26 มิ.ย. เวลา 00:00 • สุขภาพ

กัญชา : สู่การแพทย์ สิ้นสุดกัญชาเสรี | บทบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายกัญชาของประเทศไทยกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งจะ ปิดฉากยุค “กัญชาเสรี” และก้าวเข้าสู่ “กัญชาการแพทย์” อย่างเป็นทางการ
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นภายหลังการลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 โดย สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 โดยประกาศนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันถัดไปหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หัวใจสำคัญของประกาศฉบับนี้คือการ ควบคุมไม่ให้นำช่อดอกกัญชาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยจะจำกัดการจำหน่ายให้เฉพาะผู้ที่มีใบสั่งจ่ายจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น และสามารถใช้ได้ไม่เกิน 30 วันตามความจำเป็นในการรักษา
ภายใต้กฎระเบียบใหม่นี้ ผู้ที่ต้องการซื้อ “ช่อดอกกัญชา” เพื่อการแพทย์จะต้องมี “ใบสั่งแพทย์หรือใบรับรองแพทย์เท่านั้น” นอกจากนี้ ผู้จำหน่ายกัญชาจะต้อง มีแพทย์ประจำร้าน และผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการขออนุญาต หรือผู้ที่ต้องการต่อใบอนุญาต ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้เช่นกัน
สำหรับการใช้กัญชาในการแพทย์แผนไทย ซึ่งมีภูมิปัญญามาแต่โบราณ ก็จะต้องดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย และอาจจำเป็นต้องมีใบรับรองหรือใบสั่งยาจากแพทย์แผนไทยด้วยเช่นกัน การประกาศครั้งนี้มุ่งหมายให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศไทยได้ ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีประกาศควบคุมการใช้อย่างชัดเจนว่าให้ใช้เพื่อการแพทย์เท่านั้น สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปิดร้านจำหน่ายกัญชาขึ้นมา กว่าหมื่นแห่ง โดยข้อมูลระบุว่ามีสถานประกอบกิจการกัญชาที่ขึ้นทะเบียนประมาณ 18,000 แห่ง แต่เป็นสถานพยาบาลเพียง 19 แห่งเท่านั้น
ปัญหานี้ได้นำไปสู่การร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า “กัญชาต้องเพื่อการแพทย์เท่านั้น” โดยมีการสื่อสารว่าการออกประกาศครั้งนี้ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เป็นการแก้ไข “ปัญหาเรื้อรัง” ที่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามา
การปรับเปลี่ยนกฎระเบียบครั้งล่าสุดนี้ยังรวมถึงการเตรียม ปรับแก้บทลงโทษให้รุนแรงขึ้น สำหรับร้านค้าที่ลักลอบเปิดโดยไม่มีใบอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด โทษเดิมซึ่งจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท จะเพิ่มเป็น จำคุกมากกว่า 2 ปี และปรับมากกว่า 200,000 บาท ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีการเข้าจับกุมผู้ประกอบการกัญชาที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหลายราย เช่น ร้านค้าที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตแต่จำหน่ายไปก่อน, ร้านที่ฝ่าฝืนเงื่อนไข เช่น การอนุญาตให้สูบในร้าน หรือไม่มีการทำรายงานการขาย, รวมถึงผลิตภัณฑ์อย่าง เจลลี่ผสมกัญชา ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ความท้าทายที่สำคัญกำลังรออยู่สำหรับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ประกอบการที่ได้ลงทุนไปแล้ว ภายใต้กฎระเบียบเดิม การที่กฎหมายใหม่กำหนดให้ผู้ประกอบการรายใหม่หรือผู้ที่ต่อใบอนุญาตต้องมีแพทย์ประจำร้าน และการซื้อขายต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือการหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการเหล่านี้ รวมถึงการรักษาไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของการใช้ประโยชน์จากกัญชาเพื่อการแพทย์แผนไทยและการวิจัย เป้าหมายคือการทำให้กัญชาสามารถอยู่บนพื้นที่ที่ถูกควบคุมอย่างถูกต้อง คุ้มครองเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
โฆษณา