8 ก.ค. เวลา 12:40 • ความคิดเห็น
โลกนี้ให้แต่กรรม เราไปหลงใหลโลกเค้าเอง
เมื่อเกิดมาอาศัยกาย จิตอาศัยกาย ..กายนี้ ก็ของๆ โลก โลกนั้นก็ให้อารมณ์ นึกคิดอะไรต่างๆ ปรุงแต่ขึ้นมาภายในกาย วิญญาณทั้งหก ที่เราไปสัมผัส ทั้งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต ปัจจัยสี่ ที่เราจับต้อง ไปใช้กายไปหามา ต้องใช้อารมณ์ต่างๆ ก็เป็นกรรม ไปกินน้ำเลือดน้ำหนอง หมูเป็ดไก่ กุ้งหอยปู่ ก็เป็นเนื้อของกรรม ที่จิตมีกรรมไปอาศัย กินเค้าเอร็ดอร่อย เค้าก็มีตัวกินเลือดกินเนื้อมากัดกินน้ำเลือดน้ำหนอง ที่มาส่งเสริม พยุงธาตุในกายให้อยู่ได้
สิ่งต่างที่เราไปยึดถือ นั้นล้วนเป็นเรื่องการสะสมกรรม เสมือนว่า โลกนี้หลอกเราให้ยึดถือกรรม เค้าจึง มีคำว่า โลกนี้ให้แต่กรรม แต่หากว่า เรามาอารมณ์กายมนุษย์นี้ อาศัยกายนี้ สร้างทานบุญกุศลบารมี กายนี้ ก็มีคุณ .นำพาจิตไปสู่สถานที่ดี ..ทีเค้า กายเป็นบุญ กายของเทพยดาอินทร์พรหม จิตนั้นก็อาศัยกายมนุษย์ สร้างกายบุญ สะสมไว้ กับธาตุทั้งสี่ ที่จะนำพาจิต ไปสู่สถานที่ดี มีกายเป็นบุญ มีแต่ความสุข ..เมื่อหมดบุญ ก็ลงมาสร้างบุญกุศลใหม่ ให้กลับที่เดิม หรือ สูงกว่าเดิม หากเกิดมาหลงโลก..ที่ให้แต่กรรม จิตก็ลงอบายภูมิ
..เมื่อโลกนี้ ให้แต่กรรม ผู้ที่มีปัญญาธรรม ท่านก็หนีทรัพย์สมบัติ ลาภยศสรรเสริญเยินยอ ยศฐานบรรดาศักดิ์ ปลีกตัว เดินเข้าไปด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ไปกระทำให้แจ้ง ทั้งโลกทางธรรม จนเกิดเป็นมรรผล มรรคสี่ ผลสี่ พระนิพพานหนึ่ง เกิดคำว่า ธรรมโลกุตระ รู้แจ้ง ทั้งทางโลกทางธรรม จิตบรรลุถึงธรรม หมดเวรกรรม เรื่องราวที่จะมาทำให้จิตนั้นหลงไหลอีกแล้ว ..จิตไม่มีภาระ ยึดเรื่องราวต่างในโลก มองเห็นทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีค่า บ้านช่องไม่มีค่า เป็นศูนย์ไปหมด ..จิตไม่ไปนึดติด ในโลก ..
หมายเหตุ เราก็ฟัง พระท่านเล่ามา ก็มาเล่าต่อ .จำๆมา เราก็ยังเป็นผู้ที่หลงโลก มีความโลภโกรธหลง อยู่เต็มตัว ..
โฆษณา