🎯 Meta เทหมดหน้าตัก! ศึกแย่งบัลลังก์ AI โลกกำลังเดือด
🌍 Meta’s Quest to Dominate the AI World
🧠 เมื่อ “AI คือทุกสิ่ง” — Meta กำลังเดินหน้าทุ่มเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในศึก AI อย่างดุเดือด หวังแย่งชิงตำแหน่งผู้นำจากคู่แข่งอย่าง OpenAI, Google และ xAI โดยกลยุทธ์หลักคือ “ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า” ตั้งแต่คน เก้าอี้ ไปจนถึงบริษัท!
📌 เทเงิน + เทคน = ยึดวงการ
Meta ใช้งบมหาศาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และทุ่มเงินกว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ เข้าซื้อ Scale AI พร้อมดึงตัว CEO อย่าง Alexandr Wang เข้ามาร่วมขับเคลื่อนแผน AI อย่างเต็มตัว
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Mark Zuckerberg ที่มีข่าวว่าเสนอค่าตัวให้พนักงานของ OpenAI สูงถึง $100 ล้าน ต่อคน — เพื่อแลกกับการดึงพวกเขาเข้าสู่กองทัพ AI ของ Meta แบบไม่กลัวเปลือง!
⚙️ ไม่ได้ขาย AI แต่ใช้ AI ลุยทุกธุรกิจ
ต่างจาก OpenAI และ Microsoft ที่เน้นขาย API หรือบริการผ่าน Cloud —
Meta กลับเลือกเปิดทางด้วยโมเดล “โอเพ่นซอร์ส” อย่าง Llama 2–3 ให้โลกใช้งานได้ ฟรี!
แต่แน่นอนว่า… ไม่ฟรีทั้งหมด เสียทีเดียว
ใครที่มีผู้ใช้งานเกิน 700 ล้าน MAUs ต้องขอ License พิเศษจาก Meta ก่อน
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงดึงคนให้ใช้ แต่ยังทำให้ Meta ได้ Insight จากการที่นักพัฒนาเอาโมเดลไปปรับแต่ง
→ ยิ่งคนใช้เยอะ Meta ก็ยิ่งรู้ว่าจะพัฒนาอะไรให้ดียิ่งขึ้น
แม้จะวางแผนปล่อย Llama 4 รุ่น Behemoth ภายในปีนี้ แต่ล่าสุดมีรายงานว่า Meta ขอเลื่อนเปิดตัวเพราะ “ยังไม่ต่างจากรุ่นก่อนเท่าไร” นักวิเคราะห์มองว่านี่คือสัญญาณว่า Meta ยังหาจุดกระโดดแบบก้าวกระโดดไม่เจอ และ Zuckerberg เอง “ไม่โอเคกับความธรรมดา”
📸 AI ไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ลงอุปกรณ์จริงแล้ว
Meta เริ่มเห็นผลลัพธ์เชิงพาณิชย์ เช่น Threads มียอดใช้เพิ่มขึ้น 4% หลังใช้ Llama ในระบบแนะนำคอนเทนต์ และยังรวม AI เข้าแว่นตา Ray-Ban Meta เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ช่วยเสมือนจริงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนกลยุทธ์ที่ชัดว่า AI คือโครงสร้างหลักของฮาร์ดแวร์ในอนาคตของ Meta
🔁 แรงสะเทือนถึง Apple–Samsung
Apple เองก็กำลังล่าบริษัท AI เพื่อพัฒนา Siri รุ่นใหม่ และมีข่าวว่าติดต่อซื้อ Perplexity AI เช่นเดียวกับ Samsung ที่อยากใส่ AI ของ Perplexity ลงในอุปกรณ์มือถือเช่นกัน แสดงให้เห็นว่า “ศึก AI ไม่ได้มีแค่เรื่องโมเดล แต่คือศึกแย่งทรัพยากรมนุษย์และทรัพย์สินทางปัญญา”
→ หุ้นอย่าง INSET (อินฟราเซท) ผู้รับเหมาก่อสร้างและวางระบบ Data Center รวมถึง SIS (เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น) ที่จัดจำหน่าย Server และ AI Solution อาจได้รับความสนใจมากขึ้นจากกระแส AI ในฝั่งองค์กร
🔹 Smart Devices & Wearables
→ HUMAN (ฮิวแมนิก้า) ที่ให้ระบบ HR และอุปกรณ์ Wearables เชิงองค์กร อาจพลิกบทบาทมากขึ้นในไทย หาก Meta หรือบริษัทไอทีรายใหญ่มองหา Local Partner
🔹 HealthTech & AI-Powered Medical Solutions
→ BIZ (บิสซิเนส อัลไลแอนซ์) ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์รังสีรักษาโรคมะเร็ง อาจได้อานิสงส์จากแนวโน้มการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยและวางแผนการรักษา เพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงในกระบวนการทางการแพทย์ขั้นวิกฤต
🔹 Content Recommendation & E-Commerce AI
→ COM7 (คอมเซเว่น) และ CPW (คอปเปอร์ ไวร์ด) ที่มีช่องทางอีคอมเมิร์ซและร้านค้าปลีกอาจพัฒนา Recommendation System ด้วยโมเดลโอเพ่นซอร์สจาก Meta ได้โดยตรง (โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้ OpenAI)
🔹 หุ้นที่ควรจับตาในเชิงความเสี่ยง
→ กลุ่ม EdTech และ Martech ที่พึ่งโมเดล AI จากภายนอก อาจต้องเร่งปรับตัว หาก Meta ปล่อยโมเดลโอเพ่นซอร์สที่ทรงพลัง เช่น BE8 (เบริล 8 พลัส) ซึ่งให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน อาจเลือกใช้โมเดลของ Meta เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการให้บริการลูกค้า
🌐 ภาพรวมที่น่าคิดต่อ:
Meta ไม่ได้แค่ไล่ล่าความเป็นที่ 1 แต่กำลังสร้าง “ระบบนิเวศน์ AI” แบบเปิดกว้างที่คล้ายกับสิ่งที่ Android เคยทำในโลกมือถือ ความเคลื่อนไหวนี้อาจเปลี่ยนภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรม AI ทั่วโลก รวมถึงในไทย ที่บริษัทขนาดกลางสามารถเข้าถึงเครื่องมือระดับโลกได้ฟรีมากขึ้น จึงต้องคิดต่อว่าใครจะใช้ของฟรีได้ดีที่สุด
🗣️ คุณคิดอย่างไรกับยุทธศาสตร์ของ Meta — การเทเงินซื้อทุกอย่างจะนำชัยชนะ หรือเป็นการเร่งไฟเผาตัวเอง?