Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
sansati ศานสติ
•
ติดตาม
11 ก.ค. เวลา 12:23 • การศึกษา
ความดีที่ไม่ได้มาตรฐาน
คนเราใช้มาตรฐานอะไรเป็นตัวตัดสินความดีงาม? สมัยนี้คนจำนวนมากไม่มีศาสนา ไม่นับถืออะไรเลย คนที่ไม่มีศาสนาจะมีเหตุผลส่วนตัวอะไรก็ตามแต่ ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถเป็นคนดีได้ เพราะขึ้นชื่อว่าเกิดเป็นมนุษย์ อย่างน้อยต้องรู้จักผิด-ชอบ ชั่ว-ดี มีคุณธรรมพอสมควร จึงจะมีบุญมากพอได้เกิดมาเป็นมนุษย์
แต่นั่นเป็นเพียง “ชนกกรรม” ที่ทำให้เกิดมามีรูปกายและจิตวิญญาณเช่นนี้ กรรมใหม่ที่คุณกระทำก็เป็นตัวชี้วัดเหมือนกันว่า สถานภาพปัจจุบันของคุณ ยังมีจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์เหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน? หรือว่ามันตายไปแล้วทั้งๆที่ยังมีลมหายใจ! สภาพภายนอกดูแล้วยังเป็นคน แต่จิตใจตกต่ำลงไปเป็นสัตว์ในอบายภูมิ เปลี่ยนภพภูมิกันตั้งแต่ยังมีชีวิต รอบุญเก่าหมดเท่านั้น ก็จะแปลงสภาพไปเป็นสัตว์ในอบายทั้งรูปร่างและจิตวิญญาณ
หากจะกล่าวถึงมาตรฐานตัดสินความดีของคนที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ก็คือ ศีลหรือข้อห้ามปฏิบัติ ไม่ควรทำ ถือเป็นบาป และข้อที่ควรปฏิบัติเพื่อความเจริญทางด้านจิตใจภายใน ซึ่งมีหลักเกณฑ์ใหญ่ๆเหมือนกันในทุกๆศาสนา มีที่แตกต่างกันบ้างในรายละเอียด
เมื่อทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี มาตรฐานความดีอันนี้ ก็ถูกพิสูจน์และได้รับการยอมรับมาเป็นเวลายาวนาน เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าคนที่นับถือศาสนานั้นจะเชื้อชาติอะไร ล้วนต้องปฏิบัติตัว ตามคำสั่งสอนของศาสดาศาสนานั้นๆเหมือนกัน ถือว่าเป็นมาตรฐานความดีที่มีร่วมกัน จัดว่าผ่าน ISO ใช้ได้เท่าเทียมกันทั่วโลก
สำหรับคนไม่มีศาสนา มาตรฐานความดีงามจะเป็นเรื่องส่วนบุคคล หรือกลุ่มคนที่เชื่ออะไรเหมือนๆกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าไม่มีมาตรฐานชี้วัดที่ชัดเจน เพราะว่าคนเราเชื่อไม่เหมือนกัน มาตรฐานศีลธรรม แม้กระทั่งกับบุคคลหนึ่งๆ ก็ยังอาจปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้ตามความพอใจ แล้วแต่สถานการณ์ ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้ตัดสินว่า การเป็นคนไม่มีศาสนาจะต้องมีศีลธรรมต่ำ หรือไม่มีทางเป็นคนดีได้ เพราะมีหลักฐานให้เห็นอยู่แล้วว่า คนไม่มีศาสนาบางคน อาจมีศีลธรรมรู้จักผิดชอบ ชั่วดี มากกว่าพวกมีศาสนาบางคนด้วยซ้ำ
แต่เพราะเป็นมาตรฐานส่วนตัวนั่นแหละ จึงเป็นเครื่องตัดสินที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ยุคสมัยนี้เป็นเรื่องยากที่จะเห็นว่าตัวเองชั่วอย่างไร เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่อีโก้อัตตาตัวตนสูง ต่างคนต่างก็คิดว่า “ฉันเป็นคนดี” และมีมาตรฐานในการชี้วัดของตัวเอง ซึ่งเลี่ยงไม่ได้เลยว่ามาตรฐานนั้นเข้าข้างตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นมาตรฐานที่ตรงกับความเป็นจริง
หากทำผิดพลาดแม้ได้โอกาสกลับตัวกลับใจใหม่ ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะเลือกทำอย่างเดิม ถ้ายังไม่เปลี่ยนความเชื่อ สิ่งที่ทำจนติดนิสัยลงลึกไปเป็นสันดาน และฝังลึกในจิตใต้สำนึกจนเลือกทำแบบเดิมซ้ำๆ นี่แหละที่ตรงดังคำกล่าวที่ว่า คนดีทำดีง่ายทำชั่วยาก คนชั่วทำชั่วง่ายทำดียาก
คุณเคยมีประสบการณ์ตรง หรือได้ยินได้ฟังว่ามีเด็กเล็กๆที่ชอบเล่นขี้ เล่นฉี่ตัวเองหรือเปล่า? ต่อให้เราบอกว่าอย่าเล่น! อย่าเล่น! มันสกปรก อย่างไรก็ตาม ด้วยความไร้เดียงสา เขาก็ยังชอบทำและเล่นอย่างสนุกสนาน ทั้งป้ายตัวเอง ป้ายพื้น ป้ายผนังไปทั่ว และแม้กระทั่งเอาเข้าปากตัวเอง เผลอเป็นไม่ได้ ต้องอาศัยวันเวลา และประสบการณ์ในการเติบโต การเรียนรู้ที่มากขึ้นตามลำดับ จึงจะเรียนรู้ได้เองว่าการเล่นขี้มันไม่ดียังไง
คราวนี้ลองกลับมาเปรียบเทียบดูว่า คุณเองก็เช่นกัน กำลังเกลือกกลั้วอยู่กับอะไรที่สกปรกโสมม หยาบช้าลามก ดึงจิตวิญญาณภายในของคุณให้ตกต่ำอยู่บ้างหรือเปล่า? แต่นอกจากคุณจะไม่รู้สึกสกปรก แล้วยังสนุกไปกับมันด้วยไหม? แตกต่างจากเด็กข้างต้น การหลงในลักษณะนี้ เห็นได้ยากแม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าใครๆจะคิดเองได้ ถึงจะผ่านประสบการณ์ในชีวิตมามากมายเพียงใดก็ตาม เพราะเครื่องพิสูจน์คือ คนแก่บางคนแก่แต่ตัว ที่เขาเรียกแก่กะโหลกกะลานั่นแหละ ยังสู้เด็กบางคนที่รู้จักคิดไม่ได้เลย
เรื่องความเชื่อ ความหลง แกะออกได้ยาก เปลี่ยนกันยาก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลาหรือประสบการณ์ คนเรามักจะยึดติดและเกิดความเคยชินเป็นนิสัย แม้มีคนหวังดีแนะนำ ตักเตือน ห้ามปราม ก็ยังยากจะฟังหรือทำตาม ชาวพุทธเราเรียกว่าอาจิณกรรม นี่คือเหตุผล ที่แม้จะรู้ว่าผิดแล้วยังไม่อยากแก้ไข หรือแก้ไขได้ยาก เหล่านี้นำมาซึ่งการไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
หากไม่มีพระพุทธเจ้ามาให้ปัญญา สั่งสอน ว่าอะไรคือ ผิด-ชอบ ชั่ว-ดี บุญ-บาป คนเราส่วนใหญ่จิตใจก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำโดยธรรมชาติ ด้วยความมืดบอดไร้ปัญญานี่เอง ปัญญาจึงเหมือนแสงสว่างที่ขจัดความหลงเชื่อ หลงยึดติดออกไปจากจิตวิญญาณ ดั่งคำของพระพุทธองค์ที่ว่า แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี เพราะปัญญาคือสิ่งเดียวที่ขับไล่ความเขลาที่มืดบอดในลักษณะนี้ได้
เพราะคนเราเห็นผิดเป็นชอบได้ ชั่วจนชินได้ เป็นแมลงวันตอมขี้อยู่แท้ๆ แต่คิดว่าตัวเองเป็นผึ้ง ไอ้ที่คิดว่าถูกหรือดี อาจจะไม่ได้ถูกและดีจริงๆ หากจะเอาหลักศีลธรรมส่วนตัวตัดสิน สิ่งนั้นต้องมีความเข้มแข็ง ขนาดไหนนะเหรอ? ก็ขนาดที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ต้องตาย ก็จะไม่ยอมผิดศีลธรรมภายในใจที่ตั้งเอาไว้โดยเด็ดขาด จึงถือว่าเป็นมาตรฐานที่พอเชื่อถือได้ ไม่ใช่แบบไม้หลักปักขี้เลน โอนเอนไปมา เลื่อนขึ้นลงได้ตามความชอบใจ
แต่ตรงจุดนี้ต้องระวังเรื่องศีลธรรมที่ยึดถือ จำเป็นต้องมีมาตรฐานถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย เพราะการมีศรัทธาและเชื่อผิดๆในทางศีลธรรมนั้นมีอยู่ และมีคนที่เชื่อถึงขนาดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จึงต้องระวังอย่างมากกับความน่ากลัวของศรัทธาแบบมืดบอด
ตัวอย่างจากคำพูดที่ว่า “แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ชั่วอะไรมากมาย” หรือ “ต่อให้ใครจะว่าไม่ดียังไง ฉันก็ยังเห็นว่าเขาดี” ถ้าเป็นอะไรทำนองนี้ละก็ สิ่งที่คุณใช้ตัดสินดี-ชั่ว คือความชอบ ไม่ใช่ความดี! ความดีที่ไม่ได้มาตรฐานไม่ผ่าน ISO แบบนี้ ใช้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ตัดสินอะไรไม่ได้เลย
เรื่องของกรรมมีแต่ขาวกับดำแบ่งกันชัดเจน ไม่มีสีเทา ไปป้ายสีกันเอาเองนะ และนั่นก็เป็นการสะกดจิตตัวเองให้เห็นผิดเป็นชอบแล้ว การรับวิบากตัดสินจากหลักความจริงไม่ใช่ความเชื่อ หรือความชอบของใคร แม้แต่คนที่มีศาสนาเอง พึงระลึกว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสดา แม้ความดีจะมีมาตรฐานผ่าน ISO แต่ไม่ได้ verify จึงเป็นได้แค่พวกมือถือสากปากถือศีล ไม่มีความดีของจริงที่จะนำไปตัดสินอะไร ไม่ว่ากับตนเองหรือผู้อื่น สิ่งอื่น
คนเรามองและตัดสินโลกด้วยมาตรฐานของตนเองทั้งนั้น ฉะนั้นต้องเตือนตัวเองไว้ หากปราศจากศีลธรรมอันดี คุณไม่ได้เป็นคนดีพอที่จะไปบอกกล่าว ห้ามปราม หรือแนะนำสั่งสอนใครได้เลย
เพราะเหตุนี้ศาสนาพุทธจึงเน้นการสังเกตุและพิจารณาตน เพราะคุณธรรมทั้งหลายเริ่มจากเราเอง หากไม่มี การบอก สอน บังคับคนอื่นนั้น ถือเป็นคำโกหก เหมือนหลวงพ่อชาท่านเคยกล่าวไว้ว่า “สอนเขาแล้วตัวเองไม่ทำ ก็เป็นครูสกปรก” การจะไปตัดสินคนทั้งโลกได้ ต้องเริ่มจากการเห็นความดีความชั่วในตัวเองก่อน ไม่ใช่มัวแต่ไปบอกว่าคนนู้นไม่ดียังไง คนนี้ผิดยังไง แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองดีหรือชั่วยังไง
เป็นเรื่องสำคัญมากที่ความดีของเรา ต้องได้มาตรฐานมากพอที่จะตัดสิน ผิดถูกดีชั่ว ไม่อย่างนั้น เราจะใช้ชีวิตอยู่บนความหลงตัวเอง และนำความทุกข์ใหญ่มาให้ได้ง่ายๆ โลกภายนอกสะท้อนโลกภายใน หากอยากใช้ชีวิตที่มีความทุกข์น้อย ต้องอยู่บนโลกแห่งความจริง ตัดสินทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความเชื่อ ความชอบ ความอยาก หรือความฝัน!
ขอบคุณภาพจาก
https://www.pinterest.com/pin/123849058496189051/
พุทธศาสนา
บทความ
แนวคิด
1 บันทึก
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย