2 ก.ค. เวลา 15:41 • ประวัติศาสตร์
Ashgabat

ตุรกีและเติร์กเมนิสถาน: ความเหมือนที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าชื่อและเชื้อชาติ

เมื่อเอ่ยถึง “ตุรกี” กับ “เติร์กเมนิสถาน” คนทั่วไปอาจนึกถึงสองประเทศที่ตั้งอยู่ห่างกันหลายพันกิโลเมตร คนละซีกของโลกยูเรเชีย แต่มีชื่อที่คล้ายกันอย่างน่าประหลาด และต่างเป็นถิ่นฐานของชนชาติตุรกิก (Turkic peoples) ที่มีรากเหง้าจากเอเชียกลาง ความคล้ายในชื่อและเชื้อชาตินี้
แม้จะชวนให้คนสงสัยถึงสายใยบางอย่างที่เชื่อมสองประเทศเข้าด้วยกัน แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่ลึกกว่านั้น คือความเหมือนในระดับวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ จิตวิญญาณของชนชาติ และโครงสร้างอารยธรรม ที่มิได้หายไปตามกาลเวลา หากแต่ดำรงอยู่ในรูปแบบใหม่ที่ยังคงทรงพลัง
ทั้งตุรกีและเติร์กเมนิสถานต่างพูดภาษาที่อยู่ในตระกูลเดียวกันคือภาษาตุรกิก (Turkic language family) แม้ภาษาเติร์กเมนและภาษาตุรกีสมัยใหม่จะพัฒนาแยกย้ายกันตามภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์เฉพาะของตน แต่โครงสร้างทางไวยากรณ์ กลุ่มคำพื้นฐาน และการใช้ภาษายังสะท้อนรากเดียวกันอย่างชัดเจน
ภาษาเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นสายธารแห่งอัตลักษณ์ ที่หล่อหลอมวิธีคิด วิถีชีวิต และโลกทัศน์ของผู้คนในทั้งสองประเทศ เรื่องเล่าพื้นบ้าน ดนตรีเร่ร่อน เสียงซือแน (zurna) และระนาดคุปูซ (kopuz) งานหัตถกรรมที่เต็มไปด้วยลวดลายเรขาคณิต รวมถึงพิธีกรรมที่ผูกพันกับฤดูกาล ล้วนแสดงให้เห็นถึงความทรงจำร่วมทางวัฒนธรรมที่ยังไม่จางหาย
เส้นทางประวัติศาสตร์ของทั้งสองชาติก็ผูกพันกันอย่างแยกไม่ออก ภายใต้เงื่อนไขของภูมิรัฐศาสตร์และแรงผลักของประวัติศาสตร์
ชนเผ่าตุรกิกในอดีตได้เคลื่อนย้ายจากพื้นที่ราบของเอเชียกลางไปทางตะวันตก กลุ่มหนึ่งตั้งหลักปักฐานในดินแดนอานาโตเลีย ก่อนจะก่อตั้งจักรวรรดิออตโตมัน อารยธรรมที่ส่งอิทธิพลครอบคลุมตะวันออกกลางและยุโรปตะวันออกนานหลายศตวรรษ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งยังคงตั้งถิ่นฐานในแถบที่เป็นเติร์กเมนิสถานปัจจุบัน สืบทอดวิถีเร่ร่อนและสายสัมพันธ์กับโลกอิสลามในแบบที่แตกต่างจากพี่น้องฝั่งอานาโตเลีย แต่ยังมีความคล้ายคลึงกันในระดับโครงสร้าง เช่น ความเป็นชนเผ่า ความศรัทธา และความผูกพันต่อธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในยุคหลังสงครามเย็น โดยเฉพาะหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ที่เติร์กเมนิสถานกลายเป็นรัฐเอกราช ตุรกี ซึ่งเป็นประเทศที่มั่นคงกว่าและมองเห็นศักยภาพในการรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ตุรกิก จึงเข้ามามีบทบาททั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และการเชื่อมโยงวัฒนธรรม
ความคิดเรื่อง “Turkic World” หรือ “โลกตุรกิก” ได้รับการฟื้นฟูในบริบทใหม่ คือการรวมพลังของประเทศที่มีรากตุรกิกเพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจในเวทีโลก ตุรกีไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงประเทศหนึ่งในโลกมุสลิม แต่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตุรกิกที่มีความหลากหลาย และมีบทบาทเชิงรุกในภูมิภาคยูเรเชีย
แม้ระบบการเมืองของทั้งสองประเทศจะดูต่างกันอย่างสุดขั้ว เติร์กเมนิสถานเป็นรัฐที่ปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจเคร่งครัด มีลักษณะกึ่งเผด็จการ ส่วนตุรกีเป็นรัฐประชาธิปไตยแบบมีปัญหา แต่เปิดให้มีการแข่งขันทางการเมือง ทว่าทั้งสองรัฐกลับมีจุดร่วมที่สำคัญคือการวางตัวเป็นรัฐฆราวาสที่มีรากศรัทธาในศาสนาอิสลามนิกายซุนนี
เติร์กเมนิสถานแม้จะควบคุมการแสดงออกทางศาสนาในที่สาธารณะอย่างเข้มงวด แต่ศาสนาก็ยังฝังอยู่ในพิธีกรรม ชีวิตครอบครัว และระบบคุณค่าของสังคม ขณะที่ตุรกี แม้รัฐจะแยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการฟื้นฟูความศรัทธาในอิสลามควบคู่กับแนวคิดชาตินิยมตุรกีอย่างแนบแน่นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ตุรกีและเติร์กเมนิสถานจึงเป็นภาพสะท้อนของกันและกันในกระจกประวัติศาสตร์ที่มีรอยขีดข่วนจากภูมิรัฐศาสตร์คนละด้าน รากเหง้าร่วมกันของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ชื่อหรือภาษา แต่ดำรงอยู่ในโครงสร้างความคิด อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ระดับภูมิภาค ทั้งสองประเทศต่างตระหนักในบทบาทของตนในโลกตุรกิก และแม้จะเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่าง แต่จุดหมายปลายทางของพวกเขาอาจใกล้เคียงกันกว่าที่เราคิด
ในโลกที่เต็มไปด้วยการแตกแยกและการนิยามตัวตนใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับเติร์กเมนิสถานจึงอาจเป็นบทเรียนอันลึกซึ้งว่ารากเหง้าทางอารยธรรม ไม่เคยจางหายไปจริง ๆ หากยังมีคนรุ่นใหม่ที่หันกลับไปมองมันด้วยความเข้าใจ และเลือกที่จะเชื่อมโยงมันกับอนาคตอย่างมีสติและศักดิ์ศรี.
โฆษณา