8 ก.ค. เวลา 13:17 • ความคิดเห็น

จบ “ข่าว”

ข่าว การเสพข่าว และปฏิกิริยาของผู้คนต่อข่าวสารต่างๆนั้นเปลี่ยนไปจากยุคก่อนโซเชียลมีเดียมากๆ
แต่ก่อนเรารับรู้ข่าวพร้อมๆ กัน จากหนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ ช่องเดียวกัน มีระบบเซนเซอร์ตรวจสอบทั้งของรัฐและบรรณาธิการ
ตื่นเช้าเจอกันที่ทำงานก็คุยข่าว คุยละคร คุยโฆษณาใหม่เรื่องเดียวกันหมด ชีวิตก็เรียบง่าย กะเกณฑ์อะไรก็ไม่ยาก เข้าใจการตอบสนองของผู้คนก็ไม่ซับซ้อนเท่าใดนัก
 
แต่ยุคนี้กระบวนการทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ข่าวสารข้อมูลท่วมหัว มากกว่าสมัยก่อนไม่รู้กี่พันกี่หมื่นเท่า แถมถูกจัดการด้วยอัลกอริทึ่มอีก
2
ในขณะที่สมองมนุษย์และความสามารถในการประมวลผลไม่ได้ต่างจากเดิมเลย วิธีคิดและตอบสนองก็เลยน่าสนใจและต่างออกไปจากสมัยก่อนมาก
 
ในฐานะเป็นคนที่ผ่านมาทั้งสองยุค ก็เลยอยากจะสรุปตามที่สังเกตการ “ข่าว” ที่เปลี่ยนไปอย่างมากให้คนยุคเดียวกันที่ยังงงๆกับลักษณะของข่าวที่เปลี่ยนไป
แต่สำหรับคนยุคนี้ที่เกิดมาก็เจอโซเชียลแล้วก็อาจจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่ก็ได้
 
ต้นตอเพราะเห็นคุณเอ๋ นิ้วกลม โพสต์ไว้สั้นๆเมื่อวาน ทำให้มานั่งคิดต่อจนเป็นบทความนี้แหละครับ
— ข่าวใหม่กลบข่าวเก่า
 
นิ้วกลมโพสต์ไว้ว่า “ความเร็วทุกวันนี้มันโหดเกินไปละ เห็นรูปคนไปเที่ยว Osaka Expo วันนี้เหมือนเห็นรูปโบราณสถานแล้วเลย“
 
Osaka Expo นี่ผมเพิ่งไปตอนสงกรานต์ที่ผ่านมาเองนะครับ แล้วเขียนวิพากษ์ไว้เป็นข่าวเป็นคราวพอสมควร มานั่งนึกๆตอนนี้ก็เหมือนผ่านไปนานมาก
1
ใครโพสต์ตอนนี้ก็ดูจะเชยๆ ไปแล้วด้วยซ้ำ นี่แค่ยังไม่ถึงสามเดือน
 
เอาเข้าจริงๆ ลองสังเกตข่าวที่เคยโด่งดัง ดราม่าจะเป็นจะตาย พอคุยตอนนี้ก็ไม่อยากคุยเพราะมันเก่าไปแล้ว ทั้งที่เกิดขึ้นไม่กี่เดือนเอง
ข่าวโตโน่ ข่าวดราม่า ข่าวเมย์วาสนาโดนยืมของไม่คืน ตึกถล่ม นักการเมืองท้องถิ่นขับบีเอ็มไล่บี้คน แม้แต่ข่าวพระวัดไร่ขิงเมื่อเดือนที่แล้วยังดูเก่า ไม่มีใครพูดถึงอีกเลย
 
นักการเมืองเก่งๆรู้ถึงเรื่องแบบนี้ดี มีข่าวฉาวอะไรก็อดทน เงียบไว้สิบวันก็หายหมด และก็ด้วยเหตุผลข้อต่อมาที่จะกล่าวถึง
ยิ่งทำให้ “นิ่งเสียตำลึงทอง” กลายเป็นกลยุทธ์กลบข่าวฉาวในปัจจุบัน
 
— ข่าวซ้ำไม่มีใครสน
 
มีใครเคยเล่าถึงเทรนด์ยุคใหม่ไว้ว่า คนเราจะหาคนเกลียดใหม่ๆจากข่าวทุกสามวัน และจะเบื่อกับการกลับไปเกลียดคนเดิม …
ผมฟังแล้วคิดตามก็ดูน่าจะจริง เพราะตัวละครที่สังคมไม่ชอบ ข่าวฉาวที่เกิดแบบปลายเปิดและยังไม่มีข้อสรุป พอเวลาผ่านไปไม่นาน ใครจะมาเล่นประเด็นอะไรกลับไปเหมือนเดิมก็ดูจะไม่ได้รับการตอบรับเท่าเดิม โหนกระแสถึงไม่ค่อยเอาข่าวเดิมมาตามซ้ำเท่าไหร่ก็เพราะคงสังเกตออก
ข่าวน้องแตงโม ข่าวดิไอคอน ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ีดีในเรื่องนี้ เรื่องราวที่ยังไม่จบดี แต่จบไปแล้วในความรู้สึกขี้เบื่อของคนที่ต้องการโดพามีนมากกว่าความจริง..
1
— เราอ่านข่าวหรือข่าวอ่านเรา
 
แต่ก่อนที่จะมีเทคโนโลยีโซเชียล เราอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี จะอ่านอะไร ดูเรื่องไหนก็ไม่มีใครรู้ อย่างมากก็มีเครื่องวัดเรตติ้งอยู่ไม่กี่บ้าน เราเป็นผู้เสพแบบวันเวย์
1
แต่ยุคนี้ เราอ่านอะไร ดูอะไร ดูมากดูน้อย ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ดูอะไรซ้ำๆ ก็จะมีผู้ให้บริการเก็บข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลหมด
 
เพราะในยุค attention economy ใครทำให้พวกเราดูอะไรนานๆ ได้ ก็จะสามารถทำเงินได้มหาศาลทั้งจากโฆษณา การขายของ และการชักจูงไปในทางใดทางหนึ่งด้วยพลังของอัลกอริทึ่ม
 
เราเองอาจจะหลงคิดว่าที่ดูอะไรฟรีๆ จาก facebook หาอะไรฟรีๆ จาก google อ่านอะไรฟรีๆ จากที่โน่นที่นี่นั้นเราเป็นคนอ่าน แต่ในทางกลับกัน
2
เราก็โดน “อ่าน” และถูกเปลี่ยนจากผู้บริโภคเป็นสินค้าที่ platform เอาไปเร่ขายไว้ยิงแอดให้ตรงกลุ่มเป้าหมายโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
 
— ข่าวเล็กพริบตาเดียวก็ใหญ่
 
สมัยก่อนตอนที่ผมทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เวลามีลูกค้าบ่นเรื่องบริการไม่กี่ราย ผู้บริหารหลายคนก็อยากจะชี้แจงบนเว็บไซด์ ซึ่งผมก็จะอธิบายว่า ปัญหาร้อย แต่ถ้าโพสต์ก็จะมีคนรับรู้เป็นล้านได้ไม่ยาก
6
ต้องคิดดีๆว่าปัญหามันควรจะอยู่ในขอบเขตแค่ไหนก่อน
 
ดราม่าหลายครั้งก็เกิดจากการโพสต์อะไรนิดเดียวใน FB ส่วนตัว อาจจะตั้งค่าแค่เพื่อนเห็น หรือแค่ไลน์ที่โดนแคบ ล่าสุดก็คลิปเสียงสนทนาส่วนตัวที่โดนอัด ภายในพริบตา โซเชียลมีเดียสามารถกระจายบอกคนได้เป็นล้านหรือเป็นสิบล้าน
 
เราจึงควรจะมองสื่ออะไรก็ตามเหมือนบิลบอร์ด ไม่ใช่เป็นการตะโกนแค่ในห้องเล็กๆของเรา ถ้าเราคิดแบบนั้น การเขียนอะไร ด่าใคร
เรื่องอะไรแต่ละครั้งต้องคิดว่าเราจะกล้าขึ้นบิลบอร์ดด้วยถ้อยคำเหล่านั้นหรือเปล่า ก็อาจจะระงับยับยั้งความโมโห หรือระมัดระวังตัวเองได้มากขึ้น
 
— ข่าวของใครก็ข่าวของมัน
 
เป็นสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า echo chamber ซึ่งเกิดจากอัลกอริทึ่มของโซเชียลมีเดียที่คอยอ่านความชอบของเราแล้วพยายามป้อนแต่สิ่งที่เราชอบมาให้ และก็จะรวมกลุ่มที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน มีทัศนคติที่คล้ายกัน โดยไม่มีมุมมองที่ต่างมาท้าทาย เป็นความสบายใจจนชิน
1
เหมือนกับการอยู่ในห้องที่ตะโกนไปก็ได้ยินแต่เสียงสะท้อนกับตัวเองกลับมา
 
สภาวะที่เราดู youtube เรื่องอะไร มันก็จะส่งวนๆเรื่องนั้นกลับมาเรื่อยๆ การไถ tiktok ก็เช่นกัน ถ้าชอบดูแจ๊ส ชวนชื่น แจ๊สก็จะขึ้นมาทุกวัน ในขณะที่อีกคนดูแต่ข่าวการเมืองก็จะไม่เห็นแจ๊ส ในการเมือง ถ้าไม่ชอบรัฐบาลก็จะเห็นแต่คลิปด่ารัฐบาล ถ้าชอบก็จะเห็นตรงข้าม คนที่ตาม BL ก็จะเห็นแต่ BL
ถ้าอยากพิสูจน์ทราบเรื่องนี้ ลองไม่ log in youtube แล้วดูแบบแรมด้อมดู ก็จะเห็นสิ่งที่ไม่ได้เห็นมานาน เป็นประสบการณ์ที่เตือนตัวเองได้ดีเหมือนกันนะครับ
 
 
— ข่าวใหญ่ในห้องเรา ข่าวเล็กในห้องอื่น
 
พอแต่ละคนมี echo chamber มีกลุ่ม มีความสนใจเฉพาะของตัวเอง เรื่องอะไรที่ดังมากๆ ในกลุ่มนึง อีกกลุ่มก็อาจจะไม่เคยเห็น ไม่ได้ยินเลยก็ได้ อีกประการก็เพราะข้อมูลข่าวสารมันล้นเกินเหลือเกิน
1
ข่าวดราม่าบริษัทที่เรากังวลอาจจะอยู่แค่ในวงตลาดหลักทรัพย์ ถามคนทั่วไปก็อาจะไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ หรือข่าวดาราเกาหลีที่ดูจะรุนแรงเหลือเกินใน X คนทวีตเป็นล้าน แต่ใน FB กริบมากก็มีบ่อย
 
ความสนใจของคนตอนนี้นั้น SuperFragmented แต่ละคนอาจจะสังกัดหลายกลุ่ม และก็จะไม่ค่อยสนใจดราม่าของกลุ่มอื่นๆเท่าไหร่นัก
การพินิจพิเคราะห์ข่าวที่ว่านั้นเป็นความสนใจเฉพาะกลุ่มหรือไม่ก่อนตัดสินใจแก้ข่าว หรือตอบโต้ใดๆ ว่าควรทำ และทำที่ช่องทางไหนก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ไว้พิจารณาเช่นกัน
— ข่าวลึกไม่มีใครแคร์ ข่าวยาวไม่มีใครอ่าน
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา มนุษย์เราถูกเทรนให้มีสมาธิสั้นลงอย่างน่าเหลือเชื่อจากการใช้โซเชียมีเดียที่ให้พลังอำนาจเราสื่อสารได้ realtime และเลือกเสพคอนเท้นท์ได้ดังใจ
แต่ก่อนเราชอบแซวว่าปลาทองสมาธิสั้นคือแค่ 8 วินาทีก็หันหน้าแล้ว แต่คนเรากดข้าม youtube ไถ tiktok ผ่านนี่เดี๋ยวนี้ระดับ 1.6 วินาที สั้นกว่าปลาทองมาก
 
สมัยก่อน ข่าวเชิงสืบสวน เจาะลึกที่เรียกว่า investigative report ตามข่าวล่าข่าวกันเป็นเดือนๆในยุค เพชรซาอุ แม่ชม้อย เดี๋ยวนี้ข่าวเชิงลึกไม่มีใครอดทนรออีกต่อไป ทั้งขี้เบื่อ ใจร้อนอยากให้จบไวๆจะได้ไปตามข่าวอื่น และทั้งมีข่าวใหม่มากลบตลอดเวลา
3
ทำให้สังคมสูญเสียความสามารถในการใช้สังคมกดดันเรื่องที่ควรจะต้องตามไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องราวทุจริตคอร์รัปชั่นคือความเสียหายอย่างหนักในเรื่องนี้
3
ลองพิจารณาข่าว ตึก สตง ทางด่วนพระรามสอง ตึกที่ประกันสังคมซื้อดูก็ได้ว่าแผ่วลงแค่ไหนแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีคนพยายามเจาะลึกอยู่ก็ตาม
 
— ข่าวดีไม่มีนานแล้ว
Yuval harari นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนหนังสือ Sapiens อันโด่งดังเคยวิเคราะห์ไว้ว่า อัลกอรึทึ่มของโซเชียลมีเดียเข้าใจมนุษย์เป็นอย่างดีว่าจะตอบสนองกับเรื่องลบๆมากว่าเรื่องบวกมาก
ยูวาลบอกว่ามนุษย์จะชอบอ่านและแชร์เรื่องที่มีองค์ประกอบของความขัดแย้ง ความกลัว ความโกรธและความเกลียดชังมากกว่าข่าวดีทั่วๆไปมาก ยิ่งแชร์ อัลกอริทึ่มก็ยิ่งทำงาน
ฟีดเราถึงถูกปกคลุมด้วยข่าวร้ายเยอะกว่าข่าวดี ซึ่งเห็นได้น้อยมากๆ
 
ในทางจิตวิทยามีคำอธิบายลักษณะของคนเราแบบนี้ว่าเป็น negativity bias อิทธิพลของสิ่งเร้าที่เป็นลบต่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับสิ่งเร้าบวก ก็จะสูงกว่ามาก ในภาษาข่าวฝรั่งก็เคยมีคำพูดว่า “ if it bleeds, it leads” ลองนึกถึงข่าวอาชญากรรมเมืองไทยก็จะเห็นภาพชัดเจน
 
ข่าวร้ายก็จะมากกว่าข่าวดี จนกลบข่าวดีซะมิดด้วยประการ ฉ นี้
 
 
— เป็นข่าวดีกว่าไม่เป็น
1
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุนแต่เป็นลักษณะของสังคมที่สับสนวุ่นวาย จำได้แต่เรื่องใหญ่ๆไม่ว่าจะลบหรือบวกก็ตาม ดาราที่เป็นข่าวฉาว มีโลกหลายใบ มีดราม่าหนักๆจนแทบลาวงการ แทบทั้งหมดพอข่าวซางานกลับเข้าชุกกว่าเดิม
หลายคนที่มีงานน้อย หรือคิดว่าขอให้มีชื่อเสียงหรือชื่อเสียก็จะทำมาหากินได้ จึงอยากไปออกโหนกระแสกัน บางคนจงใจเล่นบทตัวร้ายเลยด้วยซ้ำเพื่อเรียกร้องความสนใจ และสังคมก็ให้ความสนใจจริงๆ
 
เราถึงเห็นคลิปแปลกๆ คลิปตลกๆ คลิปวาบหวาม จนถึงคลิปอื้อฉาวเต็ม tiktok ไปหมดก็เพราะทำแล้วได้ยอดวิว ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำสตางค์ และก็น่าจะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆนับจากนี้ในสภาวะที่งานหาได้ยากในเศรษฐกิจแบบนี้
คลิปเหล่านี้ก็จะกลบคลิปปกติ คลิปความรู้ หรือคลิปที่เป็นเชิงบวกไปหมด
1
— แชร์ข่าวอาจถึงคุก
สมัยก่อนการเม้าข่าว แชร์กับเพื่อนๆที่ทำงานนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครฟ้องอะไรใคร แต่สมัยนี้มี พรบ คอมคุ้มครองการเผยแพร่ข่าวสารที่มีโทษอาญา ใครแชร์อะไรซี้ซั้ว ก็มีโอกาสถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้เสมอ ต่อให้ข่าวนั้นเป็นความจริงก็ตามซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้ คิดว่าจริงก็เผยแพร่ได้
แต่กฎหมายหมิ่นประมาทไม่เกี่ยวกับเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าทำให้บุคคลนั้นๆเสียหายและพิสูจน์ทราบได้โดยไม่ต้องสืบค้นว่าเป็นใครก็โดนคดีได้แล้ว
 
จะแชร์อะไรก็ต้องเข้าใจหลักการของกฎหมายข้อนี้ไว้ด้วยในยุคสมัยที่จะแชร์ จะเม้นอะไรก็แค่ปลายนิ้ว
— ข่าวถูกใจใหญ่กว่าข่าวถูกต้อง
 
ผมได้รับบทเรียนนี้ตอนที่ต้องไปชี้แจงเรื่องลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโรปี 2012 ที่ทางแกรมมี่ได้มาอย่างถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจคนทั้งประเทศเพราะต้องซื้อกล่อง ไม่ได้ดูฟรีเหมือนเคย (เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้)
1
ผมพยายามอธิบายว่าเราถูกต้องอย่างไรก็ไม่มีใครสน มีแต่หามุมมาด่า จริงบ้างไม่จริงบ้าง ผมเองก็หมดแรง ไปออกรายการไหนก็เละทุกครั้ง
 
จนพี่เล็ก บุษบา ดาวเรือง ซีอีโอแกรมมี่มาเตือนสติผมว่า เวลาให้ข่าวนั้น มันมีทั้งถูกต้องและถูกใจ ถ้าเราเอาแต่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ เรื่องก็ไม่จบ
หลังจากนั้นผมเลยเข้าใจและหาวิธีการตอบที่พอจะถูกใจผู้ฟังมากขึ้น มีการขอโทษต่อให้เรารู้สึกว่าไม่ผิด มีการหาทางออกยื้อเวลาไม่ปะทะ เป็นเครื่องเตือนใจในการให้ข่าว เขียนข่าวเวลามีดราม่าของผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
2
ผู้คนไม่มีเวลามาสนว่าอะไรถูก ยิ่งอยู่ใน echo chamber ของตัวเองในสมัยนี้ด้วย “ถูกใจ” ต้องมาก่อน “ถูกต้อง” เสมอ
1
— ข่าวมาแล้วก็ข่าวไป
 
สัจธรรมของการข่าว ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ จะต่างกันก็แค่ความเร็วในการขยายและการจบของยุคสมัย ข่าวที่เคยดัง เคยดราม่าจะเป็นจะตาย เคยคุกคามจนแทบจะอยู่ไม่ได้ เคยทำให้ภูมิใจจนเดินไปไหนก็มีแต่คนทัก
1
ไม่นานก็จะกลายเป็นอดีต คนก็จะไปสนใจข่าวใหม่ที่ทำให้โดพามีนหลั่งเสมอ
 
ถ้าเจออะไรหนักๆก็ท่องไว้ว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เจออะไรดีๆ มีอำนาจวาสนา มีข่าวดีๆเต็มไปหมดก็ท่องไว้ว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปเช่นกัน…
3
จบ “ข่าว” ละครับ
โฆษณา