4 ก.ค. เวลา 05:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทำไม Samsung ถึงผลิตชิปสู้ TSMC ไม่ได้? กับเหตุผลที่การโฟกัสเรื่องเดียว ถึงชนะการทำทุกอย่าง

เคยสงสัยไหมครับว่า ชิปตัวจิ๋วที่ทรงพลัง ที่เป็นหัวใจของ iPhone, การ์ดจอ NVIDIA, หรือคอมพิวเตอร์ AI ที่ฉลาดที่สุดในโลก มันถูกสร้างขึ้นที่ไหน?
คำตอบอาจทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะเจ้าของโรงงานที่กุมชะตาโลกเทคโนโลยีไว้ในมือ ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดี แต่เป็นบริษัทจากไต้หวัน ที่ชื่อว่า TSMC
แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ที่ผลิตทุกอย่างตั้งแต่เรือรบยันตู้เย็น หายไปไหน? ทำไมบริษัทที่มีพร้อมทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี ถึงพ่ายแพ้ในสงครามครั้งสำคัญนี้?
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของสองบริษัท ที่มีปรัชญาแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เหมือนกับน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันเข้ากันได้
ฟากหนึ่งคือ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 โดยชายชื่อ ดร. Morris Chang
ไอเดียของ ดร. Chang ในตอนนั้นถือว่าแปลกและเสี่ยงมาก เขาต้องการสร้างโรงงานที่เรียกว่า “Pure-play Foundry”
คำว่า Foundry ก็คือโรงงานรับจ้างผลิตชิป ส่วน Pure-play แปลว่า “ทำอย่างเดียว” รวมกันแล้วหมายความว่า TSMC จะเป็นโรงงานรับจ้างผลิตชิปให้คนอื่นเท่านั้น จะไม่ออกแบบหรือขายชิปภายใต้แบรนด์ของตัวเองเด็ดขาด
ในยุคนั้น บริษัทชิปส่วนใหญ่เป็นโมเดลที่เรียกว่า IDM (Integrated Device Manufacturer) คือทำทุกอย่างครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบเอง ผลิตเอง แล้วก็ขายเอง
แต่ ดร. Chang มองเห็นช่องว่าง เขาเห็นบริษัทเก่งๆ อย่าง Qualcomm หรือ NVIDIA ที่ออกแบบชิปได้สุดยอด แต่ไม่มีเงินมหาศาลพอจะสร้างโรงงานของตัวเองได้
TSMC จึงเสนอตัวเป็น “คู่ค้าที่ไว้ใจได้” เป็นเหมือนพ่อค้าอาวุธในสงครามเทคโนโลยี คือใครมีแบบแปลนเจ๋งๆ มา เราสร้างให้ และที่สำคัญ เราจะไม่เอาแบบของคุณไปสร้างเป็นอาวุธมาสู้กับคุณ ความเป็นกลางนี่แหละครับ คือหัวใจของ TSMC
ทีนี้ลองมาดูอีกฟากหนึ่ง นั่นคือ Samsung ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่เรารู้จักกันดี ในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่เรียกว่า Chaebol, Samsung สร้างอาณาจักรที่ผลิตแทบทุกอย่างที่เรานึกออก
ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ Samsung เริ่มต้นจากการเป็นเจ้าแห่ง “ชิปหน่วยความจำ” หรือ Memory Chip ซึ่งเป็นชิปมาตรฐานที่เน้นผลิตในปริมาณมหาศาล
Samsung เป็น IDM ขนานแท้ พวกเขาออกแบบชิปของตัวเองชื่อ Exynos เพื่อเอาไปใส่ในมือถือ Galaxy และสินค้าอื่นๆ ถ้ามีกำลังการผลิตเหลือ ก็อาจจะรับจ้างผลิตให้คนอื่นบ้าง แต่มันไม่ใช่ธุรกิจหลัก ไม่ใช่หัวใจของบริษัท
ดังนั้น เวทีการแข่งขันจึงถูกตั้งขึ้นมาชัดเจน… TSMC คือผู้เชี่ยวชาญ ที่มีเป้าหมายเดียวคือการเป็นผู้รับจ้างผลิตที่ดีที่สุดในโลก ปะทะกับ Samsung คือยักษ์ใหญ่ที่ทำทุกอย่าง ซึ่งมองว่าการผลิตชิปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
และในโลกของเทคโนโลยีที่เดิมพันกันด้วยความเร็วและความสมบูรณ์แบบ การมี “โฟกัส” เพียงเรื่องเดียว มันได้กลายเป็นพลังพิเศษที่เหนือกว่าใครครับ
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดที่ชี้ชะตาสงครามครั้งนี้ อาจเป็นการตัดสินใจของ Apple ในช่วงปี 2013-2014
ในยุคแรกๆ ของ iPhone, Apple ก็จ้าง Samsung ผลิตชิปให้นี่แหละครับ แต่ในขณะนั้น ทั้งสองบริษัทกำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟน มีคดีฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตรกันวุ่นวาย
คำถามที่เกิดขึ้นในใจของ Apple ในตอนนั้นก็คือ… “เราจะยอมส่งแบบแปลนชิป ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ iPhone ไปให้คู่แข่งตัวฉกาจที่สุดของเราผลิตต่อไปจริงๆ หรือ?”
ในขณะเดียวกัน TSMC ก็พิสูจน์ตัวเองว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญที่สุดคือ TSMC เป็นกลางและน่าไว้วางใจ ในปี 2014 Apple จึงตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ คือย้ายการผลิตชิปทั้งหมดมาให้ TSMC แต่เพียงผู้เดียว
การย้ายค่ายของ Apple ไม่ใช่แค่การสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ แต่มันคือการประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่า “TSMC คือเบอร์หนึ่งที่น่าไว้วางใจที่สุด” มันคือตราประทับที่ทรงพลัง ที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ หันมามอง TSMC ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
แน่นอนว่า Samsung ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่เหมือนจะกลับมาได้ ในปี 2015 Samsung เปิดตัวเทคโนโลยีกระบวนการผลิต 14 นาโนเมตร ที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบใหม่เรียกว่า FinFET ได้ก่อน TSMC
แต่ชัยชนะนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะถึงแม้จะออกตัวก่อน แต่กลับมีคนพบว่าชิปตัวเดียวกันที่ผลิตโดย TSMC กลับประหยัดพลังงานกว่าของ Samsung อย่างมีนัยสำคัญ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าแค่เป็นคนแรกมันไม่พอ แต่ต้องทำให้ดีที่สุดด้วย
และสมรภูมิที่ตอกย้ำความห่างชั้นจริงๆ ก็คือช่วง 7 นาโนเมตร ในปี 2018-2019
ตอนนั้น TSMC สามารถผลิตชิป 7 นาโนเมตรได้ในปริมาณมากและมีคุณภาพคงที่ จนกลายเป็นโรงงานเนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากใช้บริการ แม้แต่ Qualcomm ที่เคยเป็นลูกค้าหลักของ Samsung ก็ยังต้องย้ายค่ายมาซบ TSMC
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยเรื่อง “อัตราผลผลิต” หรือที่ในวงการเรียกว่า “Yield” มันคืออะไรและสำคัญยังไง?
ลองนึกภาพง่ายๆ ว่าเราอบคุกกี้บนถาดกลมๆ หนึ่งถาด บนถาดนี้เราพิมพ์ลายคุกกี้ได้หลายร้อยชิ้น ถ้า Yield อยู่ที่ 70% ก็หมายความว่ามีคุกกี้ที่ใช้งานได้ 70 ชิ้น อีก 30 ชิ้นต้องทิ้งไป ถ้า Yield ต่ำ ต้นทุนก็จะพุ่งกระฉูดทันที
1
และฝันร้ายเรื่อง Yield นี่แหละครับ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Samsung
จุดที่เจ็บปวดที่สุดน่าจะเป็นสมรภูมิ 4 และ 5 นาโนเมตร Qualcomm กลับไปให้โอกาส Samsung ผลิตชิปเรือธง Snapdragon 8 Gen 1 แต่ผลปรากฏว่าอุปกรณ์ที่ใช้ชิปของ Samsung มีปัญหาความร้อนและแบตเตอรี่หมดเร็ว
จนมีรายงานว่า Yield ของ Samsung ในตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 35% เท่านั้นเอง สุดท้าย Qualcomm ทนไม่ไหว ต้องย้ายออเดอร์กลางคันกลับไปหา TSMC ที่ทำ Yield ได้สูงถึง 70-80%
การที่ลูกค้าต้องย้ายหนีกลางคันแบบนี้ มันคือการทำลายความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรง และเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ Samsung ต้องเดิมพันทุกอย่างกับการมาถึงของเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร
Samsung ตัดสินใจทุ่มสุดตัวด้วยการประกาศว่า “เราคือเจ้าแรกของโลกที่ผลิตชิป 3 นาโนเมตรด้วยเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์แบบใหม่ที่เรียกว่า Gate-All-Around หรือ GAA!” ซึ่งมันล้ำกว่าแบบ FinFET ที่ใช้กันอยู่
ในขณะที่ TSMC เลือกเดินเกมแบบเต่า คือยังคงใช้เทคโนโลยี FinFET ที่คุ้นเคยและเสถียรสำหรับ 3 นาโนเมตร แล้วค่อยเปลี่ยนไปใช้ GAA ในรุ่น 2 นาโนเมตรแทน
ผลลัพธ์คืออะไรครับ? Samsung เป็นเหมือนกระต่ายที่รีบวิ่งออกไปก่อน แต่กลับสะดุดล้มกลางทาง มีข่าวลือว่า Yield ของ 3 นาโนเมตร GAA นั้นต่ำมากจนน่าใจหาย ทำให้ไม่มีลูกค้ารายใหญ่เจ้าไหนกล้าสั่งผลิตเลย
ในทางกลับกัน TSMC ที่ค่อยๆ เดินอย่างมั่นคง ก็เข้าเส้นชัยไปแบบสบายๆ กวาดลูกค้า 3 นาโนเมตรทั้งหมดไปครอง
1
ภาพในวันนี้จึงชัดเจนมากครับ TSMC กลายเป็นผู้กุมชะตาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลกไปแล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาดโรงหล่อที่สูงถึง 60-70% ทิ้งห่างอันดับสองอย่าง Samsung ที่มีอยู่ไม่ถึง 15% แบบไม่เห็นฝุ่น
TSMC ไม่ได้เป็นแค่โรงงานผลิตชิป แต่พวกเขากลายเป็น “ระบบนิเวศ” ที่แข็งแกร่ง มีเครื่องมือ มีพันธมิตร และมีเทคโนโลยีการประกอบชิปขั้นสูงที่เรียกว่า CoWoS ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชิป AI ของ NVIDIA ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก
ยิ่ง AI บูมมากเท่าไหร่ TSMC ก็ยิ่งเติบโตและทิ้งห่างคู่แข่งไปไกลขึ้นเท่านั้น
แล้ว Samsung ล่ะ? พวกเขาอยู่ในสถานะ “ผู้ท้าชิงที่บาดเจ็บ” แต่ก็ยังไม่ตาย ด้วยเงินทุนมหาศาล พวกเขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อกลับมาให้ได้
ปัญหาใหญ่ที่ Samsung ยังแก้ไม่ตกก็คือเรื่อง “ความไว้วางใจ” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ตราบใดที่พวกเขายังผลิตมือถือ Galaxy แข่งกับลูกค้ารายอื่น การจะให้บริษัทเหล่านั้นเอาความลับสุดยอดมาให้ ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
อนาคตจะเป็นอย่างไร? สมรภูมิต่อไปคือ 2 นาโนเมตร ซึ่งทั้ง TSMC และ Samsung จะต้องใช้เทคโนโลยี GAA เหมือนกัน คำถามก็คือ ประสบการณ์ที่เจ็บปวดของ Samsung จะกลายเป็นบทเรียนที่ทำให้พวกเขากลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่?
สุดท้ายนี้ เรื่องราวของ TSMC กับ Samsung ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือเรื่องของ “ปรัชญา”
มันคือการต่อสู้ระหว่าง “การโฟกัส” กับ “ความหลากหลาย” ระหว่าง “การสร้างความไว้วางใจ” กับ “การควบคุมทุกอย่างไว้เอง”
TSMC เลือกที่จะเป็น “ที่สุด” ในเรื่องเดียว และทำมันออกมาให้ดีที่สุด จนไม่มีใครตามทัน ส่วน Samsung เลือกที่จะเป็น “ทุกอย่าง” ซึ่งทำให้พวกเขาแข็งแกร่งในภาพรวม แต่กลับขาดความเฉียบคมในสมรภูมิที่สำคัญที่สุด
1
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในโลกที่ซับซ้อนและเคลื่อนไหวเร็วที่สุด บางครั้งการเป็น “ที่สุด” ในเรื่องเดียว อาจสำคัญกว่าการเป็น “ทุกอย่าง” ก็เป็นได้ครับ
References : [reuters,anandtech,trendforce,bloomberg,asia .nikkei]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา