราว่านอกจากที่นี่จะมีของน่าช้อปเยอะแล้ว มันยังสวยด้วย
Bicester Village เป็น Outlet สินค้าแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมือง Bicester ห่างจากลอนดอนประมาณชั่วโมงเดียว
แต่ละร้านเค้าทำได้น่ารักมาก
แล้วห้องน้ำของที่นี่ก็อย่างหรูเลย สวยจนต้องขอถ่ายรูป 🤣
เป็นบรรยากาศของ Outlet ที่ชวนให้เสียตังค์จริงๆ เนอะ
Blog นี้นอกจากจะพาไปเดินเล่นในเมืองลอนดอนกันแล้ว ก็ยังพาออกมาที่ Bicester Village ช้อปปิ้งกันพอหอมปากหอมคอ หวังว่าจะชอบกันนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าที่เราจะพาไปเที่ยวที่ประเทศไหนอีก ต้องติดตามกันนะคะ สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา