9 ก.ค. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
สถานีรถไฟธนบุรี

ไม่มีทหารพม่า มีแต่ผู้ป่วยโรคห่าที่วัดอมรินทร์

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปร่วมงาน “ไขปริศนาความตายท้ายเมืองธนบุรี” โดยกรมศิลปากร จัดร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช และการไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสที่มีการขุดพบโครงกระดูก 143 โครง ระหว่างการสร้างสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีศิริราช บริเวณวัดอมรินทราราม ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
อธิบดีกรมศิลปากร บรรยายเปิดเสวนา
วัดอมรินทราราม หรือ วัดอมรินทร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของคูเมืองธนบุรี เดิมชื่อวัดบางหว้าน้อย ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี (ค.ศ.1767-1782) ต่อมารัชกาลที่ 1 ได้พระราชทานนามวัดใหม่เป็น “วัดอมรินทราราม” ตามพระนามสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ด้วยความที่วัดอมรินทร์อยู่ใกล้กับกำเแพงเมืองธนบุรีเก่าและไม่มีใครไปจับจองที่ดิน ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาปลงศพที่บริเวณนี้ ทั้งในรูปแบบการเผาและฝัง
แผนที่วัดอมรินทราราม 2439
ศพที่พบส่วนใหญ่มีทั้งลักษณะนอนเหยียดและนอนพับขามัดแขนด้านหลัง ซึ่งการนอนพับขามัดแขนด้านหลังทำให้บางคนนึกถึงทหารพม่าที่ถูกจับกุมและจัดการที่วัดสุวรรณารามเมื่อปี ค.ศ.1776 แต่ในความเป็นจริงไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากวัดสุวรรณารามและวัดอมรินทรารามอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร จึงไม่มีเป็นไปได้ในการขนร่างผู้วายชนม์มาจัดการที่นี่
สถานที่พบโครงกระดูก
ศพทั้งหมดถูกผังเมื่อใดนั้น มีหลักฐานพบเหรียญกษาปณ์สมัย ร.4 และ ร.5 อยู่ใกล้ๆร่าง ซึ่งคาดว่ามีการฝังระหว่าง ค.ศ.1869-1896 ตรงกับช่วงการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 ซึ่งคาดว่าเป็นการฝังแบบเร่งด่วนด้วยการนอนพับขามัดแขนไพล่หลังเพื่อรอเผาในภายหลัง หากญาติมีทุนทรัพย์มากพอ
การมัดศพแบบพับขามัดแขนไพล่หลัง
การฝังศพท้ายวัดอมรินทร์สิ้นสุดก่อนปี ค.ศ.1900 เมื่อรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้สร้างสถานีรถไฟธนบุรี สถานีต้นทางของรถไฟสายตะวันตกและสายใต้ที่ปากคลองบางกอกน้อย จึงได้มีการเวนคืนพื้นที่มัสยิดบางกอกน้อยและพื้นที่วัดอมรินทร์บางส่วน กลายเป็นสถานีรถไฟธนบุรี ซึ่งต่อมาการรถไฟได้มอบพื้นที่สถานีรถไฟให้โรงพยาบาลศิริราชในปี ค.ศ.2003 และได้รับการพัฒนาเป็นสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีศิริราช ตั้งแต่ปี ค.ศ.2024 เป็นต้นมา
สถานรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีศิริราช
สรุปแล้ว ศพที่พบท้ายวัดอมรินทร์คาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากอหิวาตกโรคในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 คาดว่าจะฝังก่อนนำไปเผาในภายหลัง จึงต้องพับขามัดแขนไพล่หลังก่อนเพื่อไม่ให้ศพกระเด็นเวลาเผา ไม่ใช่ทหารพม่าในสมัยธนบุรี ส่วนรูปพรรณสัณฐานของศพ ด้วยเทคโนโลยีทางนิติวิทยาศาสตร์และกายภาค คาดว่าจะสามารถทราบได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2025

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา