3 ส.ค. เวลา 03:00 • การศึกษา

Gen Z เสียใจ ใบปริญญาที่ได้มาไม่คุ้มค่า โลกการทำงานเปลี่ยนไปแล้ว

หากพูดถึงประเด็นการเรียนจบสูง เพื่อให้ได้งานดีๆ ทำ หากเป็นผู้ใหญ่ในยุคก่อนๆ พวกเขาอาจยังคงเชื่อมั่นว่า “การเรียนมหาวิทยาลัย” คือบันไดสู่อนาคตที่มั่นคง แต่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามกับ “สูตรความสำเร็จ” แบบเดิม โดยเฉพาะเมื่อค่าตอบแทนจากการทำงานหลังเรียนจบใหม่ กลับไม่สอดคล้องกับต้นทุน (ค่าเทอม) ที่ต้องจ่ายไปหลายปี
ผลสำรวจจาก Indeed พบว่า 51% ของบัณฑิต Gen Z ในสหรัฐฯ มองว่าปริญญาที่ได้มานั้น “ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป” เทียบกับ 41% ของคนรุ่นมิลเลนเนียล(Gen Y) และเพียง 20% ของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์
ขณะที่มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดบอกว่า โดยภาพรวมแล้วปริญญาที่ได้รับมานั้น “ไม่คุ้มค่า” ต่อเส้นทางอาชีพการงาน และเกือบ 7 ใน 10 เชื่อว่าตนสามารถทำงานปัจจุบันได้โดยไม่ต้องมีวุฒิการศึกษา
..นี่คือแนวโน้มที่สะท้อนความไม่พอใจต่อระบบการศึกษารูปแบบเดิม และกำลังเขย่าแนวคิดเรื่อง “วุฒิการศึกษาไม่ได้วัดคุณค่าของคนเสมอไป” อย่างชัดเจน
📌 เมื่อการเรียนจบสูง ไม่เท่ากับ การมีอนาคตอาชีพที่ดีอีกต่อไป
ศาสตราจารย์ฌอน ลียงส์ (Sean Lyons) จากมหาวิทยาลัยเกวลฟ์ (University of Guelph) อธิบายว่า ตลาดแรงงานในยุคหลังอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปมากจนปริญญาไม่สามารถการันตีงานดีๆ ได้อีกต่อไป หลายอาชีพต้องการทักษะเฉพาะทางมากขึ้น ขณะที่ปริญญาทั่วไปกลับไม่ตอบโจทย์ตลาดงานเท่าเดิม
“ในอดีต แค่มีใบปริญญาก็พอจะได้ตำแหน่งผู้จัดการระดับกลาง แต่ตอนนี้ งานที่มั่นคงและรายได้ดีต้องการทักษะเฉพาะที่แคบลงเรื่อยๆ เหมือนร้อยด้ายเข้ารูเข็ม” ลียงส์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด
นอกจากนี้ การแข่งขันทางการศึกษายังทำให้ปริญญาตรีกลายเป็นแค่ "เงื่อนไขเบื้องต้น" ไม่ใช่ใบเบิกทางอาชีพเหมือนอย่างในอดีต เพราะทุกวันนี้ 40% ของชาวอเมริกันมีปริญญาตรี และจำนวนผู้มีวุฒิสูงกว่าก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ลียงส์ ชี้ว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเรียนปริญญาตรีในสหรัฐฯ ปัจจุบันทะลุ 38,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายในเวลา 20 ปี และในบางสาขา เช่น จิตวิทยา ปรัชญา หรือวรรณกรรมอังกฤษ อาจต้องทำงานนานกว่า 20 ปีกว่าจะคืนทุนจากค่าเล่าเรียน ตามข้อมูลของ Education Data Initiative
นอกจากความคุ้มค่าในตลาดแรงงานที่ไม่ชัดเจน ปัญหาหนี้การศึกษาก็กลายเป็นอีกประเด็นสำคัญในหมู่บัณฑิตยุคใหม่ จากผลสำรวจของรายงานข้างต้นระบุว่า 52% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีหนี้การศึกษาหลังเรียนจบ โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลที่มีถึง 58% ขณะเดียวกัน 38% บอกว่าหนี้เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตในอาชีพของตน มากกว่าที่ปริญญาจะช่วยได้เสียอีก
📌 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าปริญญาไม่คุ้มค่า
1. เศรษฐกิจและตลาดแรงงานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการในยุคหลังอุตสาหกรรม เป็นทักษะเฉพาะทางด้านเทคนิค ซึ่งแตกต่างจากที่คนรุ่นก่อนเคยใช้ในการประสบความสำเร็จ”
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปรวดเร็ว ได้ลดความจำเป็นของแรงงานทักษะต่ำ (AI ทำแทนได้) ขณะที่งานที่มีรายได้สูงและมั่นคง กลับต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างมาก แม้มหาวิทยาลัยจะพยายามปรับตัวด้วยการเปิดหลักสูตรเฉพาะทางมากขึ้น แต่ลียงส์เตือนว่าการหางานดีๆ ในสายงานเฉพาะทางนั้น “ยากมาก” ซึ่งเป็นความท้าทายที่คนรุ่นก่อนหน้าไม่เคยเจอมาก่อน
2. ความคาดหวังของบัณฑิตเปลี่ยนไป
ในอดีต คนที่เรียนจบปริญญาถือเป็นของหายาก จึงทำให้ผู้มีวุฒิการศึกษาสูงได้เปรียบในตลาดงาน แต่ปัจจุบัน 40% ของชาวอเมริกันมีปริญญาตรี และจำนวนผู้ที่จบการศึกษาระดับสูงกว่านั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการแข่งขันทางการศึกษา หรือที่เรียกว่า “สงครามปริญญา” ส่งผลให้ปริญญาตรีกลายเป็น “สิ่งจำเป็น แต่ไม่เพียงพอ” ต่อความสำเร็จในสายอาชีพอีกต่อไป ยอดหนี้การศึกษาทั่วประเทศพุ่งทะลุเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์
1
ผลสำรวจยังพบว่า 52% ของผู้ตอบแบบสอบถามจบการศึกษามาพร้อมหนี้การศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด (58%) และผู้ที่มีหนี้การศึกษา มีแนวโน้มจะรู้สึกว่าปริญญา “ไม่คุ้มค่า” มากกว่าผู้ที่ไม่มีหนี้ (41% เทียบกับ 31%)
นอกจากนี้ 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า หนี้การศึกษาส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางอาชีพของตน มากกว่าที่ปริญญาช่วยส่งเสริมเสียอีก
📌 AI ยิ่งทำให้ปริญญาดูไร้ความหมาย
อีกหนึ่งแรงสั่นสะเทือนสำคัญคือการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าทักษะที่เรียนมายิ่งไม่ตรงกับความต้องการของตลาด โดย 30% ของบัณฑิตหลายๆ รุ่น ที่ตอบแบบสอบถามบอกว่า AI ทำให้สิ่งที่เรียนมานั้น “หมดความเกี่ยวข้อง” และในกลุ่ม Gen Z ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นถึง 45%
1
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจาก Indeed มองว่า AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นแรงผลักให้คนต้องพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ไคล์ เอ็ม.เค. (Kyle M.K.) ผู้เชี่ยวชาญด้านแนวโน้มอาชีพจาก Indeed มองว่า AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นแรงผลักให้คนต้องพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เขาย้ำว่า “AI ไม่ได้ลบล้างการศึกษา แต่มันให้รางวัลกับคนที่ไม่หยุดเรียนรู้”
ข้อมูลจาก สภาวิจัยสังคมศาสตร์ (Social Science Research Council) ยังพบว่า มีเยาวชนอเมริกันราว 4.3 ล้านคน ที่จัดอยู่ในกลุ่ม NEETs (Not in Education, Employment or Training) หรือไม่เรียน ไม่ทำงาน และไม่ฝึกทักษะใดๆ เลย
📌 มหาวิทยาลัยอาจไม่ใช่คำตอบเดียวอีกต่อไป
จากแนวโน้มเหล่านี้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าจำนวนผู้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจะลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากทั้งจำนวนเด็กมัธยมที่ลดลง และทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป
1
ไคล์ เอ็ม.เค. (Kyle M.K.) ยังระบุว่า ความเป็นจริงเหล่านี้กำลังผลักดันให้มหาวิทยาลัยและนายจ้างหันมาให้ความสำคัญกับ “ทักษะจริง” แทน “การเรียนจบจากสถาบันชื่อดัง”
“52% ของประกาศงานใน Indeed ไม่มีการระบุว่าต้องจบการศึกษาในระดับใด” เขากล่าว
ขณะที่ คริสติน ครูซเวอร์การา (Christine Cruzvergara) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การศึกษาของแพลตฟอร์ม แฮนด์เชก (Handshake) ให้ความเห็นว่า “การโฟกัสแค่เรื่องการได้งานแรก เป็นมุมมองที่แคบเกินไป เพราะจริงๆ แล้ว การเรียนมหาวิทยาลัย มีบทบาทสำคัญต่อโอกาสเติบโตในอาชีพ เปิดโลกทัศน์ และช่วยพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำด้วย”
โฆษณา