10 ก.ค. เวลา 04:57 • การศึกษา

ความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเลขานุการอธิบดี

-------------
    พ.ศ. 2529 อาจารย์พะนอม แก้วกำเนิด ย้ายมาเป็นอธิบดีกรมสามัญศึกษา แทน ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ผมและพิชิต ฤทธิ์จรูญ( ปัจจุบันเป็น รศ.ดร.) ได้รับทาบทามมาเป็นเลขานุการส่วนตัวท่านอธิบดีคนใหม่
นับเป็นประสบการณ์ใหม่ของเราสองคน แต่ก็พร้อมจะร่วมกันทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โชคดีมากที่ท่านอธืบดีเป็นผู้ใหญ่ใจดีและอบอุ่น  เวลาเราทำอะไรผิดพลาดคำน้อยท่านก็ไม่เคยตำหนิ มีแต่รอยยิ้ม มองเป็นเรื่องขำๆ และสอนงานให้เราอย่างผู้ใหญ่ใจดี
งานหลักของเราคือพยายาทกรองงานกรองหนังสือที่นำเสนอเข้ามาเพื่อให้ท่านสามารถตัดสินใจสั่งการได้อย่างสบายใจและเกิดประโยชน์สูงสุด ประสานงาน ประสานคน ติดตามงานที่ท่านสั่ง ดูแลรับแขกที่เข้ามาติดต่อและติดตามท่านไปงานต่างๆตามที่ท่านกำหนด
ทุกเช้าท่านจะให้เรามาบริหารเวลากัน แต่ละคนมีสมุดคนละเล่ม มาวางแผนว่าวันนี้จะทำอะไรกันบ้าง จดเอาไว้ ตอนเย็นก็มาตรวจดูว่าทำแล้วเสร็จไปกี่เรื่อง ยังค้างเรื่องใดบ้าง จะทำต่อวันต่อไปหรือจะยุติ เราทำกันเช่นนี้ทุกวัน จนผมติดเป็นนิสัยมีสมุดเล็กๆพกติดตัวตลอดมา
งานที่ท่านให้ความสำคัญที่สุดคือการกำหนดนโยบาย แผน มาตรการ โครงการ/งานขับเคลื่อนการพัฒนคุณภาพการศึกษาของกรม ท่านบอกว่าท่านไปอยู่ที่ไหนก็จะใช้การวางแผน การเขียนแผนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้บรรลุผลสำเร็จ เพราะการวางแผนคือหัวใจของการพัฒนางาน ด้วยเหตุนี้ในสมัยที่ท่านเป็นอธิบดีจึงกำหนดให้ทุกโรงเรียนมีฝ่ายแผนงานของโรงเรียนเกิดขึ้นๆ
หากท่านว่างจากงานประจำเมื่อไรจะเรียกผมหรือพิชิต ผลัดกันเข้ามาช่วยท่านเขียนนโยบายและแผน มาตรการ โครงการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยตนเอง เวลาไปงานต่างจังหวัดท่านก็ชอบขอตัวไม่ไปงานเลี้ยงต้อนรับใดๆ แต่จะปิดห้องพักเพื่เขียนแผนกับเรา ท่านจะพูดแล้วให้เราจดบันทึกแล้วทบทวนจนพอใจแล้วสั่งให้พิมพ์ เราทึ่งในความเก่ง เฉียบคม มองภาพการพัฒนาการศึกษาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ท่านจะเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหาจากข้อมูลที่ท่านศึกษาสำรวจอย่างรอบด้าน แล้วมาคิดแผนงาน โครงการ การขับเคลื่อน การติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบครบวงจร  เรารู้สึกภูมิใจมากที่มีโอกาสได้ทำงานกับท่านที่ทุ่มเททำงานเพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง
ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเขาคัดเลือกนักเรียนที่สอบได้ที่ 1ที่2 ของจังหวัดให้ทุนมาเรียนครูที่โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา(นึกถึงโครงการคุรุทายาท ในยุคต่อมา ที่เกิดขึ้นไม่กี่ปีก็ล้มเลิก) ท่านได้ทุนของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพื่อนร่วมรุ่นของท่านที่มาเป็นผู้บริหารในกระทรวงและสร้างคุณประโยชน์แก่วงการศึกษามีมากมาย เช่น ท่านบรรจง ชูสกุลชาติ ท่านสมชัย วุฒิปรีชา ดร.กมล ทองธรรมชาติ เป็นต้น เพื่อนที่เป็นผู้บริหารโรงเรียนมีทุกภาค เช่น ผอ.ชื่น ศรีสวัสดิ์  ผอ.นิรัตน์ วิภาวิน ผอ.มนัส กาละดี เป็นต้น ทำให้ผมพลอยคุ้นเคยกับท่านไปด้วย เมื่อจบจากฝึกหัดครูบ้านสมเด็จฯแต่ละคนก็เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น บางคนก็ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา
ท่านบอกว่าตอนรับราชการใหม่ๆไปเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนฝึกหัดครูสงขลา และอุบลราชธานี ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ ท่านคงมองเห็นแววผู้บริหารจึงสั่งให้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่บุกเบิกโรงเรียนฝึกหัดครูเพชรบุรีจนเจริญก้าวหน้า จึงถูกเรียกให้มาเป็นผู้บริหารในกระทรวง ไต่ขึ้นมาตามลำดับจนมาถึงทุกวันนี้
ประเด็นสำคัญที่ท่านอยากเล่าให้ฟังคือ ผู้บริหารที่เก่งๆในสมัยก่อนเขาจะคัดเลือกคนที่มีแววเก่งและดีมาทำงานที่เหมาะสม แล้วคอยสอนงานเป็นพี่เลี้ยงจนแข็งแกร่ง แล้วสร้างผู้บริหารรุ่นต่อๆไปแบบนี้ โดยไม่มีการสอบ และวัฒนธรรมแบบนี้สืบทอดมาที่กรมสามัญศึกษาของเราตลอดมา
เช่น การคัดเลือกคนมาอบรมเตรียมผู้บริหาร วัดไร่ขิง โดยไม่มีการสอบ แล้วจะให้ผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาเป็นครูใหญ่การอบรม มาเป็นพี่เลี้ยงสอนงาน คอยติดตามดู จากรุ่นสู่รุ่น ผู้บริหารเหล่านี้จึงได้รับการพัฒนาให้เติบโตตามลำดับ เคารพในรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่กระโดดข้ามหัวกัน
ต่อมาเราก็แต่งตั้งผู้บริหารที่มีบารมีเป็นที่เคารพนับถือมาเป็นผู้ตรวจราชการกรมสามัญศึกษา ประจำเขตการศึกษา เป็นการภายใน เพื่อคอยดูแลผู้บริหารและโรงเรียนในพื้นที่ เหมือนเป็นผู้แทนกรม เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมนี้ให้ยั่งยืนต่อไป
ขอเล่าเรื่องทำแผนต่อ พอท่านทำแผนโครงการเสร็จท่านบอกว่าจะนำขับเคลื่อนเอง เราเคยถามท่านว่า "ท่านจะลงนำเองเลยหรือ?" ท่านก็บอกว่า "ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก" ท่านใช้คำว่า "มิดจีหรี่" และผู้บริหารที่เห็นปัญหาแล้วไม่คิดแก้ท่านก็เรียกว่า "อุดตันครบวงจร"
แล้วท่านก็ให้ผมกับพิชิตทำเอกสาร ทำแผ่นใส จัดประชุมชี้แจง บรรยายให้ผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องทราบเพื่อนำไปดำเนินการ ท่านเป์นนักพูดนักบรรยายที่เก่งมาก  สนุก ฟังเข้าใจง่าย มีมุขตลก และเล่านิทานสอดแทรก เรียกเสียงฮาครืนทั้งห้องประชุม ตรึงผู้ฟังให้ติดใจไม่รู้เบื่อ  ผมจะขอตามไปฟังไปช่วยท่านแทบทุกครั้ง และจดบันทึกนิทาน มุขตลกที่ท่านเล่าได้มากมาย จนสามารถนำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ "จี้ใจได้แง่คิด" สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ตีพิมพ์จำหน่ายถึง 3 ครั้ง(2538) ต่อมาผมก็เขียน "จี้ใจได้สาระ"(2548) ตีพิมพ์เพิ่มอีกเล่ม
โครงการที่สำคัญที่สุดที่ท่านเขียนและะพยายามผลักดันจนผ่านมติ ครม.ได้สำเร็จเป็นโครงการแรกของกระทรวงคือ "โครงการขยายโอกาสทางการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น" เราเรียกย่อๆจนคุ้นปากว่า "ค.อมต.สศ." โครงการนี้มีหลายมาตรการ เช่น ทำหลักสูตรแบบกึ่งระบบ( เรียนครึ่งวันกลับไปทำงานครึ่งวัน)  รณรงค์แนะแนว จัดหน่วยเรียน  จัดที่พักให้นักเรียน ทำโรงเรียนนำร่อง จังหวัดนำร่อง(ศรีสะเกษ) เป็นต้น โครงการนี้บรรลุผลตามเป้าหมาย เกิดผลดีตามมาหลายอย่าง
งานเลขานุการอธิบดีของเรามีอะไรที่ตื่นเต้น ให้แก้ปัญหาตลอด เนื่องจากกรมสามัญศึกษาเป็นกรมใหญ่ดูแลโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ จึงมีผู้เข้ามาติดต่อเข้ามาประสานงานขอพบท่านอธิบดีเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโน้นเรื่องนี้กันมากมาย
เราเป็นเลขาฯหน้าห้องจึงต้องมีสติใช้ความสุภาพนุ่มนวล อ่อนน้อมถ่อมตนและจริงใจในดูแล ต้อนรับ อำนวยความสะดวก โดยดำเนินการตามที่ท่านอธิบดีมอบหมาย และพยามช่วยเหลือให้คำแนะนำในบางเรื่องที่พอทำได้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร เพื่อผ่อนเบาภาระให้ท่านอธิบดี บ่อยครั้งจะมีนักการเมืองเข้ามาให้ช่วยด้วยปัญหาและท่าทีที่ต่างกัน
ที่ผมประทับใจที่สุดคือ วันหนึ่งท่านชวน หลีกภ้ย ตอนนั้นท่านเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ท่านเดินเข้ามาคนเดียว ด้วยท่าทีที่สุภาพอย่างมาก ท่านขอพบท่านอธิบดี
ผมก็นำท่านพาเดินเข้าไป ท่านยกมือไหว้อย่างไม่ถือตัว บอกเรื่องที่มาวันนี้ว่า มีคนที่สนิทขอร้องมาให้ช่วยฝากเด็กเข้าเรียนคนหนึ่ง ท่านรู้ดีว่ากรมเขามีกฏกติกาอยู่ ท่านเองก็ไม่ต้องการทำลายกฏกติกาของกรม  แต่ท่านก็ต้องทำหน้าที่ สส. เขาให้ช่วยก็ต้องรับมา แต่ไม่ได้รับปากกับเขาหรอกนะว่าจะช่วยได้  ก็ขอให้ท่านอธิบดีทำหน้าที่ของท่านไป ไม่ต้องลำบากใจอะไร  แล้วท่านก็ลากลับ
ผมเดินไปส่งท่านถึงหน้าลิฟท์ ท่านบอกส่งแค่นี้ก็พอ  เป็นอะไรที่ผมประทับใจและจดจำท่านมิมีวันลืม
หลังจากนั้นท่านอธิบดีก็ให้ผมร่างหนังสือส่วนตัวถึงผู้บริหารโรงเรียนนั้น ระบุข้อความตามที่ท่านชวนบอก แล้วส่งให้โรงเรียนไป โดยไม่ได้ติดตามถามข่าวว่าช่วยได้หรือไม่ได้ และท่านชวนก็ไม่เคยติดตามถามถึงอีกเลย
พ.ศ.2531 ท่านอธิบดีพะนอมถูกย้ายไปเป็นอธิบดีกรมวิชาการ และ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์มาเป็นอธิบดีกรมสามัญศึกษาแทน  ก่อนไปท่านเรียกเราสองคนไปหา ท่านยิ้มและบอกเราว่า  ไม่ต้องตกใจเสียใจอะไร นี่คือวิถีทางของราชการ มันก็เป็นเช่นนี้
แล้วหันมาถามเราด้วยความห่วงใยว่า พวกเรามีประสบการณ์มากพอแล้ว อยากออกไปเป็นผู้บริหารไหม จะได้ช่วยสนับสนุนให้ เราก็เรียนท่านไปด้วยใจที่ตรงกันว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมาท่านได้ให้ความรู้ประสบการณ์มากมายที่เราไม่เคยมีเพียงพอมากแล้ว ได้เห็นภาพใหญ่ภาพย่อยของการทำงานระดับกระทรวง ระดับกรม กอง และสถานศึกษา นับเป็นโอกาสดีในชีวิตอย่างที่สุดแล้ว
ต่อไปนี้เราจะขอใช้ความรู้และประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับ ก้าวเดินต่อไปในหน้าที่การงานประจำของเรา และเจริญเติบโตด้วยตัวของเราเองครับ แล้วเราก็กราบท่าน น้ำหูน้ำตาพาลจะไหล ท่านก็ให้ศีลให้พรเรา
นี่เป็นบันทึกความทรงจำที่ประทับใจของผมเมื่อ 38 ปีที่แล้ว หากลืมเลือนในส่วนใดไปบ้างหรือพาดพิงท่านผู้ใด ก็ขออภัยนะครับ
                    ธเนศ ขำเกิด
                      10 กค.68
ขอบคุณภาพจากกลูเกิล เรียงลำดับคือ ท่านพะนอม ท่านบรรจง ท่านสมชัย ดร.ก่อ ดร.เอกวิทย์ และดร.โกวิท
โฆษณา