29 มิ.ย. เวลา 13:36 • ธุรกิจ

การ Comeback ของ Apple Maps จากแอปที่โลกลืม สู่คู่แข่งที่ Google ต้องกลัว

ถ้าถามว่าแอปพลิเคชันไหนที่เราเปิดใช้บ่อยที่สุดในแต่ละวัน ชื่อของแอปแผนที่นำทางคงติดอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
และเมื่อพูดถึงแอปแผนที่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงนึกถึงชื่อเดียวกัน นั่นคือ Google Maps
มันกลายเป็นแอปสามัญประจำสมาร์ตโฟน เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจที่พาเราเดินทางไปทุกที่ ตั้งแต่ตรอกซอกซอยที่ไม่คุ้นเคย ไปจนถึงการวางแผนเที่ยวในต่างแดน
แต่เคยสังเกตไหมว่า บน iPhone ของเราทุกคน มีแอปแผนที่อีกตัวหนึ่งติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก… แอปที่ชื่อว่า Apple Maps
หลายคนอาจมีความทรงจำที่ไม่ดีกับมัน หรือบางคนอาจไม่เคยเปิดใช้งานเลยด้วยซ้ำ เพราะภาพลักษณ์ในอดีตที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมบอกว่าแอปที่เคยถูกมองข้ามในวันนั้น กำลังพัฒนาตัวเองแบบเงียบ ๆ จนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Google Maps
และสงครามระหว่างสองยักษ์ใหญ่ครั้งนี้ มีเดิมพันเป็นอนาคตของวงการเทคโนโลยีที่ใหญ่กว่าที่เราคิด
เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นมาอย่างไร?
ย้อนกลับไปในปี 2012 ตอนนั้น Apple คือเจ้าแห่งโลกสมาร์ตโฟนอย่างแท้จริง iPhone กำลังได้รับความนิยมสูงสุด และบริษัทก็กำลังมั่นใจในพลังของตัวเอง
ในการเปิดตัว iOS 6 Apple ได้ทำการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ที่สะเทือนวงการ นั่นคือการถอด Google Maps ซึ่งเป็นแอปแผนที่หลักมาตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกออกไป
แล้วแทนที่ด้วยแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นเองในชื่อ “Apple Maps”
มันคือการประกาศสงครามกับ Google อย่างเต็มรูปแบบ เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่า Apple ต้องการควบคุมทุกประสบการณ์บนอุปกรณ์ของตัวเอง
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา กลับกลายเป็นหายนะที่โลกต้องจดจำ
Apple Maps เวอร์ชันแรกนั้น ไม่ใช่แค่ไม่ดี แต่มันคือความผิดพลาดระดับมหันตภัย จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือผลงานจากบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความสมบูรณ์แบบ
สะพานและถนนหนทางในแผนที่มีลักษณะบิดเบี้ยวผิดรูปทรง บางคนถึงกับเปรียบว่าสะพาน Manhattan Bridge ดูเหมือนรางรถไฟเหาะตีลังกา
สถานที่สำคัญหลายแห่งหายไปจากแผนที่ หรือถูกปักหมุดในตำแหน่งที่ผิดเพี้ยนไปไกลคนละทวีป สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก
แต่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด เกิดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย
Apple Maps ได้นำทางนักเดินทางหลายรายที่ต้องการไปยังเมือง Mildura เข้าไปในใจกลางอุทยานแห่งชาติ Murray-Sunset ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลและแห้งแล้ง
จุดที่แอปพาไปนั้น ห่างจากจุดหมายจริงถึง 70 กิโลเมตร และไม่มีแหล่งน้ำหรือสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้นักเดินทางหลายคนต้องติดอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดและเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ ต้องออกประกาศเตือนประชาชนอย่างเป็นทางการว่า “ห้ามใช้ Apple Maps” เพราะมันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ความล้มเหลวครั้งนี้ดังไปทั่วโลก กลายเป็นเรื่องตลกขบขันและเป็นมีมในโลกออนไลน์ Apple ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์แบบ กลับกลายเป็นตัวตลกในชั่วข้ามคืน
เรื่องนี้ใหญ่มาก ๆ จน Tim Cook ผู้เป็น CEO ต้องออกมาทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนักในประวัติศาสตร์ของ Apple
เขายอมรับความผิดพลาด และเขียนจดหมาย “ขอโทษ” ต่อผู้ใช้งานทั่วโลกอย่างเป็นทางการ
ที่น่าสนใจคือ ในจดหมายนั้น เขายังแนะนำให้ผู้ใช้ไปดาวน์โหลดแอปแผนที่ของคู่แข่งอย่าง Google Maps หรือ Waze มาใช้งานไปก่อน
นี่คือจุดต่ำสุด คือการยอมจำนนที่น่าอับอายที่สุดครั้งหนึ่งของ Apple และดูเหมือนว่าอนาคตของ Apple Maps คงจะจบลงนับตั้งแต่วันนั้น
หลังจากเผชิญกับความล้มเหลวครั้งประวัติศาสตร์ หลายคนคิดว่า Apple คงจะยอมแพ้และถอดใจจากสมรภูมิแผนที่ไปแล้ว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม
1
เบื้องหลังฉากนั้น Apple ไม่ได้แค่แก้ไขข้อผิดพลาด แต่พวกเขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ยากกว่านั้นมาก นั่นคือการ “รื้อแล้วสร้างใหม่” ทั้งหมด
Apple รู้ดีว่าการพึ่งพาข้อมูลแผนที่จากบริษัทอื่นอย่าง TomTom คือจุดอ่อนสำคัญ พวกเขาจึงเริ่มต้นภารกิจที่ต้องใช้ทั้งเงินทุน เวลา และความอดทนมหาศาล
บริษัทได้ส่งกองทัพรถยนต์สีขาวที่ติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งเซ็นเซอร์ LiDAR กล้องความละเอียดสูง และระบบ GPS ขับไปทั่วทุกมุมโลก
รถเหล่านี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลภูมิประเทศ ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่อง และสภาพแวดล้อมต่างๆ ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างฐานข้อมูลแผนที่ที่เป็นของ Apple อย่างแท้จริง
มันคือการทำงานอย่างหนักแบบปิดทองหลังพระ ที่ใช้เวลายาวนานหลายปี แต่ Apple เชื่อว่านี่คือหนทางเดียวที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดขึ้นมาได้
จากนั้น Apple ก็เริ่มทยอยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ผู้ใช้งานคุ้นเคยจากคู่แข่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ฟีเจอร์ Street View ของ Google ที่ให้เราเห็นภาพถนนจริง ก็ถูกท้าทายด้วยฟีเจอร์ “Look Around” ของ Apple ที่ในหลายพื้นที่ให้ภาพที่คมชัดและลื่นไหลกว่า
ระบบนำทางการขนส่งสาธารณะ ถูกออกแบบใหม่ให้ดูสะอาดตาและเข้าใจง่ายขึ้น มีผู้ใช้งานรายหนึ่งบอกว่า เขาชอบที่มันไม่กินพื้นที่บนแผนที่มากเกินไป
Apple ยังเพิ่มรายละเอียดแผนผังภายในอาคาร สำหรับสนามบินและห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วโลก ทำให้การเดินหาประตูขึ้นเครื่องหรือร้านค้ากลายเป็นเรื่องง่าย
และในที่สุด ฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอยอย่าง “แผนที่ออฟไลน์” ก็ถูกเพิ่มเข้ามา แม้จะช้ากว่าคู่แข่งไปหลายปี แต่มันก็มาถึง
ทว่า อาวุธที่ทรงพลังที่สุดของ Apple ในสงครามครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ที่ทัดเทียมกัน
แต่มันคือ “ความได้เปรียบจากระบบนิเวศ” ที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้
ลองนึกภาพตามนะครับ
เมื่อคุณใช้ Apple Maps นำทางขณะที่คุณสวม Apple Watch นาฬิกาจะสั่นเตือนที่ข้อมือของคุณเบาๆ เมื่อถึงทางเลี้ยว โดยที่คุณไม่ต้องเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์เลย
เมื่อคุณก้าวขึ้นรถยนต์ที่มีระบบ CarPlay ทันทีที่คุณเสียบสาย iPhone แผนที่ก็จะปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอนโซลรถโดยอัตโนมัติ
หรือเมื่อคุณต้องการตามหาเพื่อน หรือหาอุปกรณ์อย่าง AirTags ที่ลืมทิ้งไว้ ทุกอย่างล้วนทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มของ Apple Maps
ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น มันถูกฝังลึกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้ใช้อุปกรณ์ Apple
มันสร้างสิ่งที่เรียกว่า “Switching Cost” ที่ทำให้การจะหันไปใช้แอปของคู่แข่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกเท่าที่ควร
และแล้ว ผู้คนก็เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง
จากแอปที่เคยถูกหัวเราะเยาะ มันค่อยๆ กลายเป็นแอปที่ใช้งานได้ดี และสำหรับบางคน มันดีกว่าคู่แข่งเสียอีก
ผู้ใช้งานรายหนึ่งในนิวยอร์กซิตี้บอกว่า Apple Maps มักจะแนะนำเส้นทางที่สร้างสรรค์กว่าเดิมให้เขาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรถไฟใต้ดินปิดให้บริการ
อีกคนหนึ่งชื่นชมในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่า Apple Maps จะแสดงชื่อถนนของซอยถัดไปให้เห็นชัดเจนตลอดเวลา ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจเลี้ยวได้ง่ายขึ้นมาก
แน่นอนว่า Google เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขายังคงพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ ทั้งมุมมองแบบ Immersive 3D View หรือเครื่องมือ AR ที่ช่วยให้การนำทางง่ายขึ้น
สงครามครั้งนี้จึงยังไม่จบ มันคือการต่อสู้ที่ดุเดือดและไม่มีใครยอมใคร
มาถึงวันนี้ เราอาจพูดได้ว่า Apple Maps ได้เดินทางจากจุดที่เคยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง มาสู่การเป็น “ทางเลือกที่สมศักดิ์ศรี” ได้สำเร็จ
มันอาจจะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้างในบางพื้นที่ แต่ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า มันคือแอปแผนที่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมหาศาล
แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไป เราจะพบว่านี่ไม่ใช่แค่การแข่งขันกันว่าแอปไหนนำทางได้ดีกว่า
แต่มันคือการต่อสู้กันที่ “โมเดลธุรกิจ” และ “วิสัยทัศน์ต่ออนาคต” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สำหรับ Google หัวใจสำคัญคือ “โฆษณา”
ทุกครั้งที่เราค้นหาสถานที่ใน Google Maps ข้อมูลของเราจะถูกนำไปใช้เพื่อการโฆษณาที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น Google Maps คือเครื่องมือทำเงินและเก็บข้อมูลที่สำคัญที่สุดของบริษัท
ดังนั้น เมื่อคุณใช้ผลิตภัณฑ์ของ Google คุณไม่ได้เป็นแค่ผู้ใช้งาน แต่คุณคือ “ผลิตภัณฑ์” ที่ถูกนำข้อมูลไปสร้างรายได้
ในทางกลับกัน โมเดลของ Apple คือ “การขายฮาร์ดแวร์”
Apple Maps มีขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุด และทำให้ระบบนิเวศของ Apple แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้คุณยังคงตัดสินใจซื้อ iPhone, Apple Watch หรือ Mac ต่อไป
เป้าหมายของมันคือการ “ล็อค” ผู้ใช้งานให้อยู่ในโลกของ Apple ไม่ใช่การขายโฆษณา
และนี่คือจุดที่น่าสนใจที่สุด เพราะสงครามแผนที่ในวันนี้ เป็นเพียงแค่การปูทางไปสู่สมรภูมิที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต
สมรภูมิแรกคือ “รถยนต์”
ในยุคที่รถยนต์กำลังจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ การต่อสู้ระหว่าง CarPlay ของ Apple และ Android Auto ของ Google บนหน้าจอคอนโซลรถ จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
ใครก็ตามที่ควบคุมแพลตฟอร์มนี้ได้ ก็จะสามารถควบคุมข้อมูลและบริการทั้งหมดที่ส่งไปถึงผู้ขับขี่
สมรภูมิที่สอง และอาจเป็นสมรภูมิสุดท้าย คือ “แว่นตา AR” หรือ Augmented Reality
ลองจินตนาการถึงโลกในอนาคต ที่คุณสวมแว่นตาแล้วมองเห็นป้ายบอกทางดิจิทัลลอยอยู่บนถนนจริง หรือเห็นรีวิวร้านอาหารปรากฏขึ้นมาเมื่อคุณมองไปที่ร้านนั้น
ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของแผนที่สามมิติของโลกที่ละเอียดและแม่นยำที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะในยุคสมัยของ AR
ดังนั้น เรื่องราวการต่อสู้ของ Apple Maps จึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องของแอปพลิเคชัน
มันคือบทเรียนทางธุรกิจครั้งสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความมุ่งมั่นและความมีวิสัยทัศน์ในระยะยาว
มันคือเรื่องราวของมวยรอง ที่ล้มลงอย่างหมดท่า แต่ไม่ยอมแพ้ และลุกขึ้นสู้ใหม่จนกลับมาผงาดได้อีกครั้ง
และท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสงครามครั้งนี้ ก็คือพวกเราทุกคน
เพราะการแข่งขันที่ดุเดือด ทำให้ทั้งสองบริษัทต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบเทคโนโลยีและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับเรา
มันคือบทพิสูจน์ว่าในโลกเทคโนโลยี ไม่มีบัลลังก์ใดที่มั่นคงถาวร และแม้จะเคยหลงทางไปไกลแค่ไหน แต่ถ้ามีความตั้งใจจริง ก็ย่อมสามารถหาทางกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้เสมอ
References : [wsj, theverge, 9to5mac, reuters]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา