25 มิ.ย. เวลา 16:12 • ปรัชญา

'วิถีเซน' ต้นทางสู่ความคิดแบบ 'วะบิ สะบิ' อรรถรสของความคลุมเครือที่อธิบายไม่ได้ต่อความงามแบบญี่ปุ่น

‘เซน (Zen)’ กล่าวอ้างว่าอยู่เหนือตรรกะ และการตีความเป็นภาษา
เมื่อชุดความรู้ใดๆถูกแสดงออกมาในรูปแบบตรรกะและคำพูด เซนจะย้อนกลับกระบวนการเหล่านั้น เซนรังเกียจตรรกะ และมักนิ่งเงียบเมื่อถูกเรียกร้องให้แสดงออก เซนสวนย้อนกระบวนการสร้างความรู้แบบปกติ และวางลงไปในวิธีฝึกจิตอันเฉพาะเจาะจงเพื่อปลุกปัญญา
‘เซน’ นำเสนอการเข้าถึงจิตวิญญาณอันแท้จริงด้วยการละเลิกพิธีกรรม และคัมภีร์ (ท่องตำรา) กระทั่งการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ
‘เซน’ อยากให้เราเข้าถึงจิตวิญญาณอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจิตวิญญาณนั้นคือ ‘ปรัชญา และกรุณา’
‘ปรัชญา’ คือ ‘ปัญญาสูงสุด’ ทำให้เราพิจารณาความเป็นจริง หยั่งถึงความสำคัญพื้นฐานของชีวิต หยุดยั้งความวิตกกังวลใจ
‘กรุณา’ คือ ‘ความรัก ความเวทนา ความเห็นอกเห็นใจ’ สามารถเผื่อแผ่ไปยังทุกสรรพสิ่งโดยไม่ถูกขัดขวางจากความเห็นแก่ตัว
วิธีการฝึกฝนของเซน อยู่ที่การมีประสบการณ์ส่วนบุคคลเกี่ยวกับสัจจะ (มีส่วนร่วมโดยตรงกับความเป็นจริง) ไม่ใฝ่ใจต่อระบบความรู้และกรอบทฤษฎีต่างๆ ซึ่งเซนเชื่อว่าเป็นระบบที่วุ่นวายอยู่เพียงพื้นผิว ไม่มีวันนำไปสู่ข้อเท็จจริง
เซน ถ่ายทอดไม่ได้ เกินกว่าความเข้าใจในระบบภาษา
คติของเซน คือ ไม่พึ่งพาคำพูด เป็นเรื่องส่วนบุคคล เรื่องส่วนตัว อยู่กับปัจเจกบุคคล ทุกสิ่งที่สำคัญต่อการฝึกฝนและวิถีชีวิตนั้นสนับสนุนโดยประสบการณ์ตรงของตนเอง
คำพูดและตัวอักษรเป็นสิ่งกีดขวางในเซน ชีวิตเราจดจำคำต่างๆ เล่นแร่แปรธาตุกับแนวคิด แสดงตรรกะ แล้วหวนคิดว่าเราฉลาด แต่รูปแบบของปัญญาเช่นนี้ไม่เคยเป็นประโยชน์เมื่อจำเป็นต้องอยู่กับความจริงในชีวิต
ว่ากันอย่างหยาบๆ ความรู้มีอยู่ 3 แบบ คือ แบบที่อ่านหรือฟังมา แบบวิทยาศาสตร์ที่เป็นผลจากการสังเกตและทดลอง สุดท้ายคือความรู้แบบที่เข้าถึงจากความเข้าใจโดยสัญชาตญาณ ซึ่งก่อกำเนิดพื้นฐานของศรัทธาทุกประเภท
ลักษณะเฉพาะของวิธีคิดและความรู้สึก ที่เซนมีต่อสิ่งอื่น
1. เพ่งพินิจไปยังจิตวิญญาณ ละเลิกความสนใจเรื่องรูปทรง
2. หรืออาจเพราะเราสามารถค้นพบจิตวิญญาณในทุกสรรพสิ่ง
3. ความขาดแคลน ความไม่สมบูรณ์ ถือเป็นสิ่งที่สามารถแสดงออกถึงจิตวิญญาณได้ดีกว่า
4. การไม่ใส่ใจต่อรูปทรง ไม่ใส่ใจต่อวิถีปฏิบัติที่ทำตามกันมา จะทำให้จิตวิญญาณเข้าสู่ความเปลือยเปล่า เงียบสงบ ความเหงา และความโดดเดี่ยว
5. ความสันโดษ ความโดดเดี่ยว คือการบำเพ็ญจิต เป็นการตัดอะไรที่ไม่จำเป็นออกให้หมดเท่าที่จะเป็นไปได้
6. ความโดดเดี่ยว คือการมีชีวิตทางโลกแบบไม่ผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด
7. ความโดดเดี่ยวเป็นที่สุด จะอยู่ในทุกอย่าง
ศาสนาพุทธนิกายอื่นอาจจำกัดขอบเขตอิทธิพลต่อชีวิตเพียงแค่ทางจิตวิญญาณ แต่เซนไปไกลกว่านั้น เซนเข้ามาจนถึงภายในทุกขั้นตอนวิถีทางวัฒนธรรมของคนๆหนึ่ง
เซน ซาบซึ้ง สภาวะสันโดษ
わびさび
วะบิ わび (wabi) : ความยากจน ไม่อยู่ในกระแสสังคม ยากจนคือการไม่พึ่งพาสิ่งหนึ่งสิ่งใดในทางโลก แต่ภายในยังคงตระหนักถึงสิ่งทรงคุณค่าสูงสุด (การพึงพอใจ) พึงพอใจอย่างเงียบๆ พินิจพิจารณาธรรมชาติ เพียงพึงพอใจกับโลกโดยส่วนใหญ่ก็สามารถมอบแรงบันดาลใจได้แล้วสำหรับเรา เมื่อมุ่งเน้นใส่ใจไปยังจิตวิญญาณอันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ความใฝ่ใจในรูปทรงจะถูกละเลิกไปเอง
ความงาม จึงไม่จำเป็นต้องมาจากรูปทรงที่สมบูรณ์แบบ เมื่อ “ความงามจากความไม่สมบูรณ์” อยู่คู่กับลักษณะโบราณ ความไร้จริตเก่าแก่ เราจะสามารถเห็นเสี้ยวหนึ่งของ ‘สะบิ’ ที่ประกอบขึ้นในความดิบ ไร้การดัดจริต ความไม่สมบูรณ์แบบ กระบวนการที่ดูเรียบง่ายไร้ความพยายาม
วะบิ คือการมีไม่เพียงพอ ไม่มีความสามารถจะแสวงหาทุกอย่างที่ต้องการได้ โดยทั่วไปคือชีวิตแห่งความยากไร้และหดหู่ แต่เขาไม่กังวลกับสถานการณ์นี้ ผู้ที่รู้จักวะบินั้นปราศจากความโลภ ความรุนแรง ความโกรธ ความขี้เกียจ ความไม่สบายใจ และความเขลา เขาเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างพอเพียงด้วยความไม่เพียงพอ ไม่แสวงหามากไปกว่าที่จะหาได้ หยุดคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานะจำกัดจำเขี่ย หากเขามีความคิดว่าตนนั้นยากจน เขาจะไม่ใช่ ‘คนแห่งวะบิ’ อีกต่อไป แต่เป็นแค่คนจนเท่านั้น
สะบิ さび (sabi) : ความเหงา ความโดดเดี่ยว สัมพันธ์กับการมีสมาธิไตร่ตรอง ไม่ต้องการความหรูหราฟู่ฟ่า ซึ่งวิธีคิดเรื่องความโดดเดี่ยวนั้นเป็นของโลกตะวันออก ไม่พบนักในแนวคิดแบบตะวันตก
ลักษณะไม่เท่ากัน หรือ อสมมาตร เป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของศิลปะญี่ปุ่น ศิลปะญี่ปุ่นได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีเซนที่พิจารณาวัตถุแต่ละอย่างว่าสมบูรณ์ในตัวมันเอง ขณะเดียวกันก็มีธรรมชาติขององค์รวมที่เป็นหนึ่งเดียว
ความไม่สมดุล อสมมาตร หนึ่งมุม ยากไร้ เรียบง่าย โดดเดี่ยว สร้างลักษณะเด่นชัดของศิลปะและวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งหมดทั้งมวลมาจากการรับรู้สัจจะแบบเซน คือ “หนึ่งเดียวในความมากมาย และความมากมายในหนึ่งเดียว” สัญชาติญาณพื้นฐานของเซนใกล้เคียงกับความรู้สึกทางศิลปะที่กระตุ้นให้สร้างสรรค์สิ่งสวยงาม คือการแสดงออกซึ่งความสมบูรณ์ ผ่านสิ่งที่ไม่สมบูรณ์
เซนมีหลักการอยู่ในประโยคที่ว่า “หนึ่งเดียวในทั้งหมด และทั้งหมดในหนึ่งเดียว (One in all and All in one)” การบูชาพระเจ้าเป็นสิ่งที่เซนไม่ปฏิบัติ และการบูชาใดๆก็ไม่ใช่ความเข้าใจอย่างแท้จริงที่ศิลปินมีต่องานของตัวเอง ประโยคข้างต้นไม่ได้หมายความว่ามีอะไรที่เป็นหนึ่ง หรือมีอะไรเป็นทั้งหมด
เซนทั้งไม่ตระหนักถึงหนึ่งเดียว และไม่ตระหนักถึงทั้งหมด ในฐานะสิ่งที่แยกออกจากอีกสิ่งหนึ่ง เราต้องทำความเข้าใจองค์รวมในฐานะข้อเท็จจริงสูงสุดและไม่มีการแยกแยะเอาองค์ประกอบออกมาวิเคราะห์ หนึ่งเดียวนั้นเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งอื่นๆ ของสองสิ่งไม่เคยถูกจับแยกออกจากกัน
“เมื่อเราเห็นพระจันทร์ เรารู้ว่านั่นคือพระจันทร์ นั่นก็เพียงพอแล้ว”
เซนยกย่องประสบการณ์และปฏิเสธที่จะผูกตัวเองเข้ากับระบบปรัชญา สิ่งต่างๆมีอยู่ในความว่างเปล่า (สุญญตา) และความเป็นเช่นนั้น (ตถตา)
ความเป็นเช่นนั้น คือความว่างเปล่า
ตถตา เป็น สุญญตา
สุญญตา เป็น ตถตา
ความว่างเปล่า (สุญญตา) เป็นโลกของสิ่งสูงสุด
ความเป็นเช่นนั้น (ตถตา) เป็นโลกเฉพาะเจาะจง
ข้อเท็จจริงทางประสบการณ์ถูกยอมรับในแบบที่มันเป็น ทุกอย่างล้วนว่างเปล่านั้นไม่ใช่ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นแง่สิ่งสูงสุด ความว่างเปล่าอันเป็นที่สุดไม่ใช่แนวคิดที่เข้าถึงได้โดยการวิเคราะห์เชิงตรรกะเหตุผล แต่เข้าถึงได้ด้วยข้อเท็จจริงของประสบการณ์
สำหรับเซน การใช้คำพูดนำความยุ่งยากหนึ่ง สู่ความยุ่งยากหนึ่งโดยไม่มีที่สิ้นสุด วิธีอันมีประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้ตระหนักรู้ เกิดประสบการณ์ของความเข้าใจ คือเราต้องตื่นจากความง่วงเหงาของตรรกะ ไม่มีอะไรจะแสดงภาพของจิต ได้ดีไปกว่าการยืนยันว่า “สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น” ซึ่งคือข้อเท็จจริงสุดท้ายของประสบการณ์
การแบ่งแยก หมายถึงการไม่รับข้อเท็จจริงแบบที่มันเป็น การแบ่งแยกคือความพยายามที่จะสะท้อนความคิดและวิเคราะห์ข้อเท็จจริงนั้นให้เป็นแนวความคิด ใช้สติปัญญาไปไตร่ตรอง และท้ายที่สุดก็ไปยึดตัวเองกับการให้เหตุผล วนไปมา
เราต้องยอมรับคุณค่าที่ประจักษ์ และพึงพอใจตรงนั้น ในกรณีที่รับไม่ได้ก็แค่เดินจากไปแสวงหาความเข้าใจของเราเอง ต้องไม่มีการคิดเชิงแบ่งแยก แต่เป็นการยอมรับและอยู่ตรงนั้นให้ได้ ต้องการเพียงแค่นี้เท่านั้น การโต้เถียงไม่มีประโยชน์ในที่นี้
ในทางศีลธรรม เซนเป็นศาสนาที่สอนไม่ให้มองย้อนหลังเมื่อตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ในทางปรัชญาเป็นเพราะเซนมองชีวิตและความตายไม่แตกต่างกัน สัญชาติญาณเป็นเส้นตรงเข้าสู่สัจจะมากกว่าการไตร่ตรองทางสติปัญญา
หลักการแห่งเซนนั้นเรียบง่าย ตรงไปตรงมา เชื่อมั่นในตนเอง ปฏิเสธตนเอง และมีแนวโน้มแบบผู้ถือตบะสันโดษ เซนไม่มีคำสอนหรือปรัชญาที่เป็นชุดของความคิดและสูตรทางสติปัญญา เซนจึงยืดหยุ่นสูงสุดเพื่อปรับตัวเองเข้ากับปรัชญาหรือคำสอนทางศีลธรรมใดๆ ตราบใดที่การสอนเชิงสัญชาติญาณไม่ได้ก่อกวนกัน เซนจึงมีชีวิตชีวาอยู่กับจิตวิญญาณขบถ และเมื่ออะไรๆมาถึงทางตัน ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเราถูกอัดเต็มไปด้วยวิถีปฏิบัติ รูปแบบที่ยึดถือกัน บรรดาความเชื่อรูปแบบต่างๆ เซนจะปรากฏตัวออกมาและพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นพลังในการทำลายล้าง
เซนไม่มีความลับอะไรมากไปกว่า “การขบคิดอย่างจริงจังเรื่องชีวิต และความตาย”
“เธอมีความงามตามธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมเติมแต่งใดๆอีก” คำกล่าวนี้หมายถึงความงามสูงสุดของความจริงที่เราประสบ (ข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ส่วนบุคคล)
เซนไม่ได้โต้เถียงเรื่องความเป็นนิรันดร์ ไม่สนใจความถูกต้องของวิถีทางหรือเกณฑ์ทางจริยธรรม แต่เซนนั้นเรียกร้องให้เราเดินหน้าตรงไป ไม่ว่าข้อสรุปที่บุคคลไปถึงจะเป็นเช่นใด สมเหตุสมผลหรือไม่ เรื่องปรัชญาอาจเก็บไว้อย่างปลอดภัยสำหรับจิตที่ใฝ่ปัญญา แต่เซนยึดการปฏิบัติ และการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือเมื่อจิตพร้อมที่จะเดินหน้าโดยไม่มีการเหลียวมองหลัง
อิสะงิ-โยะคุ 潔く(isagi-yoku) แปลความว่า “ไม่มีอะไรเสียใจ”
มุชิน 無心 (mushin) : สภาวะไร้จิต หมายถึงการอยู่เลยไปจากเรื่องชีวิตและความตาย เป็นวิถีสู่แนวคิดของจิตใต้สำนึก แทบไม่มีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่ ปัญญาที่ไม่เคลื่อนไหว ใจของเราที่สงบนิ่ง ในขณะที่ก็เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา การไม่เคลื่อนไหวหมายถึงไม่เสียใจ ไม่ยึดจิตไว้ที่แหล่งเดียวและหยุดอยู่ตรงนั้น เมื่อมีวัตถุปรากฏต่อหน้า เรารับรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่หยุดอยู่กับมัน
การรักษาสภาวะจิตให้ปลอดจากการถูกจับไว้โดยวัตถุใดวัตถุหนึ่ง จึงจะรักษาจิตเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติเอาไว้ได้ ไม่หยุด ณ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งจะตัดเราออกจากสิ่งที่เหลือทั้งหมด
เมื่อบรรลุถึงขั้นสูงสุด เราจะกลับไปสู่จิตอันเรียบง่ายของวัยเยาว์ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย หลุดพ้นจากการทะนงตนและการเสแสร้ง ไร้การแบ่งแยกโดยใช้ระบบคิดที่ทำให้ลังเลใจเวลาต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เรียกว่า “ไร้ความคิด” [มุชิน 無心(mushin)] หรือ [มุเน็น 無念(munen)] การหยุดเป็นกิเลส เป็นความปรารถนาที่รบกวนจิตใจ เซนเน้นการไม่หยุดของจิตในกิจกรรมต่างๆ
การไม่หยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่มีปฏิกิริยาอย่างฉับพลัน โดยไม่คิดยินดีในคำตอบเป็นแก่นของเซน สภาวะไร้จิตเป็นจิตดั้งเดิม ไม่ยึดติด ไม่หยุด ไม่ไตร่ตรอง ไม่แยกแยะ ไหลเวียนไปทั่วร่างกายและมีชีวิตชีวา ไม่เคยหยุดนิ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะการหยุดหมายถึงการปรากฎของบางสิ่ง
ไร้จิต หมายถึง ไม่มีจิต จิตจึงเคลื่อนที่จากสิ่งหนึ่ง ไปสิ่งหนึ่ง
เมื่อจิตหยุดลงที่ใดที่หนึ่ง ก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งที่มาจากที่อื่นได้ เมื่อเรามีความคิดล่วงหน้าอยู่แล้ว จิตจะปิดรับความคิดอื่นๆ เราทั้งไม่เห็นและไม่ได้ยิน ถ้ารักษาจิตให้ว่างและเปิดไว้ เราจะรับรู้สิ่งที่เข้ามาหาได้ทั้งหมด นั่นคือ “สภาวะไร้จิต”
การยึดติดทั้งหลายมาจากการหยุดนี้เอง
ไม่มีความคิดว่าใครเป็นใคร ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า
แม้แต่ความคิดที่ว่าด้วยความว่างเปล่าก็ไม่มีอยู่
จากความว่างเปล่าอันสมบูรณ์แบบนี้เองที่จะทำอะไรก็ประสบผลสำเร็จ การละทิ้งอย่างสมบูรณ์หมายถึง การลืมตัวตนและสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่มีร่องรอยของการประดิษฐ์ประดอยอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งหวนกลับไปหาธรรมชาติเอง จิตปราศจากกิเลสเห็นแก่ตัวและการคำนวณในสมอง เพื่อให้สัญชาติญาณดั้งเดิมพร้อมทำงานได้เต็มที่ นี่คือ ‘สภาวะของการไร้จิต’
สภาวะแห่งจิตที่เรียกว่า “มุโส 無想(musou)” หมายถึงไร้การสะท้อน ไร้ความคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความคิด ไม่มีไอเดีย หรือไม่มีอารมณ์ใดๆเลย แต่หมายความว่าเราปล่อยให้ธรรมชาติภายในตัวกระทำการในระดับจิตสำนึกโดยปราศจากความคิด ปราศจากการสะท้อนหรืออารมณ์รักใคร่แบบใดแบบหนึ่ง สภาวะจิตเช่นนี้รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “การไร้ตัวตน” [มุกะ 無我(muga)]
เซน ให้แรงกระตุ้นและกระตุกความคิดได้ เนื่องจากตรงไปสู่รากฐานของสิ่งต่างๆ โดยไม่สนใจสิ่งที่ฉาบอยู่เบื้องบน
เซน อันที่จริงแล้วคือวิถีที่ “จีน ตีความความคิดแบบอินเดีย ที่นำโดยศาสนาพุทธ” ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสะท้อนของจิตใจแบบจีน พูดอีกอย่างหนึ่งเซนนั้นนำหลักปฏิบัติมาจากขงจื้อ ขณะที่ขงจื้อเปิดรับวิธีการตั้งกรอบทฤษฎีที่เป็นนามธรรมจากเซน
เซน ไม่มีปรัชญาเป็นของตัวเอง การสอนแบบเซนมุ่งเน้นที่การเกิดประสบการณ์ฉับพลัน และเนื้อหาของประสบการณ์นี้มาจากระบบความคิดที่ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธศาสนาเสมอไป เซนอาจสร้างกรอบโครงทางปรัชญาของตัวเองขึ้นมาโดยไม่เกี่ยวข้องกับการตีความที่เคยเป็นมาก็ได้
พุทธแบบเซนบางครั้งจึงเป็นขงจื้อ บางคราวเป็นเต๋า บางคราวเป็นกระทั่งชินโต หรือกระทั่งอธิบายประสบการณ์แบบเซนโดยปรัชญาตะวันตก
เซน ภาษาจีน เรียกว่า “ฌาณ” คือการเข้าถึงจิตใจแบบจีน ด้วยการเข้าถึงความจริงตามหลักฐานที่ปรากฏ เซนต่อต้านการเรียนตามตำรา เน้นไปที่วิธีแห่งแรงบันดาลใจ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะเข้าถึงความจริงสูงสุดได้อย่างตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพสูงสุด แสวงหาข้อเท็จจริงจากประสบการณ์มากกว่าการสร้างระบบทางวิชาการนั่นเอง
เซน คือการแสวงหาความเรียบง่าย การตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป สิ่งเหล่านี้พบได้ในวิธีที่เซนเข้าถึงความจริงขั้นสุดท้ายด้วยแรงบันดาลใจฉับพลัน เซนยังตั้งเป้าที่จะกำจัดสิ่งห่อหุ้มจอมปลอมที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อการบรรลุของตนเอง เพื่อต่อสู้กับระบบสติปัญญาอันเป็นตัวขวางความพยายามที่จะขุดลึกลงไปสู่การดำรงอยู่ของตัวเราเอง ความพึงพอใจทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ แม้ว่าจะต่ำต้อยในทางสติปัญญาสักแค่ไหนก็ตาม
“เซนพยายามตัดสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของ แม้แต่ชีวิตของเราเองก็ตาม”
“วิถีแห่งชา” สัมพันธ์กับเซนอย่างลึกซึ้ง จิตวิญญาณในทางความรู้สึกอันเป็นแก่นของพิธีชงชามีอยู่สี่ประการด้วยกัน วิถีแห่งชาจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบครบทั้งสี่
和 : ความประสานกลมกลืน หรือ ความอ่อนโยนของจิตวิญญาณ กลมกลืนนั้นอ้างอิงถึงรูปทรง ความอ่อนโยนชี้ถึงความรู้สึกภายใน สิ่งมีค่าที่สุดคือความอ่อนโยนของจิตวิญญาณ สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ขัดแย้งกับคนอื่น
敬 : ความเคารพ
清 : ความสะอาดบริสุทธิ์
寂 : ความสงบ สันติ
ขณะที่เซนสอนให้มองข้ามรูปทรง เพื่อจับจิตวิญญาณให้ได้ แต่เซนไม่เคยลืมที่จะเตือนเราเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าโลกที่เราอยู่เป็นโลกของรูปเฉพาะ ซึ่งจิตวิญญาณจะแสดงออกได้ผ่านรูปทรงเท่านั้น เซนจึงเป็นทั้งความขัดแย้งในตัวเอง และเป็นหลักการในตัวเอง
สภาวะไร้จิตสำนึกเป็นแหล่งกำเนิดของศักยภาพในการสร้างสรรค์ทุกประเภท และการกระตุ้นทางศิลปะทุกชนิด เซนได้รับแนวคิดทั้งหมดนี้มาจาก ‘สุญญตา’ ที่ก้าวข้ามการเกิดและการตาย เพื่อเข้าสู่สภาวะไร้ความกลัว สุดท้าย “สะโตะริ悟り(satori)” หรือ “การตระหนักรู้” จะเติบโตเต็มที่ในจุดนี้ สภาวะไร้จิตสำนึกจะอนุญาตให้เราเห็นเสี้ยวส่วนของความเป็นไปได้อันไร้ขอบเขต
เซน มุ่งเน้นต่อความพยายามที่จะละเลิกในเรื่องต่างๆเพื่อให้เข้าถึงความว่าง แต่เซนก็ย้ำว่ามนุษย์ยังต้องเข้าถึงความว่างผ่านทางรูปทรง ดังนั้นการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่จับต้องไม่ได้กับศิลปะ อันเป็นเรื่องของรูป จึงเกิดขึ้นในมุมนี้เอง ซึ่งเซนก็มีรสนิยมเรื่องรูปทรงในแบบของตนเองที่ก่อกำเนิดความงามแบบ “วะบิ สะบิ” อันเป็นการชื่นชมความงามที่เกิดจากความยากไร้ ความปีติอย่างเงียบสงบที่อธิบายไม่ได้ซึ่งแอบซ่อนอยู่ภายใต้ความยากไร้อย่างที่สุด
วิถีเช่นนี้คือการแสดงความงดงามที่พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ความรู้สึกเกี่ยวกับการโหยหาอยากคืนกลับสู่ธรรมชาติ ให้ไกลที่สุด เท่าที่ชีวิตมนุษย์จะอนุญาตให้ไปถึง
ศิลปะจะสมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อหยุดเป็นศิลปะ เป็นความสมบูรณ์แบบของการไร้ซึ่งศิลปะ อรรถรสของความคลุมเครือที่อธิบายไม่ได้ นี่คือความงามแบบญี่ปุ่น
ขอบคุณบางส่วนจากหนังสือ
Zen and Japanese culture : Daisetsu Suzuki, 1936
เซนและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ผู้เขียน : ไดเซสึ สุซุกิ (Daisetsu Suzuki)
ผู้แปล : ชัยยศ อิษฎ์วรพันธุ์
สำนักพิมพ์ : บิ, 2016
โฆษณา