9 ก.ค. เวลา 08:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดกับเราบนแผนที่โลกของเขาในศตวรรษที่19 (4.4)???

ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษี*กปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรส ของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยา ออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญ**ตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดิน เป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal)
นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้) ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า
“เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา” รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
พระเจ้าโอกกากราช ผู้ก่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ และราชวงศ์ศากยะ ของพระสมณโคดม ทรงมีตัวตนอยู่จริงรึไม่ ??ในประวัติศาสตร์ หรือก็เหมือนกับนิทานปรัมปราอื่นๆที่ไม่ได้มีอยู่จริงๆเลยบนโลกใบนี้
พระเจ้าโอกการาช ผู้เขียนไปดูมาหลายเวบไซต์แล้ว ไม่ปรากฏพบทั้งวันทรงประสูติ และเสด็จสสรรคตที่เด่นชัดเลย ทั้งๆที่เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น รวมไปถึงพระเจ้าโอกกากามุข พระราชบุตรองค์โตของพระองค์ พระนางชันตุ พระนางหัตถา พระเจ้าโรชะ เจ้าชายราม เจ้าหญิงปิยา และอีกหลายๆพระองค์ครับ ที่อยู่ในลำดับต้นๆของเครือวงศาคณาญาติขึ้นไปก่อนจะมีกบิลพัสดุ์
ผู้เขียนพิจารณาว่า อาจจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นในภายหลัง เพื่อล้อเลียนและเผยด้วยในขณะเดียวกันว่า มีชาวอนันนูกิ ที่ได้ลงมาแล้วในเวลานั้นๆ
เป็นการบลัฟและดิสเครดิตกันระหว่างพราหมณ์และพุทธศาสนาในสมัยดังกล่าว และปูทางให้เราเห็นและเชื่อว่า กรุงกบิลพัสดุ์ ศากยวงศ์ กรุงเทวะทหะ โกลิยะวงศ์ พระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริมหามายา พระเจ้าอัญชนะ เจ้าชายเทวทัต พระนางยโสธารา(พิมพา) พระราหุล พระอานนท์ และ พระพุทธเจ้า ที่มีตัวตนและยิ่งใหญ่ในประวัตืศาสตร์นั้นมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร ใช้ชีวิตเช่นไรกันในสมัยพุทธกาลสมัยนั้น คือในชั้นวงศาคณาญาติ
ล่างๆ (คือ ตั้งแต่พระเจ้าอัญชนะลงมา)????
รวมไปถึง การล่มสลายของกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะด้วยครับ บางที พระเจ้าวิทูรฑภะ ก็อาจจะเป็นตัวละครที่สมมุติกันขึ้นมาภายหลังก็ได้ ใครจะรู้??
ก่อนอื่นนั้น เราอาจจะต้องมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่กับคำว่า "สายเลือดบริสุทธิ์" มันคือ สิ่งใดกัน?
มันมีอยู่จริงๆรึไม่ครับ?หรือว่า ใครสั่งสอนเรามา? ใครเพาะบ่มปลูกฝังความคิดนี้ มาอยู่ในหัวสมองของพวกเราอันเป็นมนุษย์ปุถุชนคนเดินดินธรรมดาทั้งหลาย และจุดประสงค์ที่พวกนั้นสั่งสอนเรา เกี่ยวกับสิ่งนี้มันคือเรื่องใด มันบริสุทธิ์ขนาดสักเท่าใดหรือ?วัดเป็นปริมาณได้ไหม?ขนาดเท่าใด กว้าง ยาวเท่าใด น้ำหนักอย่างไร ?
แผนผังเครือวงศาคณาญาติของพระเจ้าโอกาการาช ผู้ก่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ ของพระพุทธเจ้า ไม่ทราบว่ามีอยู่จริงๆ รึว่าเป็นเรื่องแต่งกันภายหลังกันแน่ โดยเฉพาะในส่วนบนๆของลำดับวงศาคณาญาติ
ก็มิอาจวัดออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาอันแน่นอน เมื่อลงมาเดินดินกินข้าวกันแล้วทั้งหมด จะอย่างไรกันนั้น ก็มิอาจมีใครที่อยู่ในสภาพเป็น"สายเลือดบริสุทธิ์"หนึ่งร้อยส่วนเต็มหรอกครับ ต่างก็จะต้องปรับต้องจูนกันไปทั้งสิ้นทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นจะมีประโยคว่า "การเรียนรู้ด้วยตนเอง"เกิดขึ้นหรือครับพี่น้อง?
มีบ้างบางคน บางเผ่าพันธุ์เช่นกันครับ ที่จัดอยู่ในประเภทนิสัย ไม่มีใครที่จะมาสั่งมาสอนตนได้ นอกจาก"พวกตน"สั่งสอน"พวกตน"ด้วยกันเองเท่านั้น แม้กระทั่งเป็นพวกตนแล้ว ก็ยังดูถูก ดูหมิ่น จัดลงไปให้อยู่ต่ำกว่า เพียงเพื่อจัดให้ตนเองและกลุ่มของตนนั้น สูงกว่าแล้วก็บอกว่า ตนและพรรคพวก คือสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด เพื่อการอันใดฤา?ประโยชน์อันใดฤา?
สิ่งที่ได้กลับมามันคือสิ่งใด ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยโลกในปัจจุบัน?ในแบบตำราเรียนของเด็กๆยุคสมัยนี้ ในวรรณกรรมต่างๆ นิทาน และนิยายโบราณเรื่องเล่าขานให้เด็กเล็กๆฟังก่อนนิทรารมย์ หรือว่าตื่นขึ้นมา?มิเห็นจะมีอันใดเลย นอกจากความตายและสายเลือด ที่เป็นสายเลือดจริงๆทาชโลมบนแผ่นดิน แต่ไม่ใช่ของพวกนั้น แต่มันคือของพวกเราครับ
เอาล่ะครับ มากลับเข้าเรื่องเข้าราวกันดีกว่า ผู้เขียนไม่ทราบหรอกว่า มีใครบ้าง ?เขียนเรื่องการเกิดขึ้น ของกรุงกบิลพัสดุ์ ตลอดจน พระเจ้าสุทโธนะ พระเจ้าอัญชนะ พระนางสิริมหามายา พระนางพิมพา และใครต่างๆ รวมถึงที่เหนือลำดับชั้นวงศาคณาญาติขึ้นไปอีก คือ พระเจ้าโอกกากราช พระเจ้าโอกกากมุข พระนางหัตถาพระนางชันตุ พระราม พระนางปิยา และพระองค์อื่นๆ เหล่านี้ชื่อเสียงเรียงนามพวกเขา(ผู้เขียนหรือผู้แต่ง)คืออย่างไร?
แต่มีที่น่าจะใช่แล้วแน่นอนท่านหนึ่งคือ อยู่ในฐานะของฤาษี หรือพระดาบส ซึ่งท่านมีนิสัยที่จะชอบขีดๆเขียนๆอยู่แล้วเป็นนิจศีลกิจวัตรอยู่แล้ว ส่วนในสมัยต่อๆมา จะเป็นผู้ใด ?ก็มิอาจหยั่งรู้ได้ครับ มีหลายๆตำราบนโลกนี้เหมือนกันครับ ที่ใช้ผู้แต่งหลายต่อหลายคน ในหลายยุค หลายสมัยกัน แต่ว่าเป็นในทางเดียวกันทั้งหมด จะมีการแก้ไข ดัดแปลงบ้างก็นิดๆหน่อยๆ แต่ก็มิอาจจะลบของเก่าดั้งเดิม
ของผู้เขียนรุ่นแรกๆได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์หรือซีรีย์ต่างๆในปัจจุบัน ก็มีการนำกลับมาทำใหม่อีก หลากหลายเวอร์ชั่น หลากหลายพระเอก หลากหลายนางเอก หลากหลายผู้ร้าย แต่เราก็มิอาจที่จะลบพล้อตเดิมหรือโครงเรื่องออกได้ทั้งหมด ทำได้เพียงการดัดแปลงนิดๆหน่อยๆเท่านั้นจากของเดิม และคนดูก็ชอบ คนแสดงก็ชอบ และคนทำก็ชอบ ในของเดิมๆที่เราเคยดูด้วย เคยอ่านแต่เด็กๆมาแล้วตั้งแต่
รุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นปู่รุ่นย่าแล้ว ถ้าคนทำมิศรัทธาในสิ่งนี้อยู่ก่อน ก็ไปเสาะแสวงหาเรื่องใหม่มาทำกันแล้วมิใช่หรือ? เรื่องของการก่อเกิดกรุงบิลพัสดุ์ก็เช่นกันครับ แต่ผู้เขียนมิทราบจริงๆว่าเป็นผู้ใดบ้าง ชาติใดบ้าง เขียนด้วยลักษณะอย่างไรบ้าง ? เนื่องจากเป็นเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน เพียงแต่ทราบว่า ท่านแรกๆอาจจะเป็นฤาษีที่อยู่ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะพิจารณาจากลัทธิสางขยะ ที่ฤาษีกปิละศึกษาขณะนั้นมันอยู่ในพราหมณ์-ฮินดูนิครับ
แต่ว่านั่นก็เป็นแต่เพียงการคาดเดาโดยส่วนตัวเท่านั้น ขอให้ผู้อ่านบทความไปลองพิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน
พระเจ้าโอกกากากราช ไม่แน่ว่าจะมีพระองค์จริงๆรึไม่ และอย่างไร??เพียงแต่ทราบว่า เมื่อมีกรุง มีเมืองเกิดขึ้นแล้ว ก็จะต้องมีระบอบการปกครองสักระบอบแน่ๆ จึงจะได้สมกับนามแห่งเมืองที่แปลว่า ระบบ หรือระเบียบ กฏหมาย แบบ หรือว่าทางการ มาดูว่าเมืองหรือพระนครของพระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาของเรานั้นปกครองในระบบเช่นไรครับท่านผู้อ่าน?
รูปแบบการปกครองของอินเดียในสมัยอดีตกาล มีอยู่ทั้งหมดสองรูปแบบครับ อันเกิดจากระบบวรรณะพราหมณ์เป็นรากฐานเช่นกันเหมือนกันหมดครับ คือ 1)ระบอบกษัตริย์ กับ 2) ระบอบสามัคคีธรรม หรือ ระบอบสภา กรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้าเรานั้น มีระบอบการปกครองแบบสภาครับ คล้ายๆกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในยุคสมัยปัจจุบันเลยเชียว
แต่ทั้งสองรูปแบบ ก็จะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดในการปกครองเช่นกันครับ แต่ระบอบสามัคคีธรรมนั้น จะใช้ผลโหวตเลือกผู้ปกครองซึ่งจะเป็นวาระๆไป คือจะเป็นลักษณะ เช่นนี้ครับ
สมัยพุทธกาลมีระบอบการปกครองอยู่ 2 ระบอบ คือ ระบอบราชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) ที่กษัตริย์มีอำนาจสิทธิขาดแต่ผู้เดียว กับระบอบสามัคคีธรรม ซึ่งมีพลเมืองชั้นสูงที่มีอำนาจ ตำแหน่งและเงิน เลือกตั้งบุคคลในชนชั้นสูงด้วยกันให้เป็นประธานที่ประชุม หรือเป็นพระราชาที่มีอำนาจจำกัด ต้องขึ้นอยู่กับสภาชนชั้นสูง เช่น การปกครองของแขวงสักกะที่มีพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์
เพราะได้รับเลือกจากพวกราชวงศ์ศากยะ ด้วยกันให้เป็นพระราชา โดยมีสภาชื่อศากยะสังฆะ เป็นผู้ร่วมใช้อำนาจปกครองด้วย การปกครองระบอบสามัคคีธรรม นี้มีลักษณะบางประการ คล้ายคลึงกับระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน คือมีการเลือกตั้งผู้ปกครอง และมีการประชุมสภาที่มีระเบียบปฏิบัติหลายประการ คล้ายคลึงกับการประชุมรัฐสภาในปัจจุบัน คือหลักธรรมที่ชื่อว่า อปริหานิยธรรม (ธรรมที่ทำให้เจริญโดยส่วนเดียวคือไม่มีความเสื่อม)
แคว้นวัชชีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี ก็ปกครองด้วยระบอบสามัคคีธรรมเช่นกัน และประสบความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งและเข้มแข็งด้วย จนแม้กระทั่งพระเจ้าอชาติศัตรูแห่งกรุงราชคฤห์ที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะกรีฑาทัพมารุกรานก็คิดยังกริ่งเกรง จึงได้ลอบใช้สปายคือวัสสการพราหมณ์นั้น ได้มาจู่โจมโจมตีเมืองเสียก่อน
แต่เมื่อก่อนที่จะมีศาสนาพุทธขึ้นมานั้น เรามีศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมาก่อนครับ ซี่งก็เน้นสอนการฝึกจิตเช่นกัน แต่แตกต่างกันนิดหน่อย ดังนี้
วิวัฒนาการของพราหมณ์ ฮินดู
หลักคำสอนศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เน้นคำสอนในเรื่องของวิญญาณ และการเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับศาสนาพุทธและศาสนาเชน
ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าที่สุด ในชมพูทวีปเป็นพื้นฐานของลัทธิศาสนาต่างๆในอินเดีย ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาของพวกที่เรียกตัวเองว่า อารยัน หรือ อริยกะ ซึ่งแปลว่า ผู้เจริญเพราะเป็นผุ้ชนะในการทำสงครามกับชาวพื้นเมืองและได้ปกครองชาวพื้นเมืองตลอดมา
คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
คัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า พระเวทมีอยู่ 3 คือ 
1. ฤคเวท เป็นบทสวดสรรเสริญพระเจ้า 
2. ยชุรเวท ว่าด้วยพิธีบูชายัญ 
3. สามเวท ว่าด้วยบทสวดสำหรับใช้ทั่วไปในกลุ่มประชาชนในพิธีกรรมต่างๆ
หลักธรรมในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
1. สอนในเรื่องกรรม คือ ใช้เว้นชั่ว ทำดี เรียกว่า กรรมโยค 
2. สอนในเรื่องความรู้ ความเห็น ความถูกต้อง คือ ใช้ความรู้ ความเห็น เพื่อความเจริญแก่ส่วนรวมฝ่ายเดียว ไม่ใช้ความรู้ ความเห็น สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้อื่น ซึ่งเรียกว่า ชญาณโยค 
3. สอนในเรื่องเกี่ยวกับความจงรักภักดี หรือ ความตั้งใจรับใช้กรรมด้วยความตั้งใจมีความจงรักภักดีต่อการกระทำ ซึ่งเรียกว่า ภักติโยค
นิกายสำคัญในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู 
1. นิกายไศวะ เป็นนิกายที่นับถือบูชาและจงรักภักดีต่อพระศิวะ 
2. นิกายไวษณพ เป็นนิกายที่นับถือบูชาและจงรักภักดีต่อพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ 
3. นิกายศักติ ลัทธิบูชาเทวี ซึ่งเป็นการบูชาชายาหรือมเหสีของเทพเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ วดีเทวี พระอุมา พระลักษมี
พิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู 
1. ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวรรณะให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น การแต่งงาน อาหารการกิน อาชีพ 
2. พิธีสังสการ พิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ 
3. พิธีศราทธ์ พิธีทำพลีกรรมให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ 
4. พิธีบูชาเทวดา ชาวฮินดู มีประเพณีการบูชามากมาย มีเทพเจ้ามาก
หลักธรรมสำหรับพัฒนาตนเองในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
1. ให้มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ 
2. เคารพเชื่อฟังผู้ที่มีความรู้ และผู้สูงอายุ 
3. รักษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
คำสอนสำคัญในคัมภีร์อุปนิษัทนั้นสรุปได้ ๕ เรื่องคือ
๑. ***ปรมาตมัน หรือ พรหม คือวิญญาณหรือตัวตนดั้งเดิม หรือใหญ่ ที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นหนึ่งและอมตะ
๒. ****อาตมัน หรือชีวาตมัน คือส่วนย่อยของปรมาตมันหรือพรหมที่แยกออกมาอยู่ในแต่ละบุคคล
๓. การกลับเข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมได้นั้นคือการพ้นทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
๔. ชีวาตมันจะกลับไปรวมกับปรมาตมันได้นั้น ผู้นั้นจะต้องบำเพ็ญกิริยา ประกอบพิธีต่างๆจนบรรลุถึง*****โมกษะ (หลุดพ้นจากอัตตา) ******ชีวาตมันก็จะกลับไปรวมกับ ปรมาตมันได้.
๕. เรื่องกฎแห่งกรรม คือสอนว่ากรรมเป็นเครื่องกำหนดของชีวิตในภพหน้า กล่าวคือใครทำสิ่งใดในชาตินี้ ย่อมได้สิ่งนั้น ในชาติหน้า
หลักคำสอนของพราหมณ์-ฮินดู ที่มีการสอนเน้นต้องการดึงวิญญาณเราไปรวมกับพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด หากต้องการพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ศาสนาเชน มีช่วงระยะเวลาการถือกำเนิดไล่เลี่ยกับพุทธศาสนา ถือกำเนิดขึ้นในบริเวณภาคเหนือของอินเดีย เหมือนกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพระพุทธศาสนา
ปรัชญาเชนตั้งบนหลักไตรรัตน์ (สัมมาจาริต สัมมาทัสสนะ สัมมาญาณะ) มีลักษณะเป็นอัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนเอง เช่น การอดอาหาร การทำพิธีฆ่าตัวตายเป็นต้น ยิ่งทรมานร่างกายมากเท่าไหร่ กิเลสก็จะลดลงไปมากเท่านั้น
ศาสนาเชน ศาสนาแห่งอหิงสา
ศาสนาแห่งตบะธรรม
ความเหมือนและความแตกต่างของศาสนาพุทธศาสนากับศาสนาเชน
๑. ศาสนาพุทธและศาสนาเชนเป็นอเทวนิยม ปฎิเสธเรื่องพระเจ้าสร้างโลก
๒. เชื่อในเรื่องกรรมเหมือนกัน
๓. ปฏิเสธคัมภีร์พระเวทและระบบวรรณะเหมือนกัน
๔. จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือ นิพพาน ศาสนาเชน
คือโมกษะ
๕. ศาสนาเชน เน้นปฏิบัติในหลักอัตตกิลมถานุโยค ส่วนศาสนา
พุทธ ถือหลักมัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง
๖. ศาสนาเชนยึดถืออัตตา ( วิญญาณของบุคคลเป็นนิรันดร )
ซึ่งตรงข้ามกับศาสนาพุทธ ( อนัตตา )
*ฤาษีกปิละ จังตังกปิลละฤษี หรือ กบิลฤาษี หรือ กปิลละฤษี ...คือพระมหาโพธิสัตว์(อดีตชาติของพระพุทธเจ้า) ซึ่งต่อมาได้อุบัติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
อีกในตำนานหนึ่ง คืออยู่ในตำนานเรื่องนี้ล่ะครับ พระเจ้าโอกกาการาช และ การก่อกำเนิดของกรุงกบิลพัสดุ์ ท่านเป็นฤาษีที่เน้นสอนลัทธิสางขยะ อยู่ในแขวงป่าหิมพานต์
**ตบะ พิธีข่มกิเลสโดยทรมานตัว เช่น ฤๅษีบำเพ็ญตบะ
การบำเพ็ญเพื่อให้กิเลสเบาบางหรือการข่มกิเลส, ธรรมข้อที่ ๖ ในทศพิธราชธรรม. (ดู ทศพิธราชธรรม ข้อ6)มีอยู่ในคำสอนของศาสนาที่เน้นฝึกจิตต่างๆ
***อาตมัน หรือ ชีวาตมัน คือ ชั้นของคนและสัตว์ ที่แตกออกจากปรมาตมัน ชีพนั้นก็เข้าสู่ร่างใหม่ มีการเวียนว่ายตายเกิด
****ปรมาตมัน หรืออาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด (บรมอัตตา บรมอาตมัน) ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง คือพรหมมัน หมายถึง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลก ได้แก่ "พรหม" ปรมาตมันกับพรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน
ปุรุษะ คือ แสงธรรมชาติแห่งสกลจักรวาล เป็นปฐมจุดกำเนิดแห่งสิ่งทั้งมวล เป็นอมตะ ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่ถูกจำกัดด้วยร่างกาย (ศรีริน)
*****โมกขะ หรือโมกษะ โมกขะในพระไตรปิฎก หมายถึง ความพ้น หลุดพ้น แต่
ในความหลุดพ้นที่เป็น โมกขะ รึโมกษะนี้ ก็มีหลายระดับ ทั้งโดยนัยสูงสุด จนถึงต่ำสุด
หากพิจารณาในชีวิตประจำวัน ก็มี การหลุดพ้น คือ หลุดพ้น จากกิเลสชั่วขณะ
ที่เป็นกุศล
ขณะนั้นก็เป็น วิมุตติ เป็นโมกขะ ที่หลุดพ้นจากกิเลสชั่วขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็เป็น วิมุตติ เป็นโมกขะ ที่หลุดพ้นจากกิเลสชั่วขณะที่กุศลจิตเกิด
แต่ยังไม่ใช่การหลุดพ้นที่แท้จริง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแบ่งระดับของโมกขะที่เป็นวิโมกข์จริงๆ
นั้นมี 3 ประการครับ
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง จาก
ที่มา:หนังสือสังคมศึกษา รายวิชา ส 204 ประเทศของเรา ของ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
โฆษณา