Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
3 ก.ค. เวลา 08:52 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดเราในแผนที่โลกของเขาในศตวรรษที่19 ???
(4.1)
ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยาออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
*****ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal) นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน
ท่านฤาษีวาลมิกิ ผู้รจนาเรื่องรามายณะหรือรามเกียรติ์ เป็นผู้ที่อยู่ในชนชั้นพราหมณ์
(ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้)
ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า
“เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา” รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราช
ตามคติในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระอินทร์ถือว่าเป็นเทพที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นองค์แรก ในสมัยฤคเวท ซึ่งต่อมาก็ได้ลดบทบาทลงหลังจากถือกำเนิดตรีมูรติขึ้นมา
พระอินทร์ มักชอบยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์โลกมากที่สุด ในบรรดาเหล่าเทพชั้นต่างๆ ดั่งจะเห็นได้จากในนิทานชาดก และในพระไตรปิฏกต่างๆ และมีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก ถึงขนาดมีผู้เอาไปแต่งเป็นบทเพลงขับร้องหรือในบทกลอนลำนำต่างๆ เช่น
ดังองค์อินทร์ หยาดฟ้ามาสู่ดิน
โสภิณดังเดือนดวง เหนือแผ่นดินแดนสรวง
เหนือปวงหนุ่มใด...
เพลงยอยศพระลอครับ
หรือจะเป็นคำพังเพยไทยๆ เช่น
เขียวเหมือนพระอินทร์ บินเหมือนอีกา เป็นต้น
แต่พระอินทร์ หรือ ท้าวโกสีย์อัมรินทร์ นั้นนับถือและเคารพพระพุทธเจ้าของเรามาก หลังจากเป็นเทพที่ชาวพราหมณ์ฮินดูไม่เอาแล้วไซร้ พระองค์ยังมีทิพยวิมานของพระองค์อยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วย หรือบางท่าน ก็เรียกว่า ชั้นไตรตึงส์ และพระองค์ยังได้เป็นผู้ทูลขอพระพุทธเจ้า เมื่อครั้นได้ถือกำเนิดเป็นพระโพธิสัตว์ ให้มาบังเกิดในพระครรภ์ของพระพุทธมารดา เพื่อยังพระพุทธศาสนาให้อุบัติขึ้นในโลกนี้
ท้าวโกสีย์อัมรินทร์ หรือ พระอินทร์ ได้ทูลขอพระโพธิสัตว์ให้ลงมาประสูติในพระครรภ์ของพุทธมารดา เพื่อยังพระพุทธศาสนาให้บังเกิด
พระองค์เป็นเทพนิบิรุที่แหกคอกจากวงศ์วานว่านเครือองค์หนึ่งครับ แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะในปัจจุบัน เราก็จะพบว่า มีทั้งพญานาคและพระพรหมมากมาย ที่หันมากราบไหว้ เคารพบูชา นอบน้อมพระพุทธเจ้าของเรา ในยามพระพุทธเจ้าเสด็จไปแห่งหนตำบลใด พญานาคบางพวก บางเผ่า ก็จะติดตามมาดูแลคอยรับใช้ อุปัฏฐากจนถึงขั้นมีเรื่องเล่าขานว่า พญานาคบางตน อยากจะบวชเหมือนเสียเหลือเกินอย่างพระองค์ แต่ก็บวชไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น
จนต้องถึงขนาดแปลงร่างจำแลงกายมาเป็นมนุษย์เพื่อจะขอบวชในพระพุทธศาสนาก็มีมากตนอยู่ครับ
พญานาคที่อยู่ในลุ่มน้ำต่างๆ ในปัจจุบัน หรือในถ้ำ ในดง ล้วนแล้วแต่สักการะ น้อมไหว้พระพุทธเจ้าของเราทั้งสิ้นทั้งนั้น เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณและบุญบารมีของพระองค์ที่มีมากมายยิ่งถ้วนทั่วทั้งสามโลก
ไม่ว่าจะเป็นในแม่น้ำโขงที่ไหลลงมาจากจีนมาสู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำอิระวดีในพม่า แม่น้ำตานี แม่น้ำโกลก และแม่น้ำต่างๆ ในมหาสมุทรที่เกาะญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ 9ล9 ทะเลและแม่น้ำเหล่านี้ว่ากันว่ามีเหล่าพญานาคที่เคารพในพระพุทธศาสนา และได้ติดตามพระพุทธเจ้าของเรา มาช่วยปกป้องดูแลกิจการงานพระศาสนากันตั้งแต่สมัยพุทธกาลโน่นแล้ว
และคงจะออกลูกออกหลานกันออกมามากมายจนถึงปัจจุบัน และหันมาแปรพักตร์เคารพนับถือพระพุทธเจ้าของเราด้วย
แม้เทพมังกรนิบิรุของชนชาวจีน ที่เป็นเทพที่เคารพนับถือกันมาช้านาน ก็ยังมาน้อมสวามิภักดิ์ในพระบรมศาสดาของเรา ติดตามพระพุทธเจ้าเรามาตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาลนานมา
ไม่ใช่สิครับ จะใช้คำว่า แปรพักตร์ก็ไม่เชิงถูกต้องนัก เรื่องนี้ มันมีความสลับซับซ้อน อ่านไปเรื่อยๆ ผู้อ่านก็จะเข้าใจได้เอง
พวกเขาชอบที่จะอาศัยแต่อยู่ในแม่น้ำ ลำธาร ทะเล และมหาสมุทรนะครับ เนื่องจาก ไม่อยากให้มนุษย์พบเห็นร่างของพวกเขา ถ้าหากมาอยู่บนพื้นดินละก็ อาจจะเสี่ยงที่มนุษย์สักคน จะมาพบร่างของพวกเขาก็ได้
และก็จะตื่นตกใจกันเปล่าๆ ตั้งคำถามในใจ ว่างูพันธุ์อะไร ทำไมจึงตัวใหญ่แท้นัก รูปร่างก็ประหลาดจริง มีเขี้ยว มีเกล็ด มีหงอน???อีกทั้ง พวกพญานาคส่วนมาก มักจะชอบบำเพ็ญศีล บำเพ็ญธรรม นั่งณานกันเป็นปรกติ แบบอย่างพระพุทธเจ้าของเรา ไม่ค่อยสุงสิงกับมนุษย์หรอก ถ้าพวกมนุษย์ไม่มารบกวนพวกเขาก่อนน่ะ
ส่วนแม่น้ำ ลำธาร และมหาสมุทรโซนฝั่งยุโรปและอเมริกา ก็มีนะครับ แต่จะไม่มีเรื่องเล่าเหล่านี้มาก เป็นประปรายเท่านั้น นั่นก็เเสดงว่า พวกนาคฝั่งนั้นที่ไม่นิยมชมชอบพระพุทธเจ้าเรานั้นมีน้อยกว่าน้อย
เหล่านาคที่ไปหลบรี้หนีหน้ามนุษย์ เพื่อมิให้มนุษย์พบเห็นตัวตนได้ง่ายๆนั้น ที่ใต้ดินและบนอากาศก็มีบ้างนะครับ แต่ว่ามีน้อยกว่าในน้ำ และส่วนมากจะไม่ได้เคารพนับถือพระพุทธเจ้าเราแต่อย่างใด อ้อ!!! ยกเว้นที่จีนแผ่นดินใหญ่นะครับ
มังกรฟ้าของชาวจีนนั้น เค้าเคารพบูชาพระสมณโคดมของเรามาช้านานแล้วและกระทั่งในปัจจุบัน
มากล่าวในเรื่องพระอินทร์กันต่อ
ในคติของพราหมณ์-ฮินดู พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะเทวราชนั้น ถือเป็นจอมกษัตริย์ในหมู่มวลมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า สมมุติราชา ถูกกลายเป็นความคิดที่ว่า กษัตริย์ในราชวงศ์บนโลกมนุษย์นี้ ล้วนแล้วแต่คือสมมุติเทพ คือเทพที่ลงมาจุติบนโลกเพื่อจะมาเป็นกษัตริย์ปกครองมนุษย์ หรือเรียกว่า เป็น*สมมุติเทพ หรือสมมุติเทวราชา
ประเทศไทยเราก็ได้รับคติความเชื่อนี้มาแต่ครั้นสมัยอยุธยา มาจากขอม เมื่อครั้นพระมหากษัตริย์ของเราทรงมีพระปรีชาสามารถยกทัพไปกำราบพวกขอมได้ เราก็รับวัฒนธรรมนี้เข้ามาในเมืองหลวงตั้งแต่นั้น
หลักการปกครองแบบ**แบบเทวราช ก็คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิตเหนือมนุษย์ สามารถที่จะโขกสับ เอาไปลงโทษ เอาไปเป็นทาส หรือแม้กระทั่งจะเอาไปประหารชีวิตก็ย่อมได้ ไม่มีความผิดแต่อย่างใด เพราะทรงอยู่หนือกฏหมาย หรือกฏหมายนั้น ก็คือพระองค์นั่นเอง พระองค์มีสิทธิเด็ดขาดที่จะทำอย่างไรก็ได้ กับพลเมืองของพระองค์ ในอาณาเขตของพระองค์
"กษัตริย์เป็นสมมติราช” นั้น คือทัศนะของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม ซึ่งมีที่มาจาก “อัคคัญญสูตร” (พระไตรปิฎกเล่ม
11) ดูจากเนื้อหาในพระสูตรนี้ชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าเสนอ “***สมมติราช” เพื่อปฏิเสธ “เทวราช” เพราะเป็นการสนทนากับสามเณรสองรูปที่อดีตเคยอยู่ใน****วรรณะพราหมณ์ และสนทนาในลักษณะการปฏิเสธความเชื่อที่ว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและกำหนดให้มีวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เอาไว้แล้วอย่างตายตัว ข้อแตกต่างอย่างสำคัญระหว่าง “เทวราช” กับ “สมมติราช”
คือ อย่างแรกมีสถานะศักดิ์สิทธิ์เหนือราษฎรทั่วไป และมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งราษฎรจะคำถามวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ เพราะสถานะและอำนาจนั้นได้มาจากเจตจำนงของพระเจ้าหรือพระพรหม แต่อย่างหลังได้สถานะและอำนาจมาจากเจตจำนงของราษฎร จึงไม่ได้อยู่เหนือราษฎร และอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบจากราษฎร นอกจากจะไม่อยู่เหนือราษฎรแล้ว
ยังต้องมีคุณธรรมของผู้ปกครองอย่างเข้มงวด เช่นทศพิธราชธรรม 10 จักรวรรดิวัตร 12 เป็นต้น พุทธศาสนาให้ความหมายของคำว่า “กษัตริย์” กับ “ราชา” แตกต่างกัน ในอัคคัญสูตรนั่นเองนิยามคำว่า “กษัตริย์” ว่าหมายถึง “ผู้เป็นใหญ่ในเขตแดน” คือผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมาก มีอำนาจมาก มีเขตแดนมาก แต่ “ราชา” หมายถึงผู้ที่ทำให้ราษฎรมีความยินดี หรือพึงพอใจในการปกครอง ซึ่งได้แก่ผู้ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่โลภมาก มีทศพิธราชธรรม และอุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร และคำว่า “ราชา” คือคำที่ราษฎรสมมติเรียกผู้ปกครองที่พวกเขาพึงพอใจ
ระบอบสมมุติเทพ ของท่านสักกะเทวราชองค์อินทร์นั้น ฝังรากหยั่งลึกลงในประเทศต่างๆที่มีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาช้านาน จวบจนถึงปัจจุบัน
หากเป็นผู้ปกครองที่เลวก็เรียกว่า “ทรราช” จะว่าไปแล้วราชาหรือธรรมราชาตามคติพุทธจะใกล้เคียงกับ “ราชาปราชญ์” (philosopher king) ของเพลโต มากกว่า (เพียงแต่ไม่ถึงขนาดว่าต้องไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวเหมือนราชาปราชญ์) สำหรับอุดมการณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ในบ้านเรา เดิมทีเราถือคติว่ากษัตริย์คือ “พ่อปกครองลูก” มีบางช่วง เราได้รับอิทธิพลทางการปกครองจากเขมรจึงถือว่ากษัตริย์คือ “เทวราชา”
*สมมุติเทพ เป็นแนวคิดกว้างๆ ที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นเทพที่จุติลงมาจากสวรรค์ และมาอยู่บนโลกมนุษย์ เพื่อจะปกครองพลเมืองที่อยู่ในดินแดนอาณาเขตของพระองค์ มีสิทธิอำนาจและเป็นเจ้าชีวิตเหนือผู้คน
**เทวราชา เป็นหลักการปกครองที่ไทยเรารับมาจากขอมในสมัยอยุธยา ที่เชื่อว่า พระมหากษัตริย์มีสิทธิที่จะลงโทษทำร้ายประชาชนในดินแดนของพระองค์ได้ มีสิทธิสั่ง บังคับ ไปจนถึงลงโทษประหารตามแต่พอพระทัย ก็ด้วยที่เชื่อว่า พระองค์คือสมมุติเทพนี่เอง จึงมีสิทธิอำนาจอย่างไรก็ได้ แม้ว่าอาจจะดูโหดร้ายเกินไปหน่อยก็ตาม เป็นหลักการปกครองที่ค่อนข้างโหดร้าย ดุดันที่พัฒนามาจากแนวความคิดเรื่องสมมุติเทพครับ
แต่หลักการปกครองที่ดีที่สุด ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา (แบบเถรวาท) ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง ก็คือหลักการปกครองแบบ***สมมุติราช หรือแบบ ธรรมราชา หรือแบบ พ่อปกครองลูก ก็ได้ ซึ่งในสมัยสุโขทัยเรานิยมกัน
และอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือแบบ ราชาปราชญ์ ที่พลาโตเค้าบอก
นั่นก็แปลว่า ท้าวสักกะจอมเทพ ได้มอบแนวคิดเรื่องสมมุติเทพ ให้แก่กษัตริย์ทั่วโลกและจนกระทั่งแพร่หลายจนถึงในยุคปัจจุบัน แต่พระสมณโคดมของเรานั้นดำริแนวคิดการปกครองแบบสมมุติราช หรือแบบธรรมราชาถือว่า เป็นการปกครองที่ดีที่สุด ที่บรรดาเหล่ากษัตริย์หรือราชานั้นจะพึงนำมาใช้กับประชาชนของพระองค์
ซึ่งปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลก แม้จะไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในการปกครองประเทศ ก็ยังน้อมรับแนวความคิดเรื่องสมมุติราชของพระพุทธเจ้ามาใช้ เพราะเป็นหลักธรรมของผู้นำ แม้ประเทศในระบอบอื่นๆ เช่น ระบอบประธานาธิบดี ระบอบประธานาธิบดี-นายกรัฐมนตรี ก็ยังเอามาปรับใช้กับพลเมืองในดินแดนของเขาในปัจจุบัน
ปัจจุบันประเทศไทยเราน่าจะเรียกว่า เป็นการปกครองในรูปแบบผสมผสานทั้งแบบเทวราชที่ได้รับมาตั้งแต่สมัยอยุธยา จากขอม และแบบสมมุติราช หรือพ่อปกครองลูก หรือแบบธรรมราชา มาตั้งแต่ครั้นสมัยสุโขทัยนะครับ
**** หลักการปกครองแบบสมมุติเทพ เริ่มต้น ก็น่าจะมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนะครับ นั่นก็คือ ปรากฏอยู่ในเรื่องราวของ ท้าวสักกะจอมเทพ ซึ่งต่อมา แนวคิดนี้ ก็ได้แผ่ขยายออกไปทั่วโลกด้วย ส่วนไทยเรา ก็รับมาทีหลังจากการไปตีเมืองขอมในสมัยอยุธยามา ซึ่งคือในแบบพุทธนิกายมหายาน แต่ก็เอามาใช้เป็นช่วงๆสมัยๆไปนะครับ ไม่ตลอด แต่เป็นในแบบเทวราชา คือเพิ่มความเข้มข้นและความโหดร้ายเข้าไปอีก พระมหากษัตริย์มีสิทธิอำนาจเต็มที่จะสั่งลงโทษหรือประหารชีวิตพลเมืองได้ตลอดเวลา ถ้าหากไม่ทรงพอพระทัย
แต่ในปัจจุบัน เหล่าผู้นำต่างๆทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ในระบอบใด ต่างก็ยินดีและน้อมรับเอา "ระบอบสมมุติราช"ของพระพุทธองค์มาปรับใช้กันทั้งสิ้น หลักนี้เรียกง่ายๆว่า "หลักธรรมราชา"
เดิมที สยามของเราในสมัยสุโขทัย และอาจจะก่อนหน้านั้นด้วย เราใช้การปกครองแบบพ่อปกครองลูกนะครับ แต่ก็เจือด้วยหลักสมมุติเทพปะปน ซึ่งก็มีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ๆโน่นแน่ะ เนื่องจาก ขณะนั้นอาณาจักรสยามของเรายังเป็นอาณาจักรที่ไม่ใหญ่มาก การปกครองแบบเทวราชานั้นอาจจะยังไม่เหมาะนัก
***** ท่านฤาษีวาลมิกิ ผู้รจนาบทประพันธ์เรื่อง รามายณะ หรือ รามเกียรติ์นั้น ก็เป็นบุคคลากรของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนะครับ จะสังเกตว่า ในเนื้อเรื่องนั้นได้ยกให้พระราม ซึ่งเป็นอวตารหนึ่งของพระนารายณ์เป็นพระเอกครับ ดังนั้น เราอาจจะคิดต่อไปว่า ที่กล่าวว่าท่านเป็นผู้ได้รับการบอกเล่าเรื่องจารึกแห่งนาอะคาลจากการได้ไปอ่านบันทึกหนึ่งในวัดริชี ซึ่งบันทึกความเป็นมาของนักบวชนาอะคาล ว่า "เป็นผู้เดินทางมาจากฝั่งตะวันออกมาสู่พม่า... "นั้น
ก็คงจะไม่ให้เป็นธรรมนักกับพระพุทธศาสนาของเรา และอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใดเกี่ยวกับการมีอยู่ของจารึกแห่งนาอะคาลด้วย
แต่ผู้เขียนพิจารณาว่า บางที บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด อาจจะมาทึกทักเหมาเอาว่าท่านวาลมิกิมาเข้าร่วมพงษ์ไพบูลย์กับการโกหกครั้งใหญ่ครั้งนี้ ร่วมกับเขาก็ได้นะครับ แม้ท่านจะสิ้นชีวิตไปนานแล้วก็ตาม คือไปอ้างชื่อท่านมา เพื่อให้เรื่องการค้นพบจารึกนาอะคาลของเขานั้นดูน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกในสายตาชาวโลก เพราะท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ราวๆพ.ศ.200 แต่บักเจมส์นี่ เพิ่งจะย่างกรายเข้ามาในอินเดียเมื่อ
ไม่กี่ปีมานี้เอง แต่ถ้าท่านวาลมิกิจะโกหกด้วย แล้วบักเจมส์ไปพบและมาอ้างชื่อท่านในภายหลัง ก็น่าจะเป็นเรื่องของการบลัฟและดิสเครดิตกันระหว่างพราหมณ์กับพุทธศาสนาโดยส่วนตัวของท่านวาลมิกิ แต่ที่สำคัญคือ จารึกแห่งนาอะคาลมันไม่มีอยู่จริงบนโลก (ซึ่งนักวิชาการหลายท่านในปัจจุบันก็เริ่มเชื่อเช่นนี้)
และถ้าหากท่านฤาษีวาลมิกิ จะกลายมาเป็นผู้สันทัดเจนจัดในเรื่องจารึกแห่งนาอะคาลและทวีปมูด้วยล่ะ?!!ผลงานของท่านในเรื่องเหล่านี้ ก็น่าจะออกสู่สายตาสาธารณชนมากกว่านี้ ทั้งๆที่ท่านเองก็เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงมากเหมือนกันคนหนึ่ง
และอย่างน้อยที่สุด ในผลงานเรื่องรามายณะของท่าน ก็น่าจะสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับทวีปมูเอาไว้บ้าง(ที่ไปรับรู้รับทราบมาจากพวกนักบวชนาอะคาล) แต่นี่กลับไม่ปรากฏเด่นชัดแต่อย่างใด มีแต่เรื่องราวของการทำศึกสงครามกันระหว่างมนุษย์กับยักษ์ หรือลิงกับยักษ์ เป็นส่วนสำคัญหรือเป็นแก่นของเรื่องเท่านั้นเอง
ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด จะไปอ้างชื่อท่านฤาษีวาลมิกิมาประกอบเรื่องโกหกเกี่ยวกับแผนที่ทวีปมูของเขานั้นบนแผนที่โลกในศตวรรษที่19นั้น มีความเป็นไปได้มากกว่าครับ
ขอขอบพระคุณข้อมูลอ้างอิง จาก
https://postjung.com/tag/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B9
https://culturio.sac.or.th/content/1386
https://m.pantip.com/topic/41804795
?
https://prachatai.com/journal/2011/12/38160
วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์
วิทยาศาสตร์น่ารู้
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย