12 ก.ค. เวลา 08:49 • การศึกษา

พระไม่มีไม่ดี ที่ไม่ดีไม่ใช่พระ

สมัยนี้มีหลายคนที่รู้สึกว่าไม่อยากนับถือพระสงฆ์ หรือแม้กระทั่งรู้สึกเกลียดไม่อยากยุ่งด้วย เพราะได้ยินข่าวคาวๆของพระสงฆ์ตามสื่อต่างๆ มาให้รู้ให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป เราอยากให้คุณได้มาฟังคำอธิบายนี้ ก่อนที่จะเลิกนับถือพระสงฆ์ เพราะการถือพระรัตนตรัยไม่ครบนั้น ไม่ถูกต้อง
คำว่า “พระ” แปลว่าประเสริฐ เราชาวพุทธเคารพกันที่คุณธรรมความดี และพระสงฆ์ในพระรัตนตรัยนั้น หมายถึงพระอริยสงฆ์ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป การเป็นพระสงฆ์จึงไม่ได้เป็นด้วยการผ่านพิธีกรรม แต่เป็นด้วยการปฏิบัติจนมีปัญญาขั้นต้น เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วเท่านั้น ยิ่งในสมัยพุทธกาลการบวชนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีพิธีการมากมายเหมือนปัจจุบันนี้
ส่วนผู้ที่บวชผ่านพิธีกรรม แต่ยังไม่ได้ฝึกฝนจนได้ปัญญาขั้นต้นนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นพระสงฆ์ในพระรัตนตรัย มีคำเรียกหาว่า “สมมติสงฆ์” เป็นพระเพียงสมมุติเท่านั้น หากการบวชเป็นพระของคนผู้นั้น ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในศีลในธรรม รักษาข้อวัตร อยู่ในพระวินัยก็ถือว่ามีความเป็น “พระ” คือเป็นผู้ประเสริฐในระดับหนึ่ง ควรค่าแก่การทำความเคารพ แต่ระดับนี้ยังถือว่า เป็นการเคารพในฐานะผู้ที่มีศีลธรรมมากกว่า ไม่ได้เคารพในฐานะเป็นพระสงฆ์ในพระรัตนตรัย
ตรงข้ามหากบวชมาแล้วปริยัติก็ไม่เอา ปฏิบัติก็ไม่ทำ ได้แต่อาศัยเครดิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์พระอริยเจ้าทั้งหลาย รวมถึงพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีความประเสริฐอยู่ในตัว ในการอาศัยกินอาศัยอยู่ พูดอะไรก็ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ เพราะคนเห็นแก่เครื่องแบบของพระพุทธเจ้า แม้ไม่ได้ทำผิดอะไรมากมายเพิ่ม ก็สามารถทำให้เป็นเปรตได้แล้ว ชีวิตก่อหนี้สินมากกว่าบุญกุศล
การบวชพระ ทำให้คุณมีหนี้มาก ทั้งหนี้สงฆ์และหนี้ฆราวาส หนี้สงฆ์ก็อย่างที่ว่าเครดิตพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์พระอริยเจ้า ฯลฯ หนี้ฆราวาสก็ได้แก่ ปัจจัย 4 ที่ไม่ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง มีข้าวของดีๆให้ได้กินใช้ ได้อยู่อาศัยก็เพราะฆราวาสเลี้ยงดู ซึ่งมักจะถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะหาได้เสมอ
การที่พระพุทธเจ้าดำรัสพระวินัยให้พระอยู่อย่างสมถะ ครองผ้าเพียง 3 ผืน ฉันเพียงมื้อเดียวหรือสองมื้อ ฯลฯ นอกจากจะเป็นการฝึกตนเพื่อละวางกิเลสแล้ว ยังเป็นการแบ่งเบาภาระของญาติโยมอีกด้วย เพื่อให้พระอยู่ง่าย กินง่าย เลี้ยงง่ายไม่เป็นภาระมากจนเกินไป แค่เพียงมีลมหายใจในร่มกาสาวพัสตร์ก็เป็นหนี้ท่วมท้น ถ้าลมหายใจนั้นไม่ใช่อานาปานสติ ถ้าการกินการอยู่ของคุณไม่ได้เป็นไป เพื่อการภาวนาหรือให้อรรถให้ธรรมชาวบ้าน ยังประโยชน์ให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น
และหากกระทำหนักข้อยิ่งกว่านั้น ด้วยการทำพระให้เป็นอาชีพ บวชหวังลาภสักการะ อามิสบูชา พวกพุทธพาณิชย์ทั้งหลาย ชั่วชีวิตคุณไม่เคยปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่งเสริมให้ญาติโยมมีแต่มิจฉาทิฏฐิเหนียวแน่น ไม่สอนสัมมาทิฏฐิให้ บิดเบือนคำสั่งสอนนอกรีตนอกรอย เขาผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นแม้แต่สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นแค่คนที่มาแต่งคอสเพลย์ เป็นเพียงปรสิตของพุทธศาสนา อย่าทำพระให้เป็นอาชีพ เพราะคุณจะตกนรก
พวกที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธา ในพระพุทธศาสนานั้น เรียกว่าเป็นพวก "อลัชชี" คือ พวกที่รู้ทั้งรู้ว่าผิดยังทำและไม่คิดแก้ไข พวกนี้ไม่ได้เป็นพระตั้งแต่ต้น ถ้าบวชเข้าพิธีจริงๆไม่จำเป็นต้องจับสึก ก็ขาดจากความเป็นพระโดยสมบูรณ์ในตัวมันเองอยู่แล้ว กิเลสไม่กลัวผ้าเหลือง ตาลปัตร พัดยศไม่ได้กันตกนรก
ถ้าทำไม่ดีการตกนรกของพระนั้น ง่ายยิ่งกว่าฆราวาสเป็นร้อยเป็นพันเท่า แถมยังมีวิบากกรรมที่หนักหน่วงข้ามภพข้ามชาติ เพราะคุณทำกรรมกับพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ทั้งหมด ทางดับทุกข์ของคุณจึงไม่ใช่แค่รกชัฏ แต่ยังมืดบอดอีกด้วย เรียกว่าเข้าขั้นพิการซ้ำซ้อนก็ว่าได้
ในกรณีที่ไม่ได้บวชแต่เอาผ้าเหลืองมาห่ม เพื่อไปหลอกลวงเรี่ยไรเงินจากผู้คน ความผิดทางโลกตามกฎหมาย สามารถแจ้งจับได้ในข้อหา แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ถ้าทางธรรมก็ผิดศีลข้อ 2 และข้อ 4 อาจจะไปเป็นเปรต แต่ก็ไม่แน่อาจจะถึงขั้นตกนรกเลยก็ได้ อันนี้ต้องไปดูในรายละเอียดอีกที
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นไม่ดี จะต้องจบไม่ดีเสมอไป ตัวอย่างมีให้เห็นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล จนถึงรุ่นครูบาอาจารย์หลายท่านก็เคยเล่าว่า ตอนที่ท่านบวชนั้นบวชด้วยเหตุผลที่ผิด หวังได้อิทธิฤทธิ์อภิญญาบ้าง หวังเพื่ออาศัยศึกษาหาความรู้ อยู่กินชั่วคราว เพื่อที่จะสึกไปทำอย่างอื่นบ้าง แต่เข้ามาในร่มกาสาวพัสตร์แล้ว ค้นพบธรรมะซึ่งเป็นของจริง กลับมาเห็นถูกเข้าใจถูกมีสัมมาทิฏฐิ จนบางองค์บวชไม่สึก หรือถึงขั้นได้ปัญญาขั้นสูงสุดเลยก็มี
นอกจากนี้ยังมีพระสงฆ์อีกประเภทหนึ่ง คู่ควรแก่การเคารพกราบไหว้บูชา ที่แม้ไม่ได้เข้าพิธีบวช เป็นคนทั่วไปอย่างเราๆท่านๆ ใส่กระโปรงนุ่งกางเกง ดูภายนอกเป็นคนธรรมดาแต่ภายในใจนั้นเป็นพระแล้ว แม้จะไม่ได้เข้าพิธีใดๆแต่บวชที่ข้างใน ผู้คนเหล่านี้ก็ถือว่า เป็นพระสงฆ์ในพระรัตนตรัยเช่นกัน กล่าวคือ เหล่าพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ ที่เป็นระดับพระโสดาบันขึ้นไป ในคราบฆาราวาสนั่นเอง
ในสมัยพุทธกาลฆาราวาสที่เป็นพระอริยะมีมากมาย และที่ไม่ได้บวชเลยตลอดชีวิตก็มีจำนวนมาก เหมือนที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านเคยกล่าวไว้ “ผู้ที่บวชภายนอก แต่ภายในไม่ได้บวชก็ตกนรกมานับไม่ถ้วน ผู้ที่บวชภายในแต่ภายนอกไม่ได้บวชก็ขึ้นสวรรค์ ไปนิพพานกันนับไม่ถ้วนเช่นกัน”
การที่จะดูว่าใครเป็นพระที่แท้ จึงไม่ได้ดูกันแค่เปลือกนอก มันต้องดูไปให้ถึงข้างใน ต้องอาศัยการสังเกตและเวลาในการที่จะพิสูจน์ว่า ใครเป็นพระที่แท้จริง ให้ถือเอาว่าผู้ที่บวชเป็นแค่สมมติสงฆ์ หากเขาไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่ควรค่าแก่การเคารพกราบไหว้แล้ว แม้กระทั่งบางคนไม่ต้องจับสึก ก็หมดขาดจากความเป็นพระแล้ว
ในสมัยพุทธกาล พระอริยเจ้าที่เป็นฆราวาสจะทำการแบนพระสงฆ์ประเภทนี้ ไม่ตักบาตร ไม่ทำบุญ ไม่พูดคุยด้วยเลย เป็นอริยะขัดขืน แต่เปิดโอกาสให้ปรับปรุงตัวก่อน ไม่งั้นก็อาจจะได้จับสึกกัน ดังนั้นในยุคสมัยนี้ ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะกราบพระทุศีล หมิ่นพระอริยะอยู่ก็เป็นได้ เพราะนับถือกันแค่เครื่องแบบภายนอก ไม่มองไปถึงข้างใน
พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันเป็นต้น แค่ศีล 5 ก็เป็นได้ (แม้เมื่อเข้าถึงความเป็นพระอริยะเจ้าแล้ว จะไม่ถือศีลแบบเป็นข้อๆก็ตาม แต่จะมีศีล 5 บริสุทธิ์โดยไม่ต้องรักษา) ท่านเป็นพระโดยไม่ได้ผ่านการบวช แต่ปฏิบัติจนได้ปัญญาภายใน บางท่านไม่สะดวก หรืออาจมีภาระบางประการที่ทำให้ไม่อาจบวชได้ แต่ใจท่านบวชแล้ว ใจเป็นพระแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นพระสงฆ์ในพระรัตนตรัยเช่นกัน เป็นเนื้อนาบุญที่ไม่มีเนื้อนาบุญใดยิ่งกว่า
เราเป็นชาวพุทธต้องฉลาดในการที่จะดูว่า ใครเป็นพระแท้ พระเทียม ไม่งั้นก็จะหลงกราบไหว้บูชาคนที่ไม่ควรแม้แต่จะบูชา ไปพายเรือให้โจรนั่ง เพราะพวกนี้ทำลายพระพุทธศาสนา แถมยังอาจเดินตามคำสอนผิดๆ ลงนรกไปด้วยกันกับเขา ไม่อยากถูกหลอก ก็ต้องศึกษาก่อนว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร แล้วใครคือผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราต้องรู้ตรงนี้ก่อนว่าอะไร คือปฏิบัติดี อะไรคือปฏิบัติชอบ แล้วอะไรคือเนื้อนาบุญของโลก
เหมือนคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูเพชรแท้นั่นแหละ เขาต้องศึกษาเรียนรู้วิธีที่จะทดสอบได้ว่า เพชรนั้นเป็นเพชรแท้ แล้วก็ลงมือทดสอบดูจนได้ผลลัพธ์ เช่นกัน เราชาวพุทธหากอยากนับถือพระที่แท้ และไม่หลงไปกับพระเทียมที่แต่งคอสเพลย์ทั้งหลายแล้ว ควรรู้จักแยกแยะลงไป ใครเป็นของจริง อย่าไปหลงด่าเหมารวมว่าพระสมัยนี้ ไม่มีดีเลย เนี่ยรู้ไหมว่าสร้างวิบากกรรมให้ตัวเอง เพราะจะขาดที่พึ่งและหลงผิดอย่างยิ่ง
พระที่แท้ยังมีอยู่ค่ะ เพียงแต่ว่าคุณจะมีความรู้มากพอที่จะแยกแยะหรือเปล่า ว่าใครของแท้ใครของเทียม เพราะมันไม่ได้ดูกันแค่ภายนอก ดีไม่ดีเผลอๆคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณ อาจจะเป็นพระนอกเครื่องแบบก็ได้นะ
สรุปคือ ถ้าจะให้ดีจริงๆ อย่ามัวแต่มองหาเนื้อนาบุญภายนอก จนลืมสร้างพระภายในใจของเราเอง ที่พึ่งที่แท้จริงของเราอยู่ภายใน ให้รู้จักขัดเกลาตัวเอง มีศีลมีธรรม การสร้างปัญญาให้แก่ตัวเอง คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด จากการถูกหลอกของพวกที่ดูเหมือนพระแต่ไม่ใช่พระ เราต้องรู้จักสอนตัวเองให้ประเสริฐได้จากภายใน เป็นหนทางที่พระพุทธเจ้ายกย่อง
หากคุณเข้าใจตามที่อธิบายมาแล้ว คงสบายใจได้ว่า ถ้าหากจะกราบพระแต่ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพระจริงๆหรือเปล่า ก็ให้ตั้งใจเอาไว้ว่า เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หากเขาเป็นพระคือผู้ประเสริฐจริงๆ ก็รวมอยู่ในพระสงฆ์ที่เรากราบด้วยแล้ว แต่หากไม่ใช่เราก็ไม่ได้กราบเขา
ส่วนเขาจะหลงตัวเอง แล้วคิดผิดเห็นผิดไปว่าเรากราบเขา มันก็เป็นเรื่องบาปกรรมของเขาเองที่ขาดปัญญา เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ขอให้ถือพระรัตนตรัยให้ครบ เพราะพระสงฆ์ไม่มีทางที่จะไม่ดี ให้สมกับได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธผู้มีปัญญา และผู้มีปัญญามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ขอขอบคุณภาพจาก
โฆษณา