เมื่อวาน เวลา 02:42 • ความคิดเห็น

Journal’s Journey

เจอนั่น เจอนี่
ป๋อง วัชรพงษ์ ทีมงานดีแทคเก่าของผม อดีตผู้ถือหุ้นแบรนด์ panpuri อันโด่งดัง เคยเล่าถึงน้ำหอมแบรนด์ Journal ไว้ว่า ..
“ผมเป็น FC ของ Journal มาหลายปี เลิกซื้อน้ำหอมเมืองนอกตั้งแต่ได้เจอ Journal ที่ One Nimman เกือบสิบปีที่แล้ว ใช้มาเป็นสิบขวด วันนี้ใช้กลิ่นโคลนสาบควาย ครับ “
ฟังเพลินๆ ก็ไม่มีอะไรจนมาสะดุดที่กลิ่นโคลนสาบควายนี่แหละครับ สร้างตั้งแต่ชื่อที่แปลก และชวนสงสัยว่ากลิ่นโคลนสาบควายนั้นเป็นยังไง และสงสัยต่อว่า น้ำหอมที่ตั้งชื่อแบบนี้จะขายได้ด้วยเหรอ
ชื่อที่ชวนสงสัยนั้นทำให้ผมไปค้นต่อ ถึงพบว่า Journal เป็นแบรนด์น้ำหอมไทยดีไซน์เก๋ มีร้านสวยมากๆที่นิมมาน น้ำหอมกลิ่นโคลนสาบควายที่ว่านั้น มีชื่อฝรั่งว่า Moss&Pepper ปรุงเพื่อคนที่ชอบความสดชื่นและการผจญภัย ใส่ส่วนผสมธรรมชาติที่ชวนให้คิดถึงกลิ่นทุ่งหญ้าโล่งๆ ในฐานะที่เป็นเด็กต่างจังหวัดที่โตมาแบบนั้น แค่ฟังก็อยากลองขึ้นมาทันที
1
ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสรู้จักน้องฟ้าน้องป๊อด คู่สามีภรรยาเจ้าของ Journal และเมื่อวานก็ได้มีโอกาสฟังคู่นี้เล่าเรื่องราวของน้ำหอม journal ที่ HOW Club ก็เลยได้ฟังการเดินทางของแบรนด์ไทยๆที่ผมคิดว่าเป็นไอเดียที่พัฒนามาจนตกผลึกในระดับเป็นแพลตฟอร์มการตลาดอย่างน่าทึ่ง และกำลังเติบโตในระดับน่าอัศจรรย์สวนสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ล่าสุด Journal เพิ่งเปิดตัวพรีเซนเตอร์ระดับห้างแตก น้องพีพี “หอมหมื่นลี้” ผมเดาจากข้อมูลที่มีว่าปีนี้รายได้น่าจะโตเป็นเท่าในระดับ 5-600 ล้านบาทแล้ว
1
ทั้งนี้ืและทั้งนั้น ฟ้ากับป๊อดเล่าตรงกันว่า ที่ผ่านมาใช้ Plan B มาตลอดเพราะ Plan A ที่เคยคิดนั้นไม่เคยรอดเลย ตั้งแต่เริ่มธุรกิจ ต้องแก้ ต้องปรับมาทุกครั้ง…
— เริ่มจาก Pain เลือดรักชาติ
ป๊อดเล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า ตอนที่เรียนอยู่เมืองนอกเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพื่อนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มักจะเอาของฝากจากบ้านเมืองตัวเองมาให้ ซึ่งมักจะมีเอกลักษณ์และดูดีแม้แต่เหล้าของแต่ละประเทศก็ดูพรีเมียมกว่าไทยมาก พอตัวเองกลับมาจะหาของเท่ๆไปฝากจากไทยในสมัยนั้นกลับหาไม่มีเลย ไปเดินงาน OTOP ในสมัยนั้น ก็มีสินค้าหลากหลายแต่แพคเกจจิ้งกับเรื่องราวนั้นดูแย่จนไม่กล้าซื้อไปฝากเพื่อน
ป๊อดกลับมาทำงานเป็น design agency ก็นำความรู้สึกเจ็บปวดนั้นมาพยายามช่วยสินค้า SME ช่วยหาช่วยออกแบบให้สินค้านั้นดูดีมีเรื่องราวขึ้น จนวันหนึ่งไปเจอร้านน้ำหอมที่ปรุงน้ำหอมได้เก่งมากที่จตุจักร ก็เลยมีไอเดียอยากลองเล่าเรื่องราวทุกอย่างของเมืองไทย ตั้งแต่สถานที่ ตำนาน เทพนิยาย ผ่านน้ำหอม ผ่านกลิ่นที่บอกเรื่องราวนั้นๆ ขึ้นมา
ซึ่งเป็นไอเดียเริ่มต้นของแบรนด์น้ำหอม Journal
— เรื่องราวผ่านน้ำหอม
ไอเดียที่แข็งแรงมากๆที่ผมชอบจนเรียกว่าเป็นแพลตฟอร์มทางการตลาดได้เลยนั้น ป๊อดและฟ้าเล่าถึงวิธีคิดที่ใช้ศิลปะของ storytelling มาผสมกับคุณภาพและการปรุงน้ำหอม ซึ่งวิธีคิดนี้จะใช้กับไอเดียไทยๆ อะไรก็ได้ที่มองเห็นและได้ยินมา
1
ป๊อดเล่าถึงน้ำหอมที่ได้ไอเดียจากแม่นากพระโขนง แล้วตีความถึงความรักที่แม่นากมีต่อพี่มาก น้ำหอม “mae nak” บรรยายไว้ว่า
“ Haunted by Your Love
หากรักคือสีแดงฉ่ำ กุหลาบก็เป็นตัวแทนของ “ความรัก” ความหอมลึกที่ผสานกับความสดชื่นซ่าบซ่า คือกลิ่นจาก กุหลาบ มะนาว ที่เราตั้งใจลําดับกลิ่นอย่างละเอียด เพื่อให้รู้สึกถึงความรักที่ชุ่มฉ่ำ เย้ายวน ตราตรึง ตราบนิจนิรันดร์ “
“ Mae nak” มีส่วนผสมของน้ำหอมเป็นกลิ่นกุหลาบ มีความสดชื่นของมะนาว และกลิ่นไม้ที่เป็นกลิ่นของศาลาที่แม่นากรอพ่อมาก พอเล่าเรื่องแล้วมาดมกลิ่น จินตนาการและความคุ้นเคยก็จะรู้สึกตามได้เลย
1
น้ำหอมใน Set ตำนานผีไทยนั้นมี น้ำหอมกลิ่นกุมาร “Ku marn” แสดงถึงความเป็นเด็กตลอดกาล กลิ่นหอมสบาย หรือ eternal youth กลิ่นนางรำ “ Nang ram” ก็เป็นตัวแทนของความเย้ายวน มีกลิ่นเชอรี่นำเพราะเป็นกลิ่นที่ sexy เหมือนนางรำ พอมีเรื่องราวแล้ว ทำให้กลิ่นที่ถ้าดมเฉยๆก็คงหอมปกติ กลายเป็นความรู้สึกที่เชื่อมโยงความทรงจำขึ้นมา
ที่ผมคิดว่าเป็นแพลตฟอร์มการตลาดที่สุดยอดก็เพราะว่า พอได้ไอเดียหลักแบบนี้แล้ว ทุกอย่างก็เป็นกลิ่นได้หมด ป๊อดกับฟ้าเล่าถึงสถานที่ คิดตามว่าควรจะเป็นกลิ่นอะไรก็สนุกแล้ว เช่นน้ำหอม “สีลม” ควรจะเป็นกลิ่นอะไร …. ราชดำเนิน เยาวราช ก็เป็นกลิ่นได้ทั้งสิ้น
Journal มีน้ำหอมกลิ่น “ข้าวเหนียวมะม่วง” ไปเล่าเรื่องผ่านอาหารก็ได้ จะเล่าเรื่องผ่านแบรนด์แต่ละแบรนด์ก็ยังได้ พอได้กลิ่นที่เชื่อมโยงแล้วก็มาหาสารความหอมธรรมชาติที่หอมนำ หอมกลาง และหอมตาม ผมถึงชอบแพลตฟอร์มแห่งไอเดียที่แข็งแรงแบบนี้มากๆ
คุณกระทิง พูนผล ถึงกับเอ่ยปากว่า การเล่าเรื่องแบบนี้เหมือนกับการเล่าเรื่องในอุตสาหกรรมไวน์เลย…
— Always Plan B
1
ฟ้า บอกว่าบทเรียนสำคัญของการสร้างอาณาจักร Journal นั้นก็คือ ไม่ต้องรอให้พร้อม ถ้าประมาณนี้ พอทำได้ก็ทำไปเลย เพราะวางแผนละเอียดแค่ไหนก็ต้องไปแก้ ไปปรับ Plan A ที่คิดไว้ไม่เคยเป็นไปตามนั้นเลย ต้องใช้ Plan B ตลอด
ตั้งแต่เริ่มต้นทำ Journal ก็อยากขายต่างประเทศเลย ตั้งราคาในระดับ Counter Brand กะๆ เอาพอมีมาร์จิ้นตามสมควร แต่ไม่มีหน้าร้าน แล้วไปออกงานแฟร์ที่ฮ่องกง น้ำหอมไทยในตอนนั้นภาพลักษณ์คือน้ำหอมปลอมเป็นส่วนใหญ่ กะว่าน่าจะขายได้
ปรากฏว่าคนสนใจเยอะแต่พอติดต่อมาแล้วไม่มีร้าน มีแต่ออนไลน์ ก็ไม่มีใครเอาเพราะดูไม่น่าเชื่อถือ แผนแรกก็ไม่เป็นไปตามที่คิด ก็เลยเอา feedback นั้นมาเปิดร้านแรกที่ถนนนิมมาน เชียงใหม่
เพราะ feedback ว่าหน้าร้านสำคัญ ทั้งคู่เลยทุ่มงบ ทำร้านเล็กๆ 30 ตารางเมตรจนสวยอลัง ใช้เงินไปสามล้านบาทที่มีแต่คนบอกว่าแพงมาก แต่ความสวยในระดับที่กลายเป็น destination ที่คนต้องมาแวะถ่ายรูปของร้านและผสมกับคุณภาพของน้ำหอม ที่ใช้ความเข้มข้นกว่ายี่ห้ออื่นทำให้ติดทนนานกว่า ใช้ essential oil ที่ทำให้ไม่เวียนหัว
กลายเป็นไวรัลเบาๆ ในโซเชียลจีนที่ใครมาเชียงใหม่ต้องมาซื้อ ช่วงขายดีในระดับคิวออกมานอกร้าน ขายได้วันละหลายแสน
ตอนที่ขายดีก็เริ่มทำแผนต่อ แต่พอโควิดมา แผนที่เตรียมไว้ก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นเคย ยอดตกแทบเหลือศูนย์เพราะไม่ค่อยได้ขายออนไลน์และเน้นแต่ลูกค้าจีน คนไทยยังไม่ให้ค่าของแบรนด์น้ำหอมไทยพอที่จะจ่ายในระดับราคาเคานเตอร์แบรนด์ พอนักท่องเที่ยวมาไม่ได้ก็เจ็บหนัก
ช่วงที่แย่ที่สุดเป็นหนี้สามสี่สิบล้าน ต้องเอาคอนโดไปตึ๊ง แต่เพราะทั้งคู่เชื่อมั่นในแนวทางก็สู้ไม่ถอย ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ลองทุกอย่างเท่าที่จะลองได้ ผิดมั่งถูกมั่ง ลองผลิตภัณฑ์ใหม่ ลงทุนกับอินฟลูเท่าที่สตางค์จะมี ทำคลิปให้เยอะที่สุด
จนไปลองทำ body oil บำรุงผิว กลิ่นหอมมาขายออนไลน์ตลาดไทย และคุณยิบซีเอาไปรีวิว ประกอบกับ tiktok เริ่มบูม และได้กระแสจนเป็นคำฮิตว่าเป็น “ออยตกผู้” ก็เลยเคลียร์หนี้และหลุดพ้นมาได้
ป๊อดฟ้าบอกว่า สิ่งที่ทำให้ลุยต่อ ไม่ยอมแพ้ในตอนนั้นคือ หมอดู เพราะไปดูหลายหมอมาก ทุกหมอบอกว่า ยังไงก็รอด ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่ท้อด้วยในตอนนั้น พอโควิดหาย ก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นมาก เพราะน้ำหอมขายต่างชาติ body oil ขายคนไทย มีตลาดสองขา นักท่องเที่ยวหดก็ไม่กระทบ แถมโตขึ้นอีกด้วย
— น้องพีพี คือการตัดสินใจที่ถูกที่สุดของแบรนด์
เดือนที่ผ่านมา ฟ้าป๊อดตัดสินใจยกระดับแบรนด์ด้วยการจ้าง น้องพีพี ที่มีชื่อเสียงมากๆ ทั้งในและต่างประเทศมาเป็นพรีเซนเตอร์ เป็น big bet เพราะอยากจะสร้่างการรับรู้และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ซึ่งฟ้าบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าในทุกด้าน เพราะน้องพีพี “หอมหมื่นลี้” นอกจากพาชื่อเสียงมาด้วยแล้ว ความมีเสน่ห์ขั้นสุด และมีแฟนคลับสนับสนุนและรักน้องพีพีนั้นทำให้ยอดขายก็ขึ้นทันทีที่ประกาศข่าว
ที่สำคัญก็คือ การรับรู้ถึงแบรนด์ Journal ว่าเป็นแบรนด์ที่อินเตอร์ขึ้น มีพรีเซนเตอร์ระดับนี้ ทำให้การเจรจาธุรกิจกับพาร์ตเนอร์นั้นง่ายขึ้นมาก เสมือนนามบัตรชั้นดีในการทำธุรกิจอีกด้วย
— King of Oil
มีกูรูเคยบอกว่า ถ้าเป็น category king ได้ ธุรกิจก็จะเติบโตขยายใหญ่ได้ชัดเจนมาก ป๊อดเล่าถึงความฝันว่าอยากเป็น king of oil จะเก่งทั้งการพัฒนา oil ที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติด้านต่างๆ เช่นเพิ่งทำ oil กันแดด ก็ขายจนผลิตไม่ทัน ผสมผสานกับการเล่าเรื่อง thainess และอยากจะทำตามความฝันจากจุดเริ่มต้นที่อยากเอาเรื่องราวไทยๆไปอวดต่างชาติ
วันนึงก็อยากจะไปเปิดร้าน journal ที่สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ็ ให้ได้ ตอนนี้ก็เลยเตรียมตัวทำระบบหลังบ้านให้ดีที่สุดเผื่อต้องเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนไปขยายต่างประเทศ
เป็น platform พร้อมความฝันที่ชัดเจนมากๆในสายตาของผม..
เรื่องราวของ Journal สำหรับผมจึงน่าตื่นตาตื่นใจมากในหลายประการ ประการแรกก็คือวิธีคิดที่เป็น platform การตลาดที่ทำให้ไอเดียนั้นไม่มีที่สิ้นสุดได้ นานๆจะมีเคสให้คิดตามแบบนี้ได้อย่างสนุก ประการที่สองก็คือ storytelling ชั้นครูที่เล่าเรื่องราวผ่านน้ำหอมจนได้กลิ่นที่คุ้นเคยขึ้นมาได้ ทำให้เกิดความ “รู้สึก” ที่หาได้ยากในการสร้างแบรนด์
และประการสุดท้ายก็คงเป็นการล่าความฝันที่เกิดจากความเจ็บปวดที่ผมก็เคยมีตอนที่ไปเรียนเมืองนอก จากให้แบรนด์ไทย เรื่องราวแบบไทยๆถูกเล่าแบบพรีเมียม และขายในราคาแพงได้ให้ต่างชาติกะเขาได้บ้าง พอ Journal มีความฝันที่จะปักธงไทยในเมืองต่างๆของโลก ก็ต้องเชียร์ ต้องให้กำลังใจกันสุดๆในฐานะทีมชาติไทย
หวังว่าวันนึงคงได้ไปแอบยืนดูในร้านสวยๆของ journal ที่เซี่ยงไฮ้ หรือลอนดอน แล้วเห็นต่างชาติยืนอ่านเรื่องราว thainess แบบนี้ แล้วหยิบน้ำหอมของ Journal ลงตะกร้ากัน
คงฟินน่าดูเลยครับ….
โฆษณา