Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
4 ก.ค. เวลา 03:05 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดกับเรา บนแผนที่โลกของเขาในศตวรรษที่ 19???(4.2)
ถ้อยความในศิลาจารึกแห่งนาอะคาล ที่บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด อ้างว่าไปพบมา จากการบอกเล่าของเหล่านักบวชนาอะคาล ซึ่งท่านฤาษีวาลมืกิ เป็นผู้เจอบันทึกก่อนในวัดริชีนั้น คร่าวๆมีว่าดังนี้ครับ
"....ทวีปมูนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่หลากหลายเชื้อชาติ แต่ชนผิวสีขาวนั้นเป็นใหญ่ที่สุด..."
เพียงแค่ ประโยคนี้ก็ผิดปรกติและน่าสงสัยแล้วครับ กับการมีอยู่ของจารึกแห่งนาอะคาลจารึกนั้น และในมหากาพย์รามายณะหรือรามเกียรติ์ของท่านวาลมิกิ ก็ไม่ปรากฏถึงการมีอยู่ของชนผิวขาวในเรื่องของท่านเลย มีเพียงแต่การรบพุ่งกันระหว่างมนุษย์และยักษ์ หรือพลวานรกับยักษ์เท่านั้น ไม่มีมนุษย์ผิวขาวคนใดในเรื่องเลยแม้แต่น้อยนิด
แปลกไหมครับ?ถ้าท่านฤาษีวาลมิกิ นักประพันธ์ที่ถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก วันหนึ่ง ไปรับรู้เรื่องราวของทวีปเร้นลับจากเหล่านักบวชปริศนา หรือจากที่ใด อย่างไรก็ตามแต่ แต่กลับไม่สนใจ ที่จะเขียนหรือสอดแทรกมันลงไปในหนังสือของตนให้ผู้อ่านรับรู้ด้วยเลย มันแปลกอยู่จริงๆ
แถมยังขัดแย้งกันอยู่อีกมากหลาย ในเรื่องรามเกียร์ติมีบรรดาเหล่ายักษ์สวมบทเป็นผู้ร้าย แต่ในจารึกแห่งนาอะคาลของบักเจมส์ กลับระบุว่า ชนผิวขาวเป็นใหญ่ที่สุดในทวีปมู ท่ามกลางผู้คนอาศัยที่หลายเชื้อชาติ ผู้เขียนพินิจว่า "ยักษ์"ในเรื่องรามเกียร์ติของท่านฤาษี น่าจะหมายถึง พวกชนผิวขาวในจารึกนาอะคาลของบักเจมส์ เซิร์จเวิร์ดเสียล่ะมากกว่า แต่ผิดคาด "ชนผิวขาว"ในจารึกนาอะคาลนั้น เหมือนจะคือกลุ่มบุคคลที่มีความดีงามและชอบธรรมกว่าชนผิวสีอื่นมากเป็นล้นพ้นเสียละเกิน
ผู้เขียนมองอย่างบักเจมส์มองนะครับ ทันที่ได้เห็นและอ่านเรื่องรามเกียร์ต ก็คิดว่า ยักษ์เหล่านั้น อาจจะเป็นชนผิวสีขาว แต่ปรากฏในความเป็นจริงว่า ทศกัณฐ์และบรรดาเหล่ายักษ์นั้น อีกทั้งมนุษย์และเผ่าลิงในรามเกียร์ตก็ไม่ใช่มนุษย์ที่มีผิวสีขาวแต่อย่างใด แล้วผู้อ่านเล่าครับ มองอย่างใคร?ในเรื่องนี้
วรรณกรรมเรื่องรามเกียริต์ของท่านวาลมิกิฤาษี ไม่ปรากฏชนมนุษย์ผิวขาวในเรื่องเลย มีแต่เพียงเรื่องราวการรบพุ่งกันระหว่างมนุษย์กับยักษ์ และลิงกับยักษ์เท่านั้น มันน่าแปลกจริงๆ ไยท่านวาลมิกิจึงไม่นำมาใส่ไว้
ชนชาติอังกฤษอาจจะเริ่มเข้ามาจัดการกับบทเรียน ตำรับตำราต่างๆของชาวอินเดียแล้วนะครับ ตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่19 ที่พวกเขานั้นรุกรานเข้ามายังในดินแดนภารตะ หรืออาจจะก่อนหน้านั้นอีก คือตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่1เลย แต่บักเจมส์ เซิร์จเวิร์ดท่านนี้ เขาเข้ามาในสมัยหลัง คือสมัยก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย
ก็คงอาจจะจัดการกับเรื่องรามเกียริต์ที่ไปเจอเข้าพอดี ตาบักเจมส์ของเรา(ความจริงของอังกฤษ)ก็เลยไปแอบอ้างชื่อท่านวาลมิกิ เพื่อเสริมเรื่องโกหกของตนเกี่ยวกับการค้นพบจารึกนาอะคาล เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้าไปอีกในสายตาชาวโลก อันนี้ในทรรศนะของผู้เขียนนะครับท่าน
หรืออาจจะเรียกอีกประการว่า คือการมองในมุมของตนเอง คือของบักเจมส์นะครับ ท่านฤาษีวาลมิกิหรือใครๆอาจไม่ได้เห็นเช่นนี้ก็ได้ (เพราะเสียชีวิตไปแล้ว) ตามธรรมดาของผู้ชนะในสงครามเขาจะทำเช่นไรก็ได้ในพื้นที่ของเขา
และอีกประการหนึ่ง บักเจมส์ก็คือชาวอารยันคอเคซอยด์ชาติพันธุ์เดียวกันกับกลุ่มฤาษีและพราหมณ์ทั้ง19ท่านด้วย( ก็อารมณ์คงจะคล้ายๆเพื่อนไปยืมผลงานของเพื่อนมานี่ล่ะ ) ซึ่งผู้เขียนบล้อกก็พินิจว่า น่าจะเป็นชาวอารยันในกลุ่มอัลไปน์ ไดนาริค และอาร์เมนอยด์ ที่ได้อพยพลงมาก่อน รวมๆทั้งอาจจะมีชาวอารยันที่เป็น"กลุ่มชนพื้นเมือง"ปะปนอยู่ด้วยนะครับ ในกลุ่มฤาษีและพราหมณ์ทั้ง19ท่านเหล่านั้น
มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria)
ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น
คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยาออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคา
ให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai)
กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal) นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้)
ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า
“เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา” รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
หลังจากที่องค์อัมรินทร์ อันชื่อว่าท้าวสักกะเทวราช ได้ทรงทูลขอให้พระโพธิสัตว์สันดุสิตเทวราชลงมาให้ประสูติในพระครรภ์ของพระพุทธมารดาเพื่อยังพระพุทธศาสนาให้ลงมาบังเกิดในโลกแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นที่สี่ เพื่อลงมาจุติในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา
ที่กรุงกบิลพัสดุ์ ของแขวงสักกะ ซึ่งเป็นแขวงเล็กๆแขวงหนึ่งของแคว้นโกศล ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ในบริเวณเนปาลติดกับบริเวณชายแดนอินเดียภาคเหนือ แถบเชิงเขาหิมาลัย และเป็นบริเวณเดียวกับที่มหากาพย์รามายณะของท่านฤาษีวาลมิกิถือกำเนิดขึ้นด้วยเลย
ตรงนี้ ผู้อ่านเริ่มเห็นอะไรทะแม่งๆพิกลๆแล้วใช่ไหมครับ?เกี่ยวกับการที่ทำไมบักเจมส์ ต้องเลือกผลงานของท่านฤาษีวาลมิกิเรื่องรามยณะมาร่วมพงษ์ไพบูลย์กับเขาด้วย เรื่องศิลาจารึกนาอะคาลปลอมๆชิ้นนั้น มันมีเหตุผลในเรื่องของทั้งการเมืองและศาสนาเข้ามาปะปนด้วย นั่นเองบักเจมส์ จึงไปแอบอ้างชื่อท่านและผลงานมา มิต้องสงสัยเลย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงประสูติเมื่อวันเพ็ญขึ้น15ค่ำ เดือน6 ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน ระหว่างเส้นทางที่พระพุทธมารดา พระนางสิริมหามายา จะทรงกลับไปเยี่ยมพระญาติที่เมืองเทวะทหะ หรือเมืองรามคาม ในแคว้นโกลิยะ ซึ่งอยู่ใกล้กับตำบลรุมมินเด ประเทศเนปาลในปัจจุบัน พระนางทรงประสูติระหว่างเส้นทางนั้น ในสวนลุมพินีวัน
เจ้าชายสิตธัตถะราชกุมาร เมื่อทรงประสูติออกมาจากพระครรภ์มารดา ก็มีดอกบัวมารองรับพระบาทพระองค์ทั้งสิ้นเจ็ดดอก สื่อนัยยะความหมายได้หลายต่อหลายอย่าง
พระองค์ทรงมีพระนามว่า เจ้าชายสิตธัตถะ ทรงมีพระราชบิดาชื่อ พระเจ้าสุทโธนะ ทรงเกิดในศากยะวงศ์ ตระกูลโคตมะ ขณะนั้น แคว้นโกศลเป็นแคว้นที่มีอำนาจทางการทหารและรุ่งเรืองมาก และเข้าปกครองและควบคุมแขวงสักกะของพระเจ้าสุทโธธนะด้วยเช่นกัน
ประเด็นข้อถกเถียงที่ว่า ตกลงพระพุทธเจ้านั้นทรงมีสายเลือดอริยะกะหรือว่ามองโกลอยด์กันแน่นั้น ยังไม่อาจจะสรุปได้แน่ชัด บางกระแสก็ว่าเป็นชาวอารยันที่อพยพลงมาจากเมดิเตอร์เรเนียนทางฟากตะวันออก ส่วนนักประวัตืศาสตร์สำคัญอย่างปโตเลมี กล่าวว่า ชาวสักกะเป็นชาวมองโกลอยด์เผ่าหนึ่งที่อพยพมาจากจีน แต่ส่วนมาก คิดว่าพระองค์มีสายเลือดของชาวอารยันนะครับ เพียงแต่ว่าชาวศากยะวงศ์ในปัจจุบันนั้น ต่างมีหน้าตากระเดียดไปทางมองโกลอยด์มากกว่าอารยันแบบอย่างในอดีตกาล
แล้วสาเหตุใดล่ะ ? ชาวศากยะวงศ์ในยุคปัจจุบัน จึงมีหน้าตากระเดียดไปทางมองโกลลอยด์ มันต้องมีเหตุผลสิ
ถึง แม้ว่าส่วนใหญ่จะคืดว่า พระองค์มีสายเลือดชาวอารยัน ผู้เขียนเองก็ยังไม่มองข้ามความเห็นของคนส่วนน้อยไป นักประวัติศาสตร์ที่ดีจะต้องศึกษาทุกแง่ทุกมุมนะครับ เราอาจจะได้เจอรึค้นพบสิ่งใหม่ๆ การค้นพบสิ่งใหม่ๆนั้น เกิดขึ้นได้เสมอๆเลย ทุกเวลา ทุกนาที นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ไม่ควรมองข้ามรายละเอียดเล็กๆน้อยๆไป
อย่างเช่น ตัวอย่างนี้จากเวบมติชน ของคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก ท่าน(และเหล่านักวิชาการทั้งหลาย)วิเคราะห์ชวนคิดดังนี้ว่า
พระองค์(หมายถึงพระพุทธเจ้า) ทรงมีผิวพรรณสีเหลืองดั่งทอง (สุวณฺณวณฺโณ แปลว่า มีผิวดั่งทอง) เป็นพวกมองโกลอยด์แท้ๆไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่พวกชนชาวฝรั่งที่มีสีผิวเป็นสีขาว อีกทั้งประเพณีการแต่งงานที่นิยมแต่งกันภายในสายเลือดนั้น * เพื่อจะคงความบริสุทธิ์ของสายเลือดเอาไว้ นี่ก็เป็นลักษณะของชาวมงโกลบริสุทธิ์ที่อพยพเข้ามาในอืนเดีย การไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกอย่างที่พวกอารยันส่วนมากในอินเดียนับถือกัน ล้วนเป็นหลักฐานว่า พระองค์น่าจะมีสายเลือดของชาวมงโกลบริสุทธิ์มากกว่าที่จะมีสายเลือดอารยัน
การที่พระองค์เมื่อประสูติออกมาจากครรภ์พระนางสิริมหามายา แล้วมีดอกบัวมารองรับฝ่าพระบาท เจ็ดดอก เวลาที่พระองค์ย่างพระบาทไป มิให้สัมผัสถูกพื้นนั้น ทั้งเจ็ดก้าว ผู้เขียนมาตรองพิจารณาดูว่า มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาเป็นหลักฐานสำคัญอะไร ที่จะการันตีว่าพระองค์จะต้องมีสายเลือดอารยันนะครับ มีบางตำราว่า ตัวเลข7หมายถึง จำนวนของลัทธิพราหมณ์ที่มีกัน6 ท่านด้วย ซึ่งในตอนนั้นที่อินเดียก่อนที่ท่านจะประสูติขึ้นมา และมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นบนชมพูทวีปครับ
หรืออาจจะตีความว่า พระองค์ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ครั้งนี้นั้น ก็เพื่อจะสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมาบนโลกที่สอนแตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การสั่งสอนในเรื่องวิญญาณ การเข้าณานอะไรทั้งหลายทั้งปวงนั้นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (รวมทั้งศาสนาเชนด้วยนะครับ ) โดยรวมก็ดีอยู่หรอก สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง แต่ว่ามันผิดทางอยู่มาก
ดังนั้น พระองค์จึงต้องลงมายังบนโลกมนุษย์และองค์อินทร์ ก็เป็นผู้ทรงกราบขอให้พระองค์ลงมาบังเกิดในครรภ์ของพระพุทธมารดา พระนางสิริมหามายาด้วยตนเอง เพื่อยังพุทธศาสนาให้บังเกิด และตามความประสงค์ขององค์อินทร์และเหล่าเทพด้วยครับ เป็นศาสนาที่7ของอินเดีย(แต่ความจริงคือ สองรึสาม )และบนดาวโลกอันดับ7ด้วย ตามคติความเชื่อของพวกอนันนูกินะครับ ที่สั่งสอนชนชาวสุเมเรียน
ลัทธิปรัชญาของครูทั้ง 6 เป็นลัทธิปรัชญาร่วมพุทธกาล ทำให้เห็นว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น ไม่ได้มีเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่ปรากฏในห้วงความคิดของปวงชนในอินเดีย แต่ยังมีลัทธิปรัชญาอื่น ๆ อีกมาก มีทรรศนะของครูทั้ง 6 เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสปรารภครูทั้ง 6 ว่า
"เหมือนชาวประมงที่ปิดกั้นปลาไม่ให้สัตว์น้ำแหวกว่ายลงสู่ห้วงแห่งอิสรภาพ คือมรรคผลนิพพาน..."
ลัทธิพราหมณ์ที่โด่งดังขณะนั้น มีเจ้าสำนักรวมกันทั้งสิ้น6ท่าน ที่จัดว่ามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีลูกศิษย์ลูกหานับหน้าถือตามากที่สุด ตั้งแต่ประชาชนคนธรรมดาๆ ไปจนกระทั่งถึงพระราชา เข้ามากราบกรานขอฟังธรรมอยู่มิได้ขาดสาย ลัทธิทั้ง6นั้น คือ
ลัทธิพราหมณ์ที่โด่งดังมากร่วมสมัยกับพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมที่สำคัญๆมีหกแห่งครับ พระพุทธเจ้าสอนว่า ลัทธิเหล่านี้มีความเป็นมิจฉาทิฐินัก
ดังนี้
1. ปูรณกัสสปะ สอนว่าการกระทำใด ๆ ทั้งทำเอง ก็ดี หรือใช้ให้ผู้อื่นทำ ก็ดี ล้วนไม่มีผลทางศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นการทำความดี เช่น การให้ทาน รักษาศีล หรือการทำความชั่ว เช่น การฆ่า ลักทรัพย์ เป็นชู้กับคนรักของผู้อื่น ท่านปูรณะ กัสสป มีความเห็นว่าการกระทำเหล่านี้สูญเปล่า ไม่มีผลต่อบุญและบาป ไม่มีวิบากที่จะตามมาส่งผลแก่ผู้กระทำทั้งโลกนี้และโลกหน้า
2. มักขลิโคศาล สอนว่าสรรพสิ่งในโลกเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุและปัจจัย ความเสื่อมและความเจริญของสรรพสัตว์ไม่มีเหตุ ความเพียรไม่มีผล การกระทำไม่มีผล ท่านมักขลิ โคศาล มีความเห็นชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเป็นไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายแบบซุ่ม ๆ กรรมดีกรรมชั่วที่ทำลงไปไม่นำไปสู่ผลแห่งการกระทำของตน การท่องเที่ยวไปในสังสารของสรรพสัตว์จะถึงสุดแห่งทุกข์ได้โดยบังเอิญ
3. อชิตเกสกัมพล สอนว่าผลวิบากแห่งกรรมดีและกรรมชั่วไม่มี โลกนี้และโลกหน้าไม่มี การให้ทานไม่มีผล มารดาบิดาไม่มีพระคุณ สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่มีในโลก ท่านอชิต เกสกัมพล มีความเห็นว่าร่างกายเป็นเพียงธาตุดินน้ำไฟลม ตายแล้วแตกสลายหายไปในอากาศ และขาดสูญทันที อีกทั้งยังกล่าวว่า ผลแห่งทาน และเรื่องสังสารวัฏ เป็นคำกล่าวของคนโง่ คนเพ้อเจ้อ โกหก และหลอกลวง
4. ปกุธกัจจายนะ สอนว่ามนุษย์มีสภาวะ 7 กอง ได้แก่ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม, สุข, ทุกข์, และชีวะ ที่ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครควบคุม สภาวะเหล่านี้ยั่งยืนและคงที่เหมือนยอดภูเขาหรือเสาระเนียด ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันเอง และไม่สามารถทำให้เกิดสุขหรือทุกข์แก่กันและกันได้ ท่านปกุธะ กัจจายนะ มีความเห็นว่าการกระทำใด ๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะเหล่านี้ได้ การกระทำที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำลายชีวิต เช่น การฆ่า ก็เพียงแค่เป็นการสอดผ่านช่องว่างของสภาวะ 7 กองนี้เท่านั้น และไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อตัวสภาวะเหล่านั้น
5. สญชัยเวลัฏฐบุตร สอนเรื่อง สังวร 4 ประการที่นิครนถ์หรือสมณะในแนวทางของท่านต้องปฏิบัติ ได้แก่ 1. การห้ามน้ำทั้งปวง 2. การประกอบด้วยน้ำทั้งปวง 3. การกำจัดด้วยน้ำทั้งปวง 4. การประพรมด้วยน้ำทั้งปวง สังวรเหล่านี้เป็นวิธีที่นิครนถ์ใช้ในการสำรวมตนเองและบรรลุความสมบูรณ์ของตนเองในด้านศีลธรรมและจิตวิญญาณ ท่านกล่าวว่าผู้ที่ปฏิบัติตามสังวร 4 ประการนี้จะถูกบัณฑิตเรียกว่าผู้ที่มีตนถึงที่สุด มีตนสำรวม และมีตนตั้งมั่น.
6. นิครนถนาฏบุตร เป็นเจ้าลัทธิที่มีวาทะดิ้นได้ไม่ตายตัว มีคำพูดส่ายไปมาโดยเน้นใช้รูปแบบคำตอบทำนอง “อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่” ลื่นไหลไปตามสถานการณ์โดยไม่รับรองหรือคัดค้านอะไรสักอย่าง ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสับสน จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
หลังการอุบัติของพระพุทธเจ้า ผู้คนเริ่มหันมาเชื่อถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ผละออกจากสำนักต่าง ๆ มาบวชในศาสนาพุทธ รวมถึงคหบดีผู้เป็นใหญ่และพระราชาก็หันมาบำรุงพระพุทธและพระสงฆ์
เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่เสื่อมจากลาภก็พยายามหาทางทำลายสำนักของพระพุทธเจ้า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ศิษย์เอกแต่ละค่ายที่ถูกส่งไปล้มวาทะพระพุทธเจ้าก็แพ้กลับไป หรือบ้างก็ไม่กลับและขอบวชย้ายสำนักมาอยู่กับพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ทั้งคำสอนของพุทธศาสนานั้น ก็ต่างจากที่พวกอารยันสอนในอินเดียมากครับ เช่น ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก ไม่เชื่อเรื่องอาตมัน หรือปรมาตมัน ไม่เชื่อเรื่องการเคารพบูชาเทพ รังเกียจพวกยักษ์ เหล่านี้เป็นต้นครับ
ผู้เขียนเชื่อว่า แขวงสักกะที่พระพุทธเจ้าทรงประสูตินั้น เป็นแขวงที่กลุ่มของชาวมงโกลบริสุทธิ์(ในความเห็นของผู้เขียนบล้อก ชาวมงโกลบริสุทธิ์ น่าจะเป็น ชาวพื้นเมืองที่อยู่ที่อินเดีย ที่เป็นเจ้าของประเทศแต่เดิมนะครับ มิใช่ชาวอาร์เมนอยด์ หรือชาวเปอร์เซีย ตามในบทความของคุณเสถียรพงษ์แต่อย่างใด)
ที่เข้ามาอพยพตั้งถิ่นฐานอยู่กันนานแล้วนะครับ ท่ามกลางชนชาวอารยันที่ก็อพยพเข้ามาอยู่ที่อินเดียเหมือนกัน แต่ว่าหลังจากพวกชาวมงโกลบริสุทธ์เข้ามา นั่นคือ แคว้นโกศล ตลอดจนแคว้นอื่นๆ
* สังเกต สองสามประโยคด้านล่างของย่อหน้านะครับ ที่กล่าวถึง สายเลือดมงโกลบริสุทธิ์ ในความหมายของบทความ น่าจะหมายถึง กลุ่มชาวอัลไปน์ ไดนาริค และอาร์เมนอยด์ ที่อยู่ในบริเวณเอเชียกลาง
ซึ่งก็จัดว่าเป็นอารยันพวกหนึ่งเช่นกัน ที่ได้อพยพมาอยู่อินเดียก่อน ชาวอารยัน-นอร์ดิก ส่วน"ชาวอารยันที่มีมาอยู่ก่อน "และเป็นส่วนมากด้วย เห็นไหมครับผู้อ่านว่า มีอารยันอีกพวกหนึ่งที่มาอยู่ก่อน และเป็นอารยันพื้นเมืองเสียด้วย
(ความเชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลกนี้ ก็มีอยู่ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ด้วย แสดงว่าพวกนักบวชพราหมณ์-ฮินดูนี้ก็
ถือว่า คือชาวอารยันพื้นเมือง นั่นเองล่ะ ซึ่งก็อาจจะปะปนไปกับชาวอารยันอาร์เมนอยด์ หรือ อารยันที่มาจากเมดิเตอร์เรเนียนด้วย รวมถึงกลุ่มอารยัน-นอร์ดิก แต่กลุ่มผู้ร่วมแต่งคัมภีร์พระเวทด้วยกัน อาจจะเป็นพวกอาร์เมนิดส์พวกเดียวนะครับ)
กลุ่มชาติพันธุ์นี้ผู้เขียนคิดว่า อาจจะเป็นชาวอารยันพื้นเมือง ซึ่งสร้างศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ขึ้นมาในอินเดียก็ได้ครับ
ชาวพื้นเมือง ที่สามารถสร้างศาสนาพราหมณ์-ฮินดูขึ้นมาให้ชาวอินเดียนับถือได้ ผู้เขียนก็พินิจว่า พวกเขาก็น่าจะสมควรเรียกได้ว่า คือ ชาวอารยัน ได้เช่นกันนะครับ เนื่องจากเป็นผู้นำความมีอารยะมาให้กับชนชาติอินเดียและโลก เหมือนกับศาสนาอื่นๆ
ผู้เขียนจึงพินิจว่า คำว่า"ชาวอารยันส่วนมากในอินเดีย"ในบทความของคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก อาจจะเหมารวมทั้งพวกอารยันแท้ๆที่ได้อพยพมาทีหลัง(กับอารยันพื้นถิ่น) อารยันจากบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลดำ จากทะเลสาปแคสเปียน ที่อยู่ในกลุ่มอาร์เมนอยด์ รวมถึงชาวอารยัน-นอร์ดิก ที่ได้อพยพมาเป็นชาวอารยันกลุ่มหลังสุด
และก็ได้มีส่วนในการแต่งเติมตำราพระเวท คัมภีร์ปุราณะ ตลอดจนมหากาพย์ต่างๆ (อาจจะมีบ้างที่ได้เขียนหรือเป็นผู้แต่งเอง) ก็อย่างเช่น เรื่องราวเกี่ยวกับพระอินทร์หรือท้าวสักกะ นั่นไงครับ
นักวิชาการบางท่าน อาจจะถือว่ากลุ่มชาวอัลไปน์ ไดนาริคและชาวอาร์เมนอยด์นั้น คือพวกที่อพยพมาจากบริเวณเอเชียกลาง เป็นพวกนักรบมงโกลสายเลือดบริสุทธิ์นี้ มิใช่ชาวอารยัน (เช่นอย่างคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก) แต่บางท่านก็มีตวามเห็นว่าใช่นี่ล่ะ คือลักษณะของชาวอารยัน ผู้เขียนก็พินิจว่าใช่ครับ แต่ทว่าไม่ใช่สายเลือดของพระพุทธเจ้า ที่ได้อพยพมาครานั้นเลย
https://board.postjung.com/650315
https://www.madchima.org/forum/index.php?topic=12422.0;wap2
https://www.onab.go.th/th/content/category/detail/id/72/iid/460
https://www.vichadham.com/buddha/city16.html
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_49933
https://youtu.be/NI1tSGrVUCs?si=TPvAWY2eC9lEG_oC
https://sutastory.com/the-six-renowned-religious-teachers-of-the-buddhist-era/
ประวัติศาสตร์
วิทยาศาสตร์
วิทยาการ
1 บันทึก
10
1
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย