Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เติมความสุข
•
ติดตาม
24 มิ.ย. เวลา 02:57 • ประวัติศาสตร์
มาการ์เรต แทตเชอร์: สตรีเหล็กผู้พลิกโฉมสหราชอาณาจักร
ในหน้าประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร มีสตรีผู้หนึ่งที่โดดเด่นด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาอย่างแรงกล้า จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก นั่นคือ **มาการ์เรต ฮิลดา แทตเชอร์** ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า "สตรีเหล็กแห่งแดนผู้ดี"
มาการ์เรต แทตเชอร์ (นามสกุลเดิม โรเบิร์ตส์) เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1925 ที่เมืองแกรนแธม ประเทศอังกฤษ เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของอัลเฟรดและเธตเทล โรเบิร์ตส์ ผู้เคร่งศาสนาและปลูกฝังความสนใจทางการเมืองให้แก่เธอตั้งแต่เด็ก อัลเฟรดผู้เป็นพ่อได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเทศบาล และทั้งครอบครัวก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์การเมืองโลก
ชีวิตในวัยเรียนและจุดเริ่มต้นทางการเมือง
แม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของมาการ์เรตในวัยเด็กคือการเรียนรู้ เธอเป็นนักเรียนที่เรียนดีเยี่ยม ได้รับทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นอกจากความสามารถด้านวิชาการแล้ว เธอยังโดดเด่นด้านกิจกรรม และเป็นประธานนักเรียน
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1947 มาการ์เรตเริ่มต้นทำงานในสายงานวิจัย แต่ความสนใจทางการเมืองยังคงเป็นแรงผลักดันหลัก เธอเริ่มสนใจการเมืองอย่างจริงจังหลังจากได้อ่านงานเขียนเรื่อง "The Road to Serfdom" ของ Friedrich Hayek ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอัตลักษณ์ทางการเมืองของเธอ และในปี ค.ศ. 1946 เธอก็ได้ขึ้นเป็นประธานสมาคมอนุรักษ์นิยมแห่งมหาวิทยาลัย Oxford
ก้าวแรกสู่การเมืองระดับชาติและการเริ่มต้นชีวิตคู่
ในปี ค.ศ. 1948 เธอเข้าร่วมการสัมมนาของพรรคการเมืองท้องถิ่นสายอนุรักษ์นิยม และต่อมาได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรคอนุรักษ์นิยมในเขต Dartford เมื่ออายุเพียง 24 ปี ชีวิตรักของมาการ์เรตก็เบ่งบานเช่นกัน ในปี ค.ศ. 1949 เธอได้พบกับ **เดนิส แทตเชอร์** นักธุรกิจพ่อหม้ายผู้ให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ ทั้งคู่แต่งงานกันในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1951 และมีบุตรแฝดชายหญิงสองคนคือ แครอลและมาร์ค เดนิสส่งเสริมให้มาการ์เรตเรียนกฎหมายจนสำเร็จและเป็นทนายความ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปูทางสู่เส้นทางการเมืองของเธอ
แม้จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งในช่วงแรก แต่ความเฉลียวฉลาดและความโดดเด่นในฐานะนักการเมืองอนุรักษ์นิยมหญิงที่อายุน้อยที่สุด ก็ทำให้เธอได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอย่างล้นหลาม ในที่สุดปี ค.ศ. 1959 มาการ์เรตได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เธอได้เป็นเลขาธิการรัฐสภา โฆษกกระทรวงต่างๆ และเมื่อพรรคของเธอเป็นฝ่ายค้าน เธอก็ได้รับเลือกให้ทำงานในรัฐบาลเงา
แนวคิด "สตรีเหล็ก" และการเป็นนายกรัฐมนตรี
มาการ์เรตมีแนวคิดทางการเมืองที่แข็งกร้าวและเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง เธอเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยมดั้งเดิมที่ต้องการให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงกลไกตลาดน้อยที่สุด และต่อต้านแนวคิดรัฐสวัสดิการ เธอเชื่อว่าภาษีที่สูงจะทำให้ประชาชนขี้เกียจและประเทศหยุดนิ่ง นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ต่อสู้เพื่อกฎหมายการทำแท้งถูกกฎหมายและเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายการรักร่วมเพศที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ในช่วงที่เธอเป็นผู้นำฝ่ายค้าน มาการ์เรตเริ่มมีปากเสียงบนเวทีการเมืองโลก เธอประณามการกระทำของรัสเซียในการสร้าง "ม่านเหล็ก" ที่แบ่งแยกยุโรปตะวันตกและตะวันออก ซึ่งทำให้หนังสือพิมพ์รัสเซียขนานนามเธอว่า **"สตรีเหล็ก" (Iron Lady)** ซึ่งกลายมาเป็นฉายาประจำตัวของเธอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจในอังกฤษและปัญหาความไม่พอใจของประชาชนต่อพรรคแรงงาน ในที่สุดปี ค.ศ. 1979 มาการ์เรต แทตเชอร์ก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของสหราชอาณาจักร
นโยบายที่แข็งกร้าวและการเผชิญหน้ากับความท้าทาย
ในฐานะนายกรัฐมนตรี มาการ์เรตแทตเชอร์ดำเนินนโยบายที่ "จี๊ด" และสร้างความเห็นต่างอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายด้านเศรษฐกิจ เธอสั่งลดภาษีเงินได้ ต่อต้านการสร้างรัฐสวัสดิการ และจัดการกับสหภาพแรงงานอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ เธอยังจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อด้วยการจำกัดปริมาณเงินในระบบ ซึ่งแม้จะทำให้เกิดภาวะว่างงานในช่วงแรก แต่ในระยะยาวก็ส่งผลให้เงินเฟ้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงที่คะแนนนิยมของเธอตกต่ำถึงขีดสุด โชคชะตาก็เข้าข้าง เมื่ออังกฤษเกิดข้อพิพาทกับอาร์เจนตินาเรื่องหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ มาการ์เรตประกาศสงครามทันที และสามารถยึดหมู่เกาะกลับคืนมาได้สำเร็จ การกระทำนี้ปลุกกระแสชาตินิยมและทำให้คะแนนนิยมของเธอพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เธอได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี ค.ศ. 1983 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 1987
ในสมัยที่สาม มาการ์เรตยังคงเดินหน้าด้วยนโยบายเศรษฐกิจเสรีอย่างเต็มตัว โดยการแปรรูปกิจการของรัฐบาลให้เอกชนเข้ามาดูแล ซึ่งแม้จะทำให้บริการบางอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนบางส่วน นอกจากนี้ เธอยังสร้างความไม่พอใจจากการสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในการติดตั้งจรวดมิสไซล์ในอังกฤษ และการช่วยเหลือในการรบกับลิเบีย
อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญที่มาการ์เรตต้องเผชิญคือปัญหาการเรียกร้องเอกราชของไอร์แลนด์เหนือ เธอยืนกรานที่จะไม่ยอมให้ไอร์แลนด์เหนือเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ และสั่งปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงชาวไอริชอย่างเด็ดขาด
สิ้นสุดบทบาททางการเมืองและการจากไป
ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่ง มาการ์เรตสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนอีกครั้งด้วยนโยบาย "Poll Tax" ที่บังคับให้ประชาชนจ่ายภาษีโรงเรือนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะรายได้หรือขนาดที่อยู่อาศัยเป็นอย่างไร นอกจากนี้ การปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสมาชิกสภายุโรปและยืนกรานที่จะไม่ให้อังกฤษละทิ้งสกุลเงินปอนด์ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1990
หลังลงจากตำแหน่ง มาการ์เรตยังคงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นบารอนเนส ทำให้เธอมีที่นั่งในสภาขุนนาง เธอใช้เวลาในการเขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตทางการเมือง และยังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรต่างๆ
ในช่วงท้ายของชีวิต มาการ์เรต แทตเชอร์ต้องเผชิญกับอาการเส้นเลือดในสมองอุดตันและภาวะความจำเสื่อม สามีของเธอ เดนิส แทตเชอร์ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 2003 มาการ์เรต แทตเชอร์ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2013 ด้วยวัย 87 ปี การจากไปของเธอสร้างความรู้สึกผสมปนเปให้กับชาวอังกฤษ บางส่วนแสดงความยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนจำนวนมากที่แสดงความเสียใจและชื่นชมเธอในฐานะหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ
มาการ์เรต แทตเชอร์ คือสตรีผู้ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใคร ด้วยแนวคิดทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ จนกลายมาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ลัทธิแทตเชอร์นิยม" เธอได้พลิกโฉมสหราชอาณาจักรและสร้างผลกระทบที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงและศึกษามาจนถึงทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์
ข่าวรอบโลก
ความรู้รอบตัว
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย