Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
9 ก.ค. เวลา 02:14 • ธุรกิจ
🍲 ต้มยำคนละหม้อ? 🍝 หรือพาสต้าจานเดียว?
ถอดรหัส 'โต๊ะอาหาร' ที่กำหนดรูปแบบการทำงานในองค์กรคุณแบบไม่รู้ตัว!
🧭 “โต๊ะอาหาร” = แบบจำลององค์กรขนาดย่อม
ภาพโต๊ะอาหารของชาวตะวันออกกับชาวตะวันตกไม่ใช่แค่เรื่องมารยาท — แต่มันคือค่านิยม การสื่อสาร และโครงสร้างการทำงานที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมลึกกว่าที่คิด โต๊ะอาหารไม่ได้เป็นแค่ที่วางอาหาร แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนความเข้าใจในสิ่งที่แต่ละวัฒนธรรมให้คุณค่า ทั้งในมิติของความสัมพันธ์ อำนาจ การแบ่งปัน และบทบาทของแต่ละคนในกลุ่ม
บางองค์กรอาจสร้างทีมแบบ “กับข้าวกลางโต๊ะ” ทุกคนตักร่วมกันแต่ไม่มีใครรับผิดชอบชัดเจน ขณะที่บางองค์กรเน้น “จานใครจานมัน” จัดระเบียบดีแต่ขาดการแชร์ข้อมูล ความแตกต่างนี้ไม่ได้แค่มีผลต่อบรรยากาศการทำงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลลึกไปถึงการตัดสินใจ การวางกลยุทธ์ และวิธีการจัดการกับความขัดแย้ง
บทความนี้จะพาคุณถอดรหัสจากโต๊ะอาหาร สู่โมเดลการบริหาร สื่อสาร และสร้างทีมในโลกที่หลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะสำหรับผู้นำและทีม People ที่ต้องการออกแบบองค์กรให้เข้าใจคนจริงๆ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกันได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน
====
🍽️ Comparative Reflection เมื่อ "โต๊ะอาหาร = โต๊ะประชุม"
ถ้าเรามองโต๊ะอาหารเป็นโมเดลย่อส่วนขององค์กร เราจะเห็นสองแนวคิดหลักที่แตกต่างกันชัดเจน และต่างมีผลต่อการออกแบบวัฒนธรรมองค์กรทั้งสิ้น
🍛 จานกลางร่วมสำรับ
* เปรียบได้กับองค์กรแบบ Team-based (เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมมากกว่าความสำเร็จรายบุคคล) และมีความสัมพันธ์แบบ Collectivist (แนวคิดที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายส่วนรวม ความกลมเกลียวในกลุ่ม และการตัดสินใจร่วมกันเป็นหลัก มากกว่าการแข่งขันหรือความโดดเด่นเฉพาะบุคคล)
* ผู้นำมีแนวโน้มจะเป็นแบบ Participative (มีส่วนร่วม) คือเปิดโอกาสให้ทีมมีส่วนในการตัดสินใจ ไม่ตัดสินใจโดยลำพัง และ Empathetic (เข้าอกเข้าใจ) ซึ่งหมายถึงการใส่ใจความรู้สึกของทีม รับฟังอย่างลึกซึ้ง และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางอารมณ์ มากกว่าการสั่งการจากเบื้องบนอย่างเดียว
* จุดแข็ง?
* สร้างความใกล้ชิดในทีม เกิดความไว้วางใจ และทำให้ทีมรู้สึกเป็นเจ้าของเป้าหมายร่วมกัน
* บรรยากาศยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ตลอดเวลา ไม่ยึดติดกับโครงสร้างที่แข็งทื่อ
* จุดอ่อน?
* บทบาทหน้าที่ไม่ชัดเจนจนทำให้การรับผิดชอบงานซ้ำซ้อน หรือไม่มีใครกล้ารับงานสำคัญเพราะกลัวรับผิดเต็มตัว
* เสี่ยงต่อการเกิด “no owner, but all opinion” คือมีแต่เสียงแต่ไม่มีเจ้าภาพ
🍽️ จานใครจานมัน
* สะท้อนองค์กรที่มีโครงสร้างแบบ Role-based (มีการกำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบอย่างชัดเจนสำหรับแต่ละบุคคล) และยึดแนวคิดแบบ Individualist เป็นหลัก (การให้คุณค่ากับความสามารถเฉพาะตัว การตัดสินใจที่อิสระ และการประเมินผลลัพธ์ตามผลงานรายบุคคล มากกว่าความพยายามร่วมของทีม)
* ผู้นำมักมีลักษณะ Expert-led (เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ใช้ข้อมูลและหลักฐานเชิงวิชาชีพในการตัดสินใจ) และ Structured (การวางแผนที่มีลำดับขั้นตอนชัดเจน มีระบบคิดแบบเหตุและผล และมักใช้กรอบการทำงานที่สามารถตรวจสอบและวัดผลได้) การนำแบบนี้เหมาะกับองค์กรที่ต้องการความแม่นยำ ความเสถียร และประสิทธิภาพสูงในเชิงระบบ
* จุดแข็ง?
* ระบบการทำงานชัดเจน มีลำดับขั้นตอนที่แม่นยำ ทำให้สามารถวัดผลได้เป็นรูปธรรม
* ทุกคนรู้ขอบเขตและเป้าหมายของตนเอง ลดความซ้ำซ้อนและความขัดแย้งด้านบทบาท
* จุดอ่อน?
* อาจเกิดภาวะ silo ทำงานแยกกันโดยขาดการเชื่อมโยงทางอารมณ์และความสัมพันธ์
* ขาด psychological safety ในการร่วมมือหรือขอความช่วยเหลือระหว่างทีม เพราะกลัวถูกมองว่าอ่อนแอหรือไม่พร้อม
📌 ถ้าองค์กรคุณเปรียบได้กับร้านอาหาร…โต๊ะที่เสิร์ฟในทีมของคุณเป็นแบบไหน?
====
👨👩👧👦 "วัฒนธรรมร่วมสำรับ” = ความสัมพันธ์เหนือกระบวนการ
* “ของเราไม่ใช่ของฉัน” = บริบทที่ให้ความสำคัญกับความกลมเกลียวมากกว่าประสิทธิภาพแบบตะวันตก เช่น ในทีมที่มีสมาชิกหลากหลายรุ่น หรืออยู่ในองค์กรครอบครัว เราจะเห็นว่าทุกคนให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันมากกว่าการแยกบทบาทหน้าที่ตายตัว
* Flexible Workflow = พร้อมเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ทีมที่ทำงานแบบนี้จะเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมกัน เช่น เวลามีปัญหาเร่งด่วน คนที่ไม่ใช่เจ้าของงานโดยตรงก็พร้อมช่วย แม้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของตัวเอง
* Decision ผ่านการหารือ ไม่ใช่ mandate เดี่ยว ทุกเสียงมีน้ำหนัก และกระบวนการตัดสินใจอิงจากการรับรู้ร่วมกัน เช่น ทีม Startup ขนาดเล็กที่เวลาจะเปลี่ยนกลยุทธ์ จะคุยกันทั้งทีม แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของทุกคนโดยตรงก็ตาม เพราะมองว่าการตัดสินใจที่ดีเกิดจากฉันทามติ ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่งชี้นิ้ว
* ข้อสังเกต: หากไม่มีการจัดการบทบาทที่ดี อาจเกิด “เสียงดังแต่ไม่เดินหน้า” — ทุกคนออกความเห็น แต่ไม่มีใครกล้าขับเคลื่อนจริงจัง ตัวอย่างเช่นในทีมที่ประชุมแล้วมีหลายไอเดีย แต่ไม่มีใครกล้ารับไปทำ เพราะกลัวแบกรับความผิดหากล้มเหลว
====
👤 "วัฒนธรรมจานเดี่ยว” = โฟกัสที่คุณค่าเฉพาะบุคคล
* ทุกจานคือ curated experience = เหมือน OKR ส่วนบุคคล ที่ออกแบบเพื่อสะท้อนความเชี่ยวชาญและความถนัดของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น บริษัทเทคโนโลยีที่ให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์เลือกโปรเจกต์หรือฟีเจอร์ที่ถนัดที่สุดเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดออกมา โดยไม่จำเป็นต้องประสานงานกับหลายฝ่ายมากนัก
* Flow ชัด, Role ชัด, Boundaries ชัด = เหมาะกับองค์กรที่ต้องการขับเคลื่อนเร็วและต้องการ accountability สูง เช่น บริษัทสายการผลิตหรือสายวิศวกรรมที่แบ่งบทบาทงานละเอียดชัดเจน เช่น วิศวกรออกแบบ, วิศวกรตรวจสอบ, และวิศวกรควบคุมการผลิต ต่างคนต่างทำในส่วนของตนโดยไม่มีการทับซ้อน
* เชื่อมั่นในศักยภาพของแต่ละคน มากกว่าการพึ่งพาความเห็นจากกลุ่ม เช่น ทีมงานที่เน้นการทำงานแบบ remote-first ซึ่งสมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบงานของตัวเองโดยไม่ต้องประชุมร่วมกันบ่อย ทุกคนมีอิสระในการกำหนดวิธีทำงาน ตราบเท่าที่ผลงานส่งตรงเวลาและได้คุณภาพ
* ความท้าทายคือ เมื่อเกิดปัญหา คนในระบบนี้มักพยายามแก้คนเดียวก่อน เพราะไม่ชินกับการขอความช่วยเหลือ ทำให้บางครั้งสูญเสียเวลาและพลังงานไปโดยไม่จำเป็น เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานข้ามทีม หากไม่มีความคุ้นเคยในการขอ support จากผู้อื่น งานบางชิ้นอาจช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่หากพูดตั้งแต่ต้น อาจมีคนพร้อมช่วยเหลือทันที
====
💡 โต๊ะอาหารสะท้อนการบริหารอย่างไร?
📍 Airbnb: ทีม Product เคยจัด ritual “Dinner First” ทุกเดือน โดยไม่พูดเรื่องงานเลย — เพื่อสร้าง trust ก่อนเริ่ม sprint ใหม่ เพราะเชื่อว่าทีมที่กินข้าวด้วยกันได้ จะฟังกันได้ตอนมี conflict การลดกำแพงทางอารมณ์ช่วยให้ทีมเปิดใจพูดประเด็นยากๆ ได้มากขึ้น
[อ้างอิง: “How to build business relationships” -
https://professional.dce.harvard.edu/blog/how-to-build-business-relationships
]
📍 Apple: โต๊ะประชุมที่ Jony Ive ออกแบบเป็นแบบ Round Table เพื่อบังคับให้ discussion เป็น loop ไม่ใช่ hierarchy แบบโต๊ะจีน โต๊ะกลมนี้ไม่ได้เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ แต่เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ทำให้การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน
[อ้างอิง: Walter Isaacson, Steve Jobs, 2011]
📍 McKinsey: ใช้กรณีศึกษาโต๊ะอาหารใน onboarding ว่า “การกินร่วมกัน” เป็น simulation ที่ดีที่สุดในการเข้าใจพฤติกรรม cross-cultural เช่น ใครพูดก่อน ใครเงียบ ใครรอเชิญก่อนถึงจะกิน ฯลฯ
และสิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวชี้วัด soft skill ที่สำคัญในยุค multicultural workplace ใช้กรณีศึกษาโต๊ะอาหารใน onboarding ว่า “การกินร่วมกัน” เป็น simulation ที่ดีที่สุดในการเข้าใจพฤติกรรม cross-cultural เช่น ใครพูดก่อน ใครเงียบ ใครรอเชิญก่อนถึงจะกิน ฯลฯ และสิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวชี้วัด soft skill ที่สำคัญในยุค multicultural workplace
[อ้างอิง: McKinsey Quarterly, "Building Cross-Cultural Teams", 2020]
====
🎯 Suggestion สำหรับผู้นำ
🔹 สังเกตโต๊ะอาหารของทีมคุณ แล้ววิเคราะห์ว่า reflect วัฒนธรรมอะไรบ้าง ทั้งในแง่ของความกล้าแสดงออก การรอฟัง หรือการร่วมมือ เช่น ลองสังเกตว่าในมื้อกลางวันใครมักเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา ใครรอให้คนอื่นเริ่มก่อน หรือมีใครไม่ค่อยร่วมโต๊ะกับทีมเลยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการสื่อสารและบทบาทที่อาจปรากฏในเวทีงานจริงด้วย
🔹 ใช้ onboarding แบบ Meal Simulation เพื่อเข้าใจแรงเสียดทานข้ามวัฒนธรรม ผ่านการสังเกตการนั่งกินร่วมกัน เช่น ใคร serve ใคร, ใครชวนคุย, ใครไม่แตะจานกลางเลย ตัวอย่างคือ การจัดมื้อเที่ยงจำลองโดยให้สมาชิกในทีมจากหลากหลายเชื้อชาติหรือแผนกมานั่งร่วมโต๊ะ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเก็บ observation เพื่อนำมา feedback เรื่องทักษะระหว่างวัฒนธรรม
🔹 Re-design space ในองค์กรให้เปิดโอกาสการร่วมโต๊ะแบบ cross-team (cafeteria > cubicle lunch) เพื่อให้คนจากทีมต่าง ๆ มีโอกาสแลกเปลี่ยน และเกิด culture blend ที่ดี เช่น จัดโต๊ะอาหารให้ไม่มีที่ประจำ หรือจัด “Random Lunch Table” ทุกสัปดาห์ให้คนต่างฝ่ายนั่งร่วมกันโดยไม่ได้เลือกเอง เสริมสร้างโอกาสเชื่อมโยงที่นอกเหนือจากโครงสร้างสายงาน
🔹 เวลาออกแบบกิจกรรม OD อย่าลืมว่า “โต๊ะอาหารคือสนาม soft skill ที่ดีที่สุด” มันคือเวทีฝึก EQ, การฟัง, การพูด และการบริหารความสัมพันธ์โดยไม่ต้องใช้ PowerPoint เช่น ลองออกแบบกิจกรรม lunch-based team learning เช่น “silent lunch” ที่ฝึกการสังเกตภาษากาย หรือ “one dish one story” ให้สมาชิกแต่ละคนนำอาหารจานโปรดมาแชร์พร้อมเล่าเรื่องเบื้องหลัง เชื่อมโยงรากวัฒนธรรมกับการทำงานร่วมกัน
====
💬 “ถ้าองค์กรคุณคือร้านอาหาร...จะออกแบบยังไงให้คนอยากกลับมากินอีก?” “หรือคุณแค่ตั้งโต๊ะ แล้วบอกให้ทุกคนกินในจานของตัวเอง?”
📌 ดังนั้น โต๊ะอาหารไม่เคยเป็นแค่ที่วางจาน แต่คือที่ตั้งค่านิยมโดยไม่รู้ตัว และเป็นสนามซ้อมวัฒนธรรมของทีมที่ทรงพลังที่สุดในชีวิตประจำวัน
ในโลกที่ความต่างเป็นของแน่ แต่ความเข้าใจเป็นของขาด…ใครที่เข้าใจว่า “รสชาติ” อยู่ที่มากกว่าสิ่งในจาน — คนนั้นจะนำทีมในโลกอนาคตได้ดีกว่า
เพราะ ‘Empathy’ ไม่ได้เริ่มจาก Slide…แต่มักเริ่มจาก “ช้อนแรก” ที่ยื่นให้กัน
#วันละเรื่องสองเรื่อง #CulturalFramework
#EmpathyInDesign #LeadershipByLunch
#OrganizationalTable
#BeyondEtiquette
วัฒนธรรมองค์กร
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย