2 ก.ค. เวลา 07:52 • ความคิดเห็น
เหตุผลอย่างหนึ่ง ที่เค้าพูดว่า มาแต่จิตดวงเดียว จิตมาอาศัยกาย ก็มีกรรม ติดตามมา มาก่อเป็นรูป ธาตุทั้งสอง มาประสมกันเกิดขึ้น ธาตุทั้งสี่ที่จิคดวงนั้น เคยใช้ทำอะไร สร้างกรรมอะไรไว้ ก็เป็นธาตุของกรรม มาผสมก่อตัว ปั้นให้มีรูปครบอาการสามสิบสองหรือ ไม่ครบสามสิบสอง
เรื่องของกรรม ที่จิตนั้นสะสมกรรม เป็ธาตุของกรรม เกิดขึ้น ก็ปิดกั้น ให้ไม่สามารถ จะใช้รูปที่จิตตนอาศัย ไปแก้ไข ทำเรื่องราวดี สร้างบุญกุศล หนีเวรกรรมได้ คราวนี้ เรามาดูองค์ พระสิทธัตถะ ท่านบำเพ็ญ บุญกุศลบารมี มาตลอดที่เกิดมาได้กายเป็นมนุษย์ สละวัตถุสิ่งของเป็นทาน
จนมาชาติสุดท้าย ท่านก็ไปอยู่ป่าคนเดียว ไปกระทำเพื่อให้จิตท่านพ้นทุกข์ ยุติการเกิด ไม่มีภาระอะไรทำให้เกิดอีก ชำระสาสางธาตทั้งสี่จนบริสุทธิ์ การเข้าป่าของพระ ไปอยู่ในที่แจ้ง ที่ถ้ำภูเขา ต้นไม้ ท่านไม่ได้แบก ใครไปด้วย ท่าไปชำรสะสาง จิตของตนเอง
มาดูเทวทัต ที่เป็นญาติของพระสิทธัตถะ พระพุทธเจ้า ก็ช่วยบอกสอนให้ แต่เทวทัต ไม่รับฟัง เทวทัตเชื่อแต่อารมณ์กรรม ของตัวเอง มืทิฐิ ทะเยอทะยาน ได้ฌานโลกีย์ ก็หลงใหล กับอารมณที่ปรุงแต่งให้ ทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำสงฆแตกแยก เกิดอนัตริกรรม ใครก็ช่วยไม่ได้ เทวทัตตกนรก พระพุทธเจ้า่ ยังช่วยไม่ได้ เพราะกรรมนั้น เกิจากจิตที่ใช้กายวาจาใจ สร้างกรรมขึ้นมาเอง
เรื่องกรรมนั้น บาปกรรม เรายังมองเห็นจิตของตัวเองได้หรือไม่ เมื่อกรรมที่เกดขึ้นในตัวตน ในกายตนเอง เราเคยเห็นตัวตนของกรรม ตัวตนของอารมณ์ เป็นอย่างไร เมื่อยังไม่สามารถรู้จัก แล้วเอาอะไรไปแบกบาปของผู้อื่น
กรรม นั้นมันเกิดขึ้นที่กาย กายใครกายมัน มัยแบกไม่ได้หรอก เอาที่เป็รรูปธรรม ก็ได้ เอาคนสวยๆตัวอ้วน ให้มาขี้คอ ไปไหนไปด้วย ให้แบกอย่างนั้น เดินยืนแบก ทั้วทั้งคืนก็ได้ ห้องน้ำห้องท่า ไม่ต้องเข้ากันละ แบกผู้อื่น เอาแค่คนเดียว จะทำได้นานมั้ย ยิ่งกายมันแก่ แบกไหวหรือ
โฆษณา