30 มิ.ย. เวลา 06:36 • ปรัชญา
กายนี้ตั้งขึ้นมา อาศัยธาตุทั้งสองพ่อแม่ ประสมกันขึ้นมา มีธาตุดิน น้ำลมไฟ มีพระแม่โพสพ ..ช่วยสงเคราะห์อนุเคราะให้จิตมา เกาะเกี่ยว เหมือนเมล็ดพันธ์ข้าว ที่หว่านลงไปในพื่้นดิน ..หว่านไปที่ไหน ..ที่กั่นดาน ป่าเขา ที่อุดมสมบูรณ์ หรือ ไม่อุดมสมบูรณ์ จิตก็ไปอาศัยในรูปมนุษย์ ..รูปที่มีอารมณ์นึกคิดปรุงแต่ง จิตก็ยึดรูปนั้น กายที่ไม่เที่ยงเป็นของตนเอง รูปนี้จะสวยไม่สวย แก่ เจ็บยังไงก็รักหลงรูปที่จิตอาศัย หนีไปไหนไม่ได้ จนกว่าจะหมดลม
..ระหว่างที่รูปมีชีวิตอยู่ ก็ใช้รูปนี้ด้วยความโลภโกรธหลง คล้องเวรกรรมคนนั้นคนนี้ เสาะแสวงหามาเป็น ..โอ้ย ..ของเราๆ ..ใครมาแก่งแย่ง ก็ไม่ชอบ ..ดุด่าว่า ..ทะเลาะ แช่งชักหักกระดูก ก็หาเอามายึดถือ ..สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง เจ้าพ่อเจ้าแม่ กราบไหว้บูชา กราบไหว้ บรรพบุรุษ ..แล้วก็กายนี้ ก็หมดลมคืนธาตุทั้งสี่สลายไปกับดินฟ้าอากาศ เป็นเถ้าธุลี เอาอะไรไปไม่ได้เลย
คราวนี้ ..เราก็มาดูเส้นทางของชีวิต อีกแบบหนึ่ง ในแบบที่ว่า ที่พระท่านว่า ชี้ทางให้ นำกายวาจาใจ มาสร้างบุญกุศล มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราก็นำกายนี้ มาลดละ อารมณ์ โลภโกรธหลง นำกายนี้ มาอยู่ในรอยของผู้ที่ มีบุญกุศลบารมี ตัดขาดอารมณ์โลภโกรธหลงไปได้
เราเอากายนี้มานั่งหน้าพระ ไม่ต้องไม่นึกคิดอะไร นึกคิดมันก็เป็นอารมณ์กรรม บอกตัวเอง จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าได้นำธาตุทั้งสอง พระแม่ทั้งสี่มากราบพระ พูดขึ้นมา กายนิ่ง จิตเฉย
พระที่ท่านทำได้ พอพูดกายนิ่ง จิตเฉย ..กายก็นิ่ง จิตไม่มีอารมณ์ จิตมีแสงสว่าง ..ไม่มีตัวตนเลย นั่นท่านก็บอกว่า ที่ทำได้อย่างนั้น เพราะธาตุทั้งสี่นั่นไม่มีกรรม เมื่อสร้างบุญกุศลบารมี ก็ทำให้ถึง พระแม่พระธรณี พระแม่พระคงคา พระแม่พระเพลิง พระแม่พระพาย พระแม่พระโพสพ ให้เกิดเป็นบุญกุศล ที่จะนำ หนุนนำให้จิต เข้าถึงธรรม
พระที่ท่านทิ้งทรัพย์สมบัติไปอยู่ป่า ทิ้งบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติเงินทอง ท่านมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นศูนย์ไปหมด ..ไม่มีอารมณ์อะไรมาปรุงแต่งเลย
โฆษณา