10 ก.ค. เวลา 07:25 • ประวัติศาสตร์
โรงเจเข่งซิ่วตั๊ว อาจารย์โหพัฒน์

เปิดประตูกาลเวลาผ่าน "โรงเจเข่งซิ่งตั๊ว" ท่าเรือ

☆ แสงสีทองของแดดยามเช้าสาดส่องเข้าไปยังโรงเจเข่งซิ่วตั๊วท่าเรือ หรือที่ชาวบ้านเรียกสั้นๆ ว่า “โรงเจท่าเรือ” อันเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวตำบลท่าเรือ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และสงบร่มเย็น
หากเราหันหน้าเข้าหาโรงเจฯ ซ้ายมือถัดออกไปอีกแค่ 100 เมตรคือแม่น้ำแม่กลอง ลำน้ำที่เกิดจากแม่น้ำแควใหญ่ ซึ่งมีต้นน้ำจากทิวเขาถนนธงชัย ในเขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำแควน้อย ซึ่งมีต้นกำเนิดที่สามสบบริเวณที่ลำน้ำสามสายมาบรรจบกัน ได้แก่ บีคลี่ ซองกาเลีย และรันตี กลายเป็นแควน้อยที่ไหลไปสมทบกับแควใหญ่จนกลายเป็นแม่น้ำแม่กลองที่ปากแพรกเมืองกาญจน์
ไม่ว่าแม่น้ำ สถานที่ หรือผู้คนล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันแทบทั้งสิ้น มีต้นกำเนิด มีที่มาที่รอคอยให้คนรุ่นหลังได้ย้อนกลับไปเหลียวดู
บนเนื้อที่หนึ่งไร่กว่าๆ ของโรงเจฯ ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีวิหารเรือมังกรที่สร้างเสร็จได้ไม่นาน เพิ่งทำพิธีอัญเชิญสรีระอังคารของท่านอาจารย์โหพัฒ ผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านมาเก็บรักษาไว้
ท่านอาจารย์โหพัฒมีพื้นเพเดิมเป็นชาวบ้านบ้านวังขนาย ตำบลวังขนาย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี มีนามเดิมว่า ชุ้นหยี เซี่ยงฉิน เมื่ออายุได้ 11 ขวบ ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดถาวรวราราม (เค่งซิ่วหยี่) เพื่อศึกษาวิชาและร่ำเรียนหนังสือเขียนอ่านจนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดถาวรวราราม ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับฉายาว่า “โหพัฒ”
หลังอุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดถาวรวรารามเรื่อยมา เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและวิชาตามหลักพุทธศาสนาแบบมหายาน หลังจากนั้นท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ วัดที่เมืองกาญจน์ และวัดที่ยะลาในระยะเวลาสั้นๆ ต่อมา ปี พ.ศ. 2493 ท่านได้เดินทางกลับมาที่จังหวัดกาญจนบุรีอีกครั้ง โดยมาอยู่และปรับปรุงโรงเจฯ จนเจริญรุ่งเรือง
คุณธรรมของท่านที่เป็นที่จดจำเลื่อมใสศรัทธาคือ ท่านช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนป่วยไข้ด้วยสมุนไพรบ้าง น้ำมนต์บ้างจนหายดีแทบทุกราย นอกจากนี้ยังเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง สั่งสอนชาวบ้านให้อยู่ในศีลในธรรม
แต่ต่อมาท่านได้มรณภาพลงนับรวมสิริอายุเพียง 46 ปี คณะศิษย์ที่โรงเจฯ ได้มีการเก็บศพของท่านไว้ในท่านั่งพนมมือตามแบบที่นิยมกันในพุทธศาสนาแบบมหายาน เพื่อรอกำหนดฌาปนกิจในอีก 3 ปีข้างหน้าเพื่อให้สรีระมีอายุ 50 ปี ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น แต่เมื่อได้ทำพิธีเปิดโลงออกมา ปรากฏว่าร่างของท่านไม่เน่าเปื่อย มองดูเหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ ชาวบ้านและลูกศิษย์จึงได้นำองค์ท่านมาทำการลงรักปิดทอง และทำพิธีอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน ณ โรงเจฯ แห่งนี้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของสาธุชนสืบไปจนถึงปัจจุบัน
หากโรงเจฯ แห่งนี้เป็นคน อาจจะเรียกได้ว่าเป็นชายชราที่เฝ้ามองกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่านมาถึง 95 ปีแล้ว จากที่ดินรกร้างห้อมล้อมไปด้วยไร่ยาสูบที่นางเล็ก ใจกุศล บริจาคเพื่อสร้างโรงเจฯ นานวันมีผู้คนมาจับจองพื้นที่มากเข้าก็กลายเป็นซอยโรงเจ ก่อนเปลี่ยนเป็นซอยใจกุศล และเปลี่ยนเป็นถนนแสง-ชูโต ซอย 23 อย่างในปัจจุบัน
คุณป๋อง-เอกชัย โอภากุลวงษ์ วัย 55 ปี เกิดที่นี่และมีโรงเจเป็นสถานที่วิ่งเล่นในวัยเด็ก แถมยังควบตำแหน่งสมาชิกเทศบาล และผู้ตรวจตราโรงเจเข่งซิ่วตั๊วท่าเรือเล่าว่า คนที่นี่มีเชื้อสายจีนแคะ ปู่และย่าของเขามาจากเมืองจีน โรงเจฯ แห่งนี้จึงผูกโยงความสามัคคีของคนจีนที่จากบ้านมาห่างไกลให้เป็นหนึ่งเดียว
สำหรับคุณป๋องแล้ว โรงเจเข่งซิ่วตั๊วท่าเรือ เท่ากับ “ความร่มเย็นเป็นสุข” เพราะไม่ว่าใครมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็จะมาบนบาน หรือมาขอพร ลำบากยากไร้ พี่น้องชาวจีนก็จะรวมตัวกันแบ่งปัน ทำโรงทานแจกจ่ายข้าวของในเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ กินเจ วันคล้ายวันมรณภาพของท่านอาจารย์โหพัฒ คอยสนับสนุนทุนการศึกษาให้ลูกหลานของคนในชุมชน
หากจะว่าไปแล้ว การสร้างวิหารเรือมังกร น่าจะสะท้อนคำว่าสายใยแห่งศรัทธาได้ดีที่สุด เพราะเป็นอาคารศิลปะจีนผสมเวียดนาม เพื่อสะท้อนถึงท่านอาจารย์โหพัฒที่เป็นพระญวน อนัมนิกาย สร้างขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองต้องประสบกับภาวะโควิด-19 แต่กลับสามารถระดมทุนได้เป็นจำนวนมาก และสร้างเสร็จภายในเวลาปีครึ่ง ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของชาวบ้าน
อีกส่วนมาจากพระสองรูปที่เกิดและเติบโตที่ท่าเรือ คือ เจ้าคุณหลวงปู่อู๋ วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวน สะพานขาว) และหลวงพ่อก๊วง เจ้าอาวาสวัดชัยภูมิการาม (วัดญวนตลาดเก่า เยาวราช) ที่ให้การสนับสนุนโรงเจฯ แห่งนี้มาตลอด
ย้อนกลับไปในอดีตใกล้กับโรงเจฯ มีตลาดขนาดใหญ่ริมน้ำที่เรียกว่า “ตลาดท่าเรือ” ที่เป็นแหล่งรวมเอาผู้คนหลากหลายตำบลไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นตำบลพระแท่น ตำบลท่ามะกา ตำบลแสนตอ ตำบลตะคล้ำเอน ก็ล้วนแต่มาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดแห่งนี้
นึกภาพผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่อยู่ในตลาดริมน้ำแห่งนี้แล้ว ที่นี่คงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งข้าวปลาอาหาร ผู้คนพบปะพูดคุยกัน ใครจะแต่งงาน บวชลูกก็ได้รู้กันเพราะต้องมาซื้อขนมที่นี่ทั้งขนมเปี๊ยะ ขนมจันอับที่เป็นที่ขึ้นชื่อ หรือแม้แต่ก๋วยเตี๋ยว จะให้อร่อยก็ต้องเป็น “เส้นท่าเรือ” อย่างที่คุณป๋องว่า
“ตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงทุกวันนี้ผมยังอาศัยอยู่บ้านหลังเดิม ตรงหัวมุมใกล้ตลาดท่าเรือ พ่อผมขายนาฬิกา เห็นความเจริญรุ่งเรืองของตลาดเมื่อ 40 กว่าปีก่อนที่เจ้าของตลาดสร้างเป็นโรงเรือนมีหลังคาคลุมเป็นโดม 2 หลัง แล้วในตรอกซอกซอยยาวไปอีก รวมๆ แล้วน่าจะมีเป็น 200 ร้าน มีตั้งแต่หอมกระเทียม ไปถึงถ้วยถังกะละมังหม้อ คนแถวนี้ก็จะยึดอาชีพค้าขายกัน อย่างพี่สาวของพ่อก็ขายข้าวแกงในตลาด แม่ของผมก็ทอดหมูไปฝากขายที่ร้านนี้ ผมทำหน้าที่ไปช่วยขาย
พูดได้ว่า คนท่าเรือถ้าขยันทำมาหากินไม่มีอด ตลาดท่าเรือทำให้เศรษฐกิจที่นี่ดี คิดดูว่าทุกธนาคารมาตั้งที่นี่ มีร้านทองในตำบลหลายร้าน เมื่อชาวบ้านค้าขายมีเงินมีทอง ก็นำเงินที่ได้มาทำบุญ โรงเจฯ สมัยก่อนแจกทาน 6,000 ถุง แล้วยังมีจับรางวัลรถมอเตอร์ไซค์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ อีกด้วย สมัยก่อนคนชอบมาขอพรให้ค้าขายดี ให้เจริญในหน้าที่การงาน พอได้แล้วก็มาแก้บนที่นี่ด้วยการฉายหนังกลางแปลงที่โรงเจฯ บางปีฉายติดกันแทบทุกเดือน ชาวบ้านที่นี่ก็มีรายได้ ขายก๋วยเตี๋ยว ขายน้ำ”
แม้วันนี้ตลาดท่าเรือที่ว่าไม่ได้เชื่อมโยงผู้คนนอกพื้นที่อย่างในอดีต ด้วยตำบลใกล้เคียงต่างมีตลาดของตัวเอง พ่อค้าแม่ขายจึงลดลง แต่ยังหลงเหลือให้เห็นเป็นตลาดเช้าที่ขายอาหารสดผักผลไม้ตั้งแต่ตี 4 จนถึง 7 โมงเช้า
อย่างไรก็ตาม 2 ปีมานี้ การเกิดขึ้นของ “ตลาดวัฒนธรรมโรงเจฯ” ที่ทอดยาวจากปากซอยถนนแสง-ชูโต 23 ไปจนถึงเกือบท่าน้ำ กลับเรียกชีวิตชีวาของผู้คนที่นี่ให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง จากเรือนไม้ที่เคยประสบอัคคีภัยเมื่อกว่า 40 ปีก่อนที่ปัจจุบันกลายเป็นตึกแถวเรียงรายทิ้งร่องรอยในอดีตไว้ มาวันนี้กลายเป็นหน้าร้านขายของกินให้ผู้คนได้พักผ่อนหย่อนใจ ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่บ่าย 3 ไปจนถึง 4 ทุ่มเลยทีเดียว
“แม้ตลาดวัฒนธรรมโรงเจฯ ไม่ได้คึกคักเท่าตลาดท่าเรือสมัยก่อน แต่ชาวบ้านที่นี่กลับรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับนอกจากรายได้จากการค้าขายแล้ว คือ เหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตในสมัยก่อน ได้พบปะพูดคุยกัน โรงเจฯ ที่เคยเงียบเหงาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง” คุณป๋องว่า
ฟ้ามืด ในคืนเดือนหงาย พระจันทร์ที่มองจากโรงเจเข่งซิ่วตั๊วท่าเรือกลมโตนวลงาม จนอยากหยิบกล้องถ่ายรูปมาเก็บความทรงจำนี้ไว้ ดูเหมือนสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน บางครั้งสายใยที่ว่านั้นก็พันกันยุ่งเหยิง ต้องค่อยๆ แกะจึงจะมองเห็น หรือบางครั้งสายใยที่ว่าก็ค่อยๆ จางหายไป จนคนรุ่นหลังๆ มองไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงอีกต่อไป
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการสื่อวัฒนธรรมชุมชน "12 พื้นที่วิจัย 44 ย่านวัฒนธรรมชุมชน" ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง "การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน" โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ทุนทางวัฒนธรรมชุมชน = ทุนชาติ
#ย่านนี้ดีจัง
#12พื้นที่วิจัย44ย่านวัฒนธรรมชุมชน
#ย่านชุมชนเก่าซอยโรงเจ #กาญจนบุรี #ท่ามะกา
ผู้เขียน : อาจารย์เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ สาขาวิชาบรอดคาสติงและสื่อสตรีมมิง คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
โฆษณา