11 ก.ค. เวลา 09:47 • ประวัติศาสตร์

บทเรียนจากความสำเร็จและล้มเหลวของสองผู้นำในยุคจีนโบราณ

หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “เซี่ยงอวี่ (Xiang Yu)“ หรือภายหลังคือ “ฌ้อปาอ๋อง” กับ “หลิวปัง (Liu Bang)” หรือภายหลังคือ “จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ (Emperor Gaozu of Han)“ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น
1
ทั้งสองท่านมีความแตกต่างกันชัดเจน ทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว และเป็นบทเรียนสอนใจมาได้ถึงปัจจุบัน
เราลองมาดูกันครับ
”เซียงอวี่ (Xiang Yu)“ ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในแคว้นฉู่ โดยครอบครัวของเขาสืบเชื้อสายเป็นขุนพลผู้มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ปู่ของเขาคือแม่ทัพ “เซียงหยาน (Xiang Yan)” หนึ่งในผู้นำกองทัพคนสุดท้ายที่ต่อสู้กับแคว้นฉิน
2
เซียงอวี่ (Xiang Yu)
ด้วยเกียรติศักดิ์นี้ ส่งผลให้สกุลเซียงเป็นที่รักของประชาชนในแคว้นฉู่ และยังได้รับความเคารพจากคนทั่วแผ่นดินจีนแม้ภายหลังราชวงศ์ฉินจะรวมชาติได้สำเร็จ
อาของเขา “เซียงเหลียง (Xiang Liang)” เป็นผู้นำตระกูลในขณะนั้น ได้รับเซียงอวี่มาเลี้ยงดูเสมือนบุตรแท้ๆ และฝึกฝนเขาอย่างเข้มงวดเพื่อให้เป็นผู้นำและนักรบที่เก่งกล้า ผู้ซึ่งจะล้างแค้นให้แก่ครอบครัวและกอบกู้อาณาจักรที่สูญเสียไป
โดยธรรมชาติแล้ว เซียงอวี่มีพรสวรรค์ในการรบ อีกทั้งการฝึกฝนและการต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจากการหลบหนีแคว้นฉิน ทำให้เซียงอวี่แกร่งกล้าอย่างหาตัวจับได้ยาก
เมื่อราชวงศ์ฉินเริ่มอ่อนแอ อาของเขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อกบฏล้มราชวงศ์ฉิน และเซียงอวี่ก็ได้รับประสบการณ์และความเก่งกล้าเพิ่มขึ้นจากสนามรบ ยิ่งขัดเกลาความสามารถในการนำทัพของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เซียงอวี่มีรูปร่างสง่างาม และมีพละกำลังมหาศาลผิดมนุษย์
จากชัยชนะในหลายสมรภูมิ เขาได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในฐานะขุนศึกผู้เกรียงไกรและนักวางกลยุทธ์ทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ เขากลายเป็นพลังหลักที่ทำให้ราชวงศ์ฉินซึ่งเคยยิ่งใหญ่ ล่มสลายลงในที่สุด
ในฐานะแม่ทัพ ผลงานของเซียงอวี่เรียกได้ว่าแทบไร้ที่ติ
แม้เผชิญกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบ เขาก็มีสัญชาตญาณด้านกลยุทธ์และความกล้าหาญพอจะพลิกสถานการณ์ให้เป็นชัยชนะที่น่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น การที่เขาทำลายพันธมิตรของศัตรูคู่แข่งอย่าง “หลิวปัง (Liu Bang)” ซึ่งมีกำลังพลกว่า 500,000 คน โดยเซียงอวี่มีกำลังทหารเพียง 30,000 นาย และยังเป็นทหารที่หิวโหยจากการเดินทัพไกลหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งนับเป็นชัยชนะที่หาคนเทียบไม่ได้ในยุคนั้น
หลิวปัง (Liu Bang)
สิ่งใดที่เขาตั้งใจจะทำในสนามรบ เขาก็สามารถทำได้ทั้งหมด และทำได้อย่างง่ายดาย
อาจจะเรียกได้ว่าง่ายดายจนเกินไปด้วย
มาทางด้านหลิวปัง หลิวปังเกิดในครอบครัวชาวนาในเขตเพ่ย์ ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของแคว้นฉู่ อาณาจักรของเซียงอวี่
ในช่วงวัยหนุ่ม หลิวปังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการใช้ชีวิตแบบไม่เป็นโล้เป็นพาย เขาเป็นคนเจ้าชู้ ไม่ทำงานทำการ และเกาะพ่อแม่รวมถึงพี่ชายกินไปวันๆ
ภายหลัง หลิวปังได้รับตำแหน่งเล็กๆ เป็นขุนนางระดับล่างในอำเภอบ้านเกิด ไม่มีสิ่งใดในช่วงชีวิตแรกเริ่มของเขาที่บ่งบอกว่าเขาจะก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับเซียงอวี่ได้เลย และอันที่จริง ที่หลิวปังตัดสินใจลุกขึ้นต่อต้านราชวงศ์ฉินก็เพราะตนเองปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลว ไม่สามารถพาตัวนักโทษไปยังค่ายแรงงานในเมืองหลวงได้ตามคำสั่ง
และแม้ภายหลังหลิวปังจะมีบทบาทสำคัญในการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน ทว่าผลงานของเขาก็ยังห่างไกลจากความยิ่งใหญ่ของเซียงอวี่มาก
1
ในฐานะแม่ทัพ เขาถือว่ามีความสามารถพอตัว แต่ก็เพียงในระดับกลางเท่านั้น และตลอดชีวิตในกองทัพ หลิวปังก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
แม้แต่บ้านเกิดของเขาเอง เขาก็ยังถูกลูกน้องคนหนึ่งหักหลังและยึดไปจากเขา ทำให้หลิวปังต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
ต่อมา ในช่วงสงครามระหว่างแคว้นฉู่กับฮั่น เขาก็ต้องพ่ายแพ้เกือบทุกครั้งที่สู้กับเซียงอวี่
เรียกได้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย
นอกจากนี้ เขายังไม่มีความกล้าหาญเทียบเท่าเซียงอวี่
ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนชัดเจนก็คือ เมื่อเขากำลังหลบหนีจากการพ่ายแพ้หลังจากต่อสู้กับเซียงอวี่ หลิวปังถึงขั้นพยายามผลักลูกของตนเองออกจากรถม้า เพื่อเพิ่มโอกาสในการหลบหนีให้ตัวเองหนีรอดไปอย่างปลอดภัย
1
เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเทียบเท่าเซียงอวี่เลย
แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่หลิวปังเหนือกว่าเซียงอวี่อย่างชัดเจน
หลิวปังรู้จักพึ่งพาคนอื่นที่ฉลาดกว่า กล้าหาญกว่า และมีความสามารถมากกว่าตนเอง
1
แม้หลิวปังจะไม่ได้เก่งกาจโดดเด่น แต่เขากลับมีพรสวรรค์พิเศษในการดึงดูดบุคคลชั้นยอดที่มีความสามารถให้มาอยู่กับตน และทำให้พวกเขาจงรักภักดีอย่างมั่นคง
1
หลิวปังมีแนวทางที่แตกต่างจากเซียงอวี่โดยสิ้นเชิง เขายินดีที่จะกระจายอำนาจ แบ่งอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างอิสระ ปล่อยให้ลูกน้องตัดสินใจด้วยตนเอง
ในทางกลับกัน เซียงอวี่คืออัจฉริยะผู้ควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง
แม้ว่าเซียงอวี่จะมีนายพลและกุนซือผู้มีชื่อเสียงหลายคน แต่เขาไม่เคยเชื่อใจใครจริงจังนอกจากตัวเขาเอง ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเซียงอวี่เป็นแม่ทัพผู้เปี่ยมด้วยอัจฉริยภาพ และเกือบทุกครั้ง เขาก็คาดการณ์เหตุการณ์ในสนามรบได้อย่างแม่นยำ
ในช่วงแรก วิธีนี้ส่งผลดีอย่างยิ่ง เขาลงบัญชาการในสนามรบด้วยตัวเองจากแนวหน้า ได้รับชัยชนะหลายครั้ง แต่เมื่อสงครามยืดเยื้อออกไป แนวรบขยายตัว เซียงอวี่กลับกลายเป็นผู้โดดเดี่ยว ไม่เชื่อใจใครนอกจากตนเอง
1
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาขาดคนเก่งในกองทัพ อันที่จริง เขามีบุคคลที่มีความสามารถรอบๆ ตัวมากมาย แต่เพราะทัศนคติแบบ “วีรบุรุษ” หรือ “บินเดี่ยว” ลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายึดมั่น ทำให้เขาไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้เฉิดฉายหรือช่วยแบ่งเบาภาระ
1
ความแตกต่างของทัศนคติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาระหว่างหลิวปังกับเซียงอวี่ แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชายคนหนึ่งนามว่า “หานซิ่น” (Han Xin)“
หานซิ่น” (Han Xin)
หานซิ่นเคยอยู่กับเซียงอวี่มาหลายปี และเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ แต่กลับถูกเซียงอวี่เลี้ยงไว้เป็นเพียงองครักษ์ ไม่มีบทบาทด้านยุทธศาสตร์หรืองานสำคัญเลย
หานซิ่นได้พยายามที่จะเสนอตัวให้คำปรึกษาหลายครั้ง แต่ก็ถูกเซียงอวี่เพิกเฉย
สุดท้ายด้วยความผิดหวัง หานซิ่นจึงละทิ้งเขาไปหาหลิวปัง
ด้านหลิวปังนั้น ตรงกันข้ามกับเซียงอวี่โดยสิ้นเชิง
เขามองเห็นแววของหานซิ่นตั้งแต่ต้น และแต่งตั้งให้หานซิ่นเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ ทั้งที่ตอนนั้นหานซิ่นยังไม่เคยแสดงผลงานในสนามรบเลยด้วยซ้ำ
หานซิ่นจึงตอบแทนความไว้วางใจของหลิวปังอย่างเต็มที่ด้วยการนำทัพฮั่นไปสู่ชัยชนะในศึกมากมาย และหนึ่งในชัยชนะที่โด่งดัง ก็คือยุทธการที่เขานำทัพทหารใหม่ซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย และยังตั้งทัพข้างแม่น้ำโดยไร้ทางหนี แต่กลับสามารถเอาชนะศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าได้อย่างเหลือเชื่อ
1
อาจกล่าวได้ว่า หานซิ่นคือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้หลิวปังสามารถชนะสงครามได้ในที่สุด ทั้งที่ในทางการทหาร เขาเสียเปรียบเซียงอวี่อย่างมาก
1
ความเชื่อมั่นในตัวเองและความสามารถของเซียงอวี่ กลับกลายเป็นสิ่งที่นำพาตัวเขาไปสู่ความพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด
1
แม้ในช่วงท้ายของสงคราม เซียงอวี่ยังคงรักษาสถิติชัยชนะเหนือหลิวปังอย่างต่อเนื่อง แต่ชัยชนะเหล่านี้กลับเป็นเพียงชัยชนะแบบไร้ผล คล้ายไฟไหม้ชัยชนะของตัวเอง เนื่องจากสถานการณ์รอบด้านเริ่มไม่เอื้ออำนวย
กองทัพฮั่นเริ่มแผ่ขยายและห้อมล้อมเซียงอวี่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหานซิ่น ซึ่งได้รับอนุญาตจากหลิวปังให้ตีดินแดนภาคตะวันออกอย่างอิสระ และได้เข้ายึดดินแดนพันธมิตรของแคว้นฉู่ได้หลายแห่ง ทำให้แคว้นฉู่ของเซียงอวี่ถูกรุกคืบจนเริ่มถูกล้อมจากทุกทิศ แนวรบก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ
แต่เพราะเซียงอวี่ไม่เชื่อใจใครนอกจากตัวเอง เขาจึงต้องวิ่งไปวิ่งมา คอยแก้ปัญหาในแต่ละแนวรบด้วยตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์อย่างมาก
แม้ว่ากองทัพของเซียงอวี่จะมีคุณภาพสูงและประสบการณ์มากกว่า แต่พวกเขากลับเคยชินกับการถูกควบคุมแบบรวมศูนย์มากเกินไป เมื่อไม่มีเซียงอวี่บัญชาการด้วยตนเอง กองทัพของเซียงอวี่ก็ขาดทิศทางและไร้ประสิทธิภาพ
1
ในบางครั้งที่เซียงอวี่ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปทำศึกแทน ก็กลับพ่ายแพ้ย่อยยับ ทำให้เซียงอวี่ยิ่งสูญเสียความไว้วางใจในผู้อื่น และหันกลับมาควบคุมทุกอย่างด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น
1
จนในที่สุด ในศึกใหญ่ที่ “ไกเซี่ย (Gaixia)“ กองทัพของเซียงอวี่ที่เหนื่อยล้าได้ถูกล้อมไว้ทุกทิศ และนี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เซียงอวี่พ่ายแพ้กองทัพฮั่น
1
เมื่อภาพลักษณ์ของเขาในฐานะ “ผู้ไร้เทียมทาน” ถูกทำลาย กองทัพส่วนใหญ่ของเซียงอวี่ก็ละทิ้งเขาไป ไม่มีใครอยู่ด้วย
และแล้ว ขุนศึกผู้กล้าหาญ ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างหาใครเทียบไม่ได้ ก็ถึงจุดจบของตนเอง
เรื่องราวของเซียงอวี่และหลิวปัง เป็นบทเรียนสำคัญว่าด้วยเรื่องของ “ภาวะผู้นำ“
1
ทั้งสองคนเป็นผู้นำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เซียงอวี่คือผู้นำที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง ผู้รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไรในทุกสถานการณ์ และพร้อมออกรบด้วยตนเองอย่างห้าวหาญจากแนวหน้า
1
ส่วนหลิวปัง เป็นผู้นำที่มีพรสวรรค์ปานกลาง แต่รู้จักขอบเขตของตนเอง และเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าของการพึ่งพาผู้อื่นและ การให้อำนาจผู้คนรอบข้าง มุ่งหวังที่จะทำในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
1
จากการไตร่ตรองเรื่องราวนี้ ผมได้ข้อคิดหลัก 3 ประการเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
1.ระวังความหยิ่งทะนงและทิฐิในความสำเร็จ
1
ความสำเร็จมักนำมาซึ่งความมั่นใจ และบางครั้ง มันทำให้เรามั่นใจมากเกินไปจนคิดว่าเราคือเหตุผลหลักของความสำเร็จนั้น
1
เมื่อเราตัดสินใจในอนาคตโดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าเราจะถูกเสมอเหมือนเดิม นั่นคือความเสี่ยง เพราะถ้าเราผิดเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างอาจพังทลาย
1
โลกนั้นเต็มไปด้วยตัวแปรมากมาย บางอย่างเราควบคุมได้ บางอย่างคนอื่นควบคุม และบางอย่าง ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมได้เลย
1
การฝึกตนให้ถ่อมตนเสมอ พร้อมมองย้อนกลับไปเรียนรู้จากทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี คือสิ่งที่ช่วยให้เราพัฒนา ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และการหลอกตัวเองว่าเราเป็นเช่นนั้น คือสิ่งที่อันตรายที่สุด
2.มายาคติของ “วีรบุรุษบินเดี่ยว” เป็นหลุมพรางที่อันตราย
คนเราชอบยกย่อง “วีรบุรุษ” มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เราชอบคิดว่าบุคคลหนึ่งคนคือหัวใจของชัยชนะหรือความสำเร็จ
แต่ความจริงคือ แนวทางแบบนั้นไม่ยั่งยืน
เมื่อใดที่เรากลายเป็นศูนย์กลางของทุกการตัดสินใจ เมื่อใดที่ทีมต้องรอเราเพียงคนเดียวในการคิด ตัดสินใจ หรือเดินหน้า
เรากลายเป็น “คอขวด” แห่งระบบโดยไม่รู้ตัว และความสำเร็จของทั้งทีมก็ต้องผูกติดอยู่กับภาระของเราคนเดียว
1
ในโลกแห่งความจริง ไม่มีใครรู้ทุกคำตอบ ไม่มีใครสร้างสิ่งยิ่งใหญ่เพียงลำพัง ถ้าหากคนเดียวสามารถทำได้ทุกอย่าง ก็คงไม่จำเป็นต้องมี “ทีม” “องค์กร” หรือ “ประเทศ” ใดๆ เลย
มีผู้คนที่มีพรสวรรค์มากมายในโลกนี้ และหน้าที่ของผู้นำ ก็คือการค้นหา สนับสนุน และเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโต แม้สิ่งนั้นจะทำให้เราต้องถอยออกจากตำแหน่งวีรบุรุษก็ตาม
กระบวนการสร้างทีมที่แข็งแกร่งนั้นสำคัญพอๆ กับชัยชนะเอง และบางครั้งก็อาจสำคัญยิ่งกว่า
3. ศิลปะแห่งการมองเห็นศักยภาพของผู้อื่น
เซียงอวี่อาจจะพลาดสิ่งสำคัญที่สุดเพราะความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป เขามองไม่เห็นศักยภาพในตัวคนรอบข้าง
ยามใดที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า แสงของดวงดาวอื่นย่อมถูกกลบจนมองไม่เห็น
เราอาจพูดได้ว่าหลิวปังโชคดีที่ได้คนเก่งๆ คนดีๆ มาร่วมงาน
แต่ในความจริง เซียงอวี่ก็มีคนเก่งอยู่รอบตัวเช่นกัน เพียงแต่น่าเศร้าที่หลายคนเหล่านั้นกลับฉายแสงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาจากเซียงอวี่ไปแล้ว
1
การเปิดโอกาสให้คนเติบโตในแบบของตนเอง ต้องใช้ความอดทนและใจที่เปิดกว้าง ต้องพร้อมจะเชื่อว่าวิธีการของเราไม่ใช่ทางเดียวที่ถูกต้องเสมอไป
การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่การสั่งและต้องการให้คนทำตาม แต่คือการมองเห็นว่า คนผู้นั้นสามารถกลายเป็นอะไรได้ และให้เขาได้เติบโตเป็นสิ่งนั้นโดยได้รับการสนับสนุนแบบที่เขาต้องการ
แน่นอนว่ามันไม่ง่าย โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนเก่งและมีพลังในการนำผู้คนจากแนวหน้า แต่ต้องไม่ลืมข้อหนึ่งว่า
“ทีมที่แข็งแกร่ง” มักเอาชนะ “คนเก่งคนเดียว” ได้เสมอ และเหนือกว่านั้นในระยะยาว
เรื่องราวของเซียงอวี่และหลิวปัง คือบทเรียนสอนว่า ภาวะผู้นำไม่ได้อยู่ที่ความเก่งกาจหรือความสมบูรณ์แบบของตัวคุณเอง แต่อยู่ที่การดึงศักยภาพของคนรอบข้างออกมาได้มากแค่ไหน
จุดจบอันยิ่งใหญ่แต่แสนเศร้าของเซียงอวี่ คือเครื่องเตือนใจสำหรับผู้นำทุกคนว่า จงระวังความหยิ่งทะนง ระวังความคิดว่า “ฉันคือคนที่เก่งที่สุด” เป็นคนเก่งเพียงลำพัง และจงหมั่นมองหาและปลุกปั้นศักยภาพของผู้อื่นให้ได้ฉายแสง
เซียงอวี่เป็นคนกล้าหาญและชนะศึกมากมาย แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ล้มเหลว
จงปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ และสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง
หากทำไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียงแค่ไหน หรือเก่งเพียงใด
มันก็ไร้ความหมายในระยะยาว
1
โฆษณา