15 ก.ค. เวลา 08:01 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดกับพวกเรา ในแผนที่โลกของเขา ในศตวรรษที่19???(4.5)

มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria)
ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น
คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดีย ต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยา ออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ชาวทราวิเทียน หรือ ชาวทัสยุ ถือเป็นอารยันอิหร่านหรือชาวอาร์มินิดส์ ถูกท่านวาลมิกิที่เป็นอารยันนอร์ดิกแต่งให้เป็นพวกยักษ์จัณฑาล(ทศกัณฐ์)
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า
“มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal) นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้)
ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า “เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา”
รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ท่านฤาษีวาลมิกิ ลัทธิพราหมณ์ผู้นับถือในองค์พระนารายณ์ มีชีวิตอยู่ในช่วงราวๆ400BC น่าจะเป็นบุคคลแรกที่รจนาเรื่องรามายณะ ก่อนจะมีท่านอื่นๆในสำนักต่อๆกันมา ความยาวนานของเรื่องนี้ประมาณ100ปี?!!
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
สิ่งหนึ่ง ที่ผู้เขียนสังเกตเห็นการบลัฟและดิสเครดิตกันแน่ๆ ระหว่างศาสนาพราหม์-ฮินดู กับพระพุทธศาสนา ในเรื่องราวตำนานของฤาษีกปิละในบทความข่าวชิ้นนี้นั้น คือ การที่ท่านฤาษีกปิละนั้นท่านนับถือและสั่งสอนลัทธิสางขยะครับ แต่ว่ากลับเป็นผู้อนุญาติให้พระเจ้าโอกกาการาชและบรรดาเครือญาติของพระองค์นั้น ทรงสร้างกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นเมืองของพระพุทธศาสนาได้
ศาสนาใดบลัฟใครก่อนครับ?ผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นพวกพราหมณ์นั่นล่ะ ที่บลัฟและดิสเครดิตศาสนาพุทธของเราก่อน แล้วอย่างไรล่ะ มีกี่บลัฟ? ในเรื่องราวตำนานการก่อเกิดกรุงกบิลพัสดุ์ปลอมๆบทความชิ้นนี้ข้างต้น??
(1) พระเจ้าโอกกาการาช ปฐมกษัตริย์ของศากยวงศ์และกรุงกบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของแขวงสักกะ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น อาจจะไม่ทรงมีพระองค์อยู่จริงๆ มีแต่ในลำดับชั้นของวงศาคณาญาติล่างๆ ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงกำเนิดไม่กี่เพลาเท่านั้น
คือนับตั้งแต่พระเจ้าอัญชนะ ที่เป็นสมเด็จพระอัยกา(ปู่)ลงมา
(2) ฤาษีกปิละ ชอบบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์ทางเขตตอนเหนือของอินเดียใกล้ๆกับเชิงเขาหิมาลัยนั้น ผู้นิยมสั่งสอนลัทธิสางขยะของเหล่าพราหมณ์ แต่กลับแนะนำให้พระเจ้าโอกากาการาช และบรรดาเครือญาติที่เสด็จมาด้วยกันขณะนั้น ให้ทรงก่อสร้างกรุงอันจะกลายเป็นเมืองหลวงที่ก่อกำเนิดของพุทธศาสนาในเวลาต่อมา
(3) ฤาษีกปิละมีฤทธิ์เดช อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ที่เหมือนเป็นตัวแทนของศาสนาพราหมณ์ เหนือกว่าท้าวสักกะและพระราชโอรสต่างๆ ที่เหมือนดั่งเป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา อาจจะเป็นเพราะท้าวสักกะ และเหล่าพระราชโอรสของพระองค์นั้น ลงมากลายเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ไม่มีฤทธาอะไรแล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่าตอนนี้พระองค์จะมีศักดิ์ฐานะอยู่ในวรรณะกษัตริย์อันน่าภูมิใจก็ตามแต่ครับ
(4) แน่นอนว่า การที่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็น สายเลือดบริสุทธิ์ แบบชาวอารยันเช่นดั่งพวกเขา แม้ว่าจะทรงเป็น" มองโกลสายเลือดบริสุทธิ์ "ก็ตาม ในเวบไซต์หรือเวบเพจลวงๆที่หลอกสายตาคนอ่านต่างๆทั้งหลาย เพราะนั่นมันคือ กลุ่มพวกชาวอัลไปน์ ไดนาริค และอาร์เมนอยด์ (เป็นเปอร์เซีย หรือ เอเชียกลาง) ต่างหากครับ
ที่อพยพลงมาจากบริเวณทะเลดำ(อารยัน-เมดิเตอร์เรเนียน)และทะเลสาบแคสเปียน (อารยันเปอร์เซีย หรืออารยันอาร์เมนอยด์)อารยันพวกนี้ น่าจะอพยพลงมาจากทะเลสาบแคสเปียนนะครับ
พวกเขาเป็นมองโกลลอยด์เหมือนกันกับเราครับ แต่นั่นมันคือ ชาวอิหร่านที่อพยพลงมาที่บริเวณประเทศอินเดียในปัจจุบัน ก่อนหน้าชาวอารยัน นอร์ดิก จะอพยพตามมาเล็กน้อย
พวกหลังได้ขับไล่พวกแรกที่มาก่อน ให้ลงไปอยู่ส่วนล่างๆของประเทศอินเดีย จนกลายเป็นชาวทราวิฑ
และปัจจุบันได้กลายเป็นพวกจัณฑาลของอินเดียไปซะแล้ว เป็นชาวอารยันกึ่งฝรั่งเหมือนกัน ทั้งๆที่มาก่อนด้วย นะ ไม่ใช่ชาวเอเชียตัวเล็กๆอย่างเราๆท่านๆ กลายเป็นพวกทาส ใช้แรงงานไป
ชาวนิโกรลอยด์ ที่ได้อพยพลงมาจากทวีปแอฟริกาและทางด้านทิศตะวันตกของอินเดีย ปัจจุบันได้กลายเป็นชาวมิลักขะ หรือ พวกนาค เมื่อพวกเขาได้สมรสกันกับชนพื้นเมืองในอินเดียที่อยู่อาศัยก่อน
ผู้เขียนคิดว่า คำว่า "สายเลือดมองโกลบริสุทธิ์"ในเวบไซต์ *เวบเพจต่างๆเหล่านั้น ในความเป็นจริง นั่นก็คือ ชาวอินเดียชนพื้นเมืองแต่ดั้งเดิม ทีมิได้แต่งงานสมรสกับพวกนิโกรลอยด์ ที่ได้อพยพมาจากแอฟริกาและฝั่งตะวันตกของอินเดีย จนมิได้กลายเป็น"พวกนาค"รึว่าพวก "มิลักขะ "ในเวลาต่อมา
แต่ว่าได้แต่งงานกันกับชาวพื้นเมืองด้วยกันเอง พวกนี้ล่ะครับ คือ "สายเลือดมองโกลบริสุทธิ์" ที่พราหมณ์-ฮินดูเค้ามองและบลัฟเราในเวบเพจนี้ อันเป็นบลัฟที่สี่ และ
(5) พระเจ้าวิทูรทภะ ผู้มีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ปลอมปนเข้ามาในวงศ์ศากยะ ก็ยังไม่มีใครทราบประวัติความเป็นมา ทั้งวันประสูติ วันเสด็จขึ้นครองราชย์แน่นอน รวมถึง
วันที่ทรงสวรรคตที่ชัดเจนนักในประวัติศาสตร์ อาจจะเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่สมมุติขึ้นมา เพื่อจะพยามเล่าถึงสาเหตุการล่มสลายและหายไปของกรุงกบิลพัสดุ์ ไปสู่การก่อตั้งราชวงศ์ใหม่และพระมหากษัตริย์องค์ใหม่
มันอาจจะคือ การบลัฟในลักษณะที่ว่า เครือพระญาติของพระพุทธองค์ทั้งหมดหายไปหรือล่มสลายไป เพราะความเชื่อและจารีตแบบพราหมณ์-ฮินดูที่สั่งสอนกันมานานครับ ในเรื่องของการแบ่งชนชั้นวรรณะนั่นเอง
ทั้งๆที่ความเชื่อของพระพุทธศาสนานั้น ก็ปฏิเสธและรังเกียจระบบวรรณะของพวกพราหมณ์มาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มมีศาสนาแล้ว และผู้เขียนก็พิจารณาว่า ด้วยพระบุญญาธิการและอิทธิ์ฤทธิ์เดชเดชานุภาพของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในขณะนั้นๆ จะทรงต่อกรกับดาบและอาวุธของพระเจ้าวิทูรทภะ ซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆพระองค์เดียวมิได้เชียวหรือ ??
หรืออย่างน้อยๆ การที่จะทรงทำให้พระเจ้าวิทูรทภะทรงใจอ่อน และยอมเปลี่ยนพระทัยได้???
เรื่องราวสมมุติตอนนี้ ผู้เขียนคิดว่า สาเหตุหลักๆน่าจะเป็นเพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงพบพระพักตร์ของพระเจ้าวิทูรฑภะเลยแม้แต่น้อยนิด และเมื่อไม่ได้พบ ก็ไม่มีเหตุการ์ณที่จะต้องประลองอาวุธหรือเหตุการ์ณที่พระองค์ทรงได้พยามโน้มน้าวพระทัยของพระเจ้าวิทูรทภะให้อ่อนลงและวางเฉยต่อการจะสังหารเหล่าพระญาติของพระองค์
(ซึ่งถ้าปรากฏว่ามันมีอยู่ใดๆ นั่นมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง)
พระพุทธองค์น่าจะทรงเสด็จออกมาจากอินเดียนานก่อนหน้าที่พระเจ้าวิทูรทภะและกองทัพจะมารุกรานกรุงกบิลพัสดุ์สักระยะแล้วนะครับ (ตามเวลาในหน้าประวัติศาสตร์ ก็คำนวณเอาครับ)นับแต่เวลาที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว คือหลังจากวันวิสาขาปูรณมีราวๆนั้น พระองค์มิได้ทรงหนีภัยนั้นแน่ครับ เพราะมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาลวงเรา
พระเจ้าวิทูรทภะ และการล้างเลือดศากยวงศ์และโกลิยะวงศ์นั้น มันจะอยู่จริงๆรึไม่ในประวัติพระพุทธศาสนา หรือว่าคือการบลัฟของพวกพราหมณ์ เกี่ยวกับสายเลือดอารยัน ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องจริง
แต่พระองค์ คือ( สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา )นั้นได้ออกจากบริเวณที่เรียกว่า อินเดีย ในปัจจุบัน เพื่อมาเผยแผ่พระศาสนาที่พระองค์เพิ่งจะตรัสรู้มา ไปยังดินแดนปริศนาแห่งหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ชนชาวอินเดียเอง ก็อาจจะยังไม่รู้รึว่าแน่ใจว่า ดินแดนปริศนาที่พระองค์เสด็จไปและไม่หวนกลับคืนนั้น มันคือสถานที่แห่งใดกันแน่?ในปัจจุบันนี้ ยกตัวอย่างเช่น เวบนี้
https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%91%E0%B8%A0%E0%B8%B0 กล่าวว่า เมื่อพระองค์ คือพระเจ้าวิทูรทภะนั้น ทรงทำลายล้างศากยวงศ์และโกลิยะวงศ์แล้วไซร้ อาณาจักรของพระองค์ที่ก่อตั้งขึ้นมาแทนนั้น กลับสูญสลายหายไปราวพริบตา ไปรวมกับอาณาจักรมคธซะเฉยๆงั้น ด้วยระยะเวลาเพียงไม่นานเอง ชื่อของอาณาจักรใหม่ของพระองค์ก็ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำไปว่าคืออะไร?ก็อันเนื่องมาจากสาเหตุที่ว่า พระองค์ได้ทรงเสด็จสวรรคตไปเสียก่อน ขณะยกทัพกลับจากกบิลพัสดุ์
สาเหตุการเสียชีวิตของพระองค์ ก็เพียงแต่ระบุว่า จมน้ำตายที่เมืองสาวัตถี ทั้งๆที่การสร้างอาณาจักรใหม่หรือราชวงศ์ใหม่ อันเกิดจากการที่ได้โค่นล้มอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างแขวงสักกะ และโคตรวงศ์ของพระบรมศาสดานั้น น่าจะก่อให้เกิดอาณาจักรใหม่หรือราชวงศ์ใหม่ ที่น่าจะมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่และยาวนานเพียงพอที่จะทำให้ชาวโลกกล่าวขานได้ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ทำไม
นี่กลับไม่มีเลย ซึ่งถือว่าแปลกมาก ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองที่สำคัญๆต่างๆของโลก ในห้วงเวลาต่างๆกัน ดังนี้ เช่น
1) จากอาณาจักรธีบส์ มาสู่ราชอาณาจักรมาซิโดเนีย ของอาณากรีก ในปีราวๆ802BC
2) จากราชวงศ์อาร์กีด เมื่อราวๆ309 BC มาสู่ราชวงศ์ทอเลมี เมื่อ 30 BC ในอียิปต์
3) จากราชวงศ์สุย ของจีน ในปีค.ศ.618 มาสู่ราชวงศ์ถัง ในปีค.ศ.619
ราชวงศ์สุย สิ้นสุดในหน้าประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างชัดเจน คือในค.ศ618 มาสู่ราชวงศ์ถังในปีถัดมา
4) จากกราชวงศ์รูลิด ในปีค.ศ. 1054 มาสู่ราชวงศ์รูลิคิด ในรัสเซีย
5) จากกรุงธนบุรี เป็นราชธานี เมื่อสิ้นสุดพ.ศ.2310(ค.ศ.1767) มาสู่กรุงเทพมหานคร ในปีพ.ศ.2325(ค.ศ.1782)
6) จากสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชที่ สาม ในปีค.ศ. 1782 มาสู่ พระเจ้านันทเสน ที่อาณาจักรลาว
7) จากราชวงศ์บูร์บงส์ ในปีค.ศ.1789 มาสู่การปฏิวัติฝรั่งเศษ
เราจะสามารถสังเกตได้ว่า ที่ยกตัวอย่างมานั้น มีการกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์โลกค่อนข้างชัดเจน และสมบูรณ์กว่า รายละเอียดมีมากกว่า การเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจการปกครอง จากราชวงศ์ศากยะและโกลิยะวงศ์ มาอยู่ในอำนาจของพระเจ้าวิทูรทะภพะ ทั้งๆที่กรุงกบิลพัสดุ์มีความสำคัญมากขนาดที่ว่า เป็นเมืองหลวงของพระพุทธเจ้าและพระเจ้าสุทโธธนะถึงเพียงนั้น
เหตุผลนั้นคืออย่างไร ?และทำไมจู่ๆ เมืองของพระเจ้าวิทูรทภะจึงสูญหายไปครับ ในช่วงเวลาที่ไม่นานเสียด้วย?
หลักฐานซากของเมืองล่ะ หายไปไหนแล้ว ?เมืองของพระองค์มีการปกครองเช่นไร?ผู้คนในเมืองมีวิถีชีวิต ใช้ชีวิต ดำเนินชีวิตกันอย่างไร มีปรากฏให้เห็นไหม? ในหนังสือประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน ยังน่าจะเป็นคำถามสำหรับการค้นหากันต่อไป
อีกสักตัวอย่างหนึ่งก็แล้วกันครับ จากเวบของฝั่งประชาชนกันบ้าง เวบนี้ครับ คือ เวบของพันธุ์ทิพย์
https://m.pantip.com/topic/42549036? วิเคราะห์การมีอยู่ของพระเจ้าวิทูรทภะ ได้ดังนี้ คือ
สมัยสิ้นสุดกรุงธนบุรี เปลี่ยนถ่ายมาสู่กรุงเทพมหานครเป็นราชธานี ในปีพ.ศ.2325
1) พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทราบจุดประสงค์ทางณานสมาธิแล้วของพระเจ้าวิทูรทภะแล้ว พระองค์ทรงเสด็จไปห้ามทัพอันจะเกิดขึ้นจริงๆกับวงศ์ศากยะวงศ์และโกลิยะวงศ์ของพระองค์ แต่ไปห้ามเพียงสามครั้ง ครั้งที่สี่ก็ไม่ทรงไปแล้ว ทรงปล่อยไปตามยถากรรมเอง เนื่องจากศากยวงศ์ของพระองค์ก็เคยทำบาปกรรมมาเช่นกัน คือการวางยาพิษลงในแม่น้ำในคราวหนึ่ง
ทำไมต้องเพียงสามครั้งครับ??ก็เนื่องจากในห้วงเวลาดังกล่าว มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง สาม จึงเป็นเเลขของไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ผู้แต่งที่เป็นพวก
พราหมณ์ฮินดู ก็คงจะพยามบลัฟศาสนาของเรา ดังนั้นเมื่อไล่ครั้งที่สี่ทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่ไป ศากยวงศ์และโกลิยะวงศ์ของพระศาสนาจึงต้องล่มสลายไป ด้วยประการฉะนี้ครับ
2) พระพุทธองค์ขณะนั้น มีพระชนมายุ80ชันษาแล้ว คือใกล้จะถึงทรงถึงดับขันธุ์ปรินิพพานแล้วในยามนั้น จึงไม่ได้สนใจสิ่งใด ความจริง นั้นมันไม่ใช่หรอกครับ เวลานั้นๆพระองค์ไม่ได้อยู่ที่อินเดียต่างหากล่ะ และก็คงจะไม่ได้มีพระชนมายุถึง80ชันษาหรอกขณะนั้นๆ อาจจะทรงกำลังวัยหนุ่ม หรืออยู่ในมัชณิมวัย และกำลังเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ที่ใดสักแห่งก็ได้ หลังจากพระองค์เพิ่งจะตรัสรู้ได้ไม่นาน
3) พระองค์ทรงปลอบพระทัยพระเจ้าปเสนธิโกศลว่า อันชาติตระกูลสูงนี่ นับกันที่"ฝ่ายบิดา"หาใช่ที่ฝ่ายมารดาแต่อย่างไรเลย เมื่อพระเจ้าปเสนธิโกศลทรงทราบความจริงเกี่ยวกับตัวพระราชโอรส คือ พระเจ้าวิทูรทภะ ทรงเตือนว่า พระองค์มิควรทรงมีพระอารมณ์พิโรธ รึผิดหวังเก็บงำในพระทัยเช่นนั้น และทรงอย่าสั่งทรงประหารพระเจ้าวิทูรทภะเลย
ประโยคปลอบโยนในลักษณะเช่นนี้ ก็บ่งบอกถึงความสำคัญของการนับถือบุรุษเพศเป็นใหญ่ในอินเดียเวลานั้น และยังเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของสายเลือดของวรรณะสูงด้วยครับว่ามีความสำคัญ(ตามที่ต้องการบลัฟกัน)
และมันเป็นความเชื่อในลัทธิพราหมณ์-ฮินดูด้วยครับ (คือเรื่องวรรณะ) ซึ่งตระกูลของพระองค์นั้น ปฏิเสธความเชื่อและแนวคำสอนของพราหมณ์มาโดยตลอด จะเห็นได้จากที่กรุงกบิลพัสดุ์ที่ปกครองในระบอบสามัคคีธรรมที่คล้ายๆกับประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน มันต่างจากเมืองส่วนมากในสมัยนั้น ที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ของแบบพราหมณ์ครับ
เราอย่าปล่อยให้อะไร มันดูน่าสงสารๆๆๆๆ เสียเกินจนผิดปกติวิถีปกติธรรมดานะครับ ผู้เขียนขอตักเตือนไว้ก่อน ระวังจะตกเป็นเหยื่อของผู้ที่หวังใช้ผลประโยชน์จากเรื่องของความสงสารล่ะ อย่างเช่น ในเรื่องราวของแมรี่ แม้กดาลีน มีหลายพวกเหมือนกันที่ใช้ความสงสาร เพื่อผลประโยชน์ และบางสิ่งบางอย่าง ถ้าไปทำให้เกิดความรู้สึกสงสารมากแก่พวกเขาเกินไป
ก็อาจจะทะลักเขยิบมากลายเป็น "ความรู้สึกเกลียดชัง"ฝังแน่นอยู่ในจิตใจก็ได้ สงครามในยุโรปยุคกลางในอดีตก็เกิดขึ้นแบบนี้ล่ะครับ ใช้ความสงสารก่อนเพื่อเป็นเหยื่อล่อ แล้วคลุมดักด้วยความรู้สึกเกลียดชังกัน เข้ามาตาม ถ้าเขาใช้แต่ความรู้สึกสงสารอย่างเดียว สงครามต่างๆก็จะเกิดขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ
ก็ในเมื่อทุกอย่างจะต้องกลายเป็นอาวุธที่จะมาประหัตประหารกันในที่สุด แต่ความสงสารนั้น มันใช้เป็นอาวุธสำหรับพวกเขาไม่ได้เลย ใช้ไม่ได้เลย ความเกลียดชัง หมั่นไส้กันนั่นล่ะ จะใช้ได้ดีที่สุด ถ้าหากว่าเรากำลังจะรบรากันนะครับ
มองดูตอนนี้และพิจารณาสิครับว่า ? พวกไหนช่วยก่อให้เกิดความรู้สึกสองความรู้สึกนี้แก่พวกเราชาวไทยในเวลานี้มากกว่ากัน การจะขอพื้นที่โชว์ของพวกเขา โดยไม่รู้จักเวล่ำ เวลา ไม่ว่าจะดึกดื่น หรือเช้าตรู่ขนาดไหน ก็ขอให้มีพื้นที่โชว์บ้างสักนิดสักหน่อยเอาใจนาย
ผลลัพธิ์ที่ได้กลับมานี่ นายสงสารหรือว่านายเกลียด ?รึเกลียดด้วย สงสารไปด้วย เหยียดหยันดูถูกไปด้วย? แล้วนายที่เป็นฝรั่งนี่เกลียดพวกเดียวรึเปล่าครับ รึว่าเกลียดแม้แต่กระทั่งไม่ใช่กับชาวฝรั่ง ? ลองตรองดูนะครับ มันไม่ใช่เกราะป้องกันอะไรเลย เพราะมันเป็นคนละศาสนา แค่อยากมีพื้นที่ส่วนตัวโชว์กันเฉยๆ
แล้วเวบสโนว์ เวบท่าหน้าปิ้ลิ ที่ได้อยากได้กะปิถ้วยมากในปีนี้ อยากมีพื้นที่จัดแข่งกับไอ้ริวแตดมากในปีก่อน บอกข่าวจนผู้เขียนต้องขนหอบเอาเสื้อแข่งลิเวอร์พูลไปโยนทิ้งแม่น้ำ (ที่รายงานข่าวว่า ลิเวอร์พูลสกปรก นั่นล่ะครับ) ผลเป็นอย่างไรล่ะตอนนี้ที่ชายแดนไทย ?
ซากเมืองเก่าของกรุงกบิลพัสดุ์ที่อินเดียในปัจจุบัน
ต่อไป จะกล่าวถึงเรื่องฤาษีวาลมิกิ
ผู้เขียนสังเกตและพิจารณาว่า ท่านฤาษีวาลมิกิที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์และมีชีวิตอยู่ในช่วงเมื่อ400BCมาแล้ว ซึ่งในเวลาดังกล่าว ศาสนาพุทธน่าจะเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ในประวัติที่บอกว่า ท่านมีอายุยาวนานถึง100ปี
คือมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ปีพ.ศ.100-พ.ศ.200 ตัวเลขนี้น่าจะเป็นเรื่องแต่งครับ การแต่งรามายณะนี้ อาจจะใช้ผู้แต่งหลายคน มิใช่เพียงคนเดียว
เรื่องยาวขนาดที่เรียกว่า มหากาพย์อย่างนั้น แถมเป็นเรื่องราวการรบพุ่งกันของชนต่างเผ่ากันอันกินระยะเวลายาวนาน น่าจะใช้ผู้แต่งกันหลายคน ** กอรปกับอายุของคนหนึ่งคนนั้นมันก็ไม่น่าจะยืนยาวเป็นร้อยปีขนาดนั้นหรอกครับ แถมยังมีผลงานเดียวอีกในชีวิต มันจะเป็นไปได้อย่างไรหรือ?
ศาสนาพุทธจะต้องเกิดขึ้นมาแล้วแน่ๆครับ ในยามนั้น เพราะ สังเกตว่าพวกพราหมณ์นั้นเป็นผู้แต่ง ที่แน่นอนคือท่านวาลมิกิแล้วท่านหนึ่งในบรรดาหลายผู้แต่งนี้ ท่านเป็นฤาษีที่นับถือลัทธิไวศณพครับ ซึ่งบูชาและเคารพนับถือองค์พระนารายณ์
และถือกำเนิดขึ้นมาในอินเดียตอนเหนือ เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนาเลย ดังนั้น ผลงานเรื่องรามายณะนี้ ก็อาจคิดได้ว่า แต่งมาเพื่อจะจงใจบลัฟศาสนาพุทธก็ได้
นอกจากนี้ยังบลัฟกับพวกทัสยุ หรือ ชาวอารยันเปอร์เซียหรืออาร์มินิดสด์ ให้เป็นพวกผู้ร้าย คือ เหล่ายักษ์ ส่วนพวกเขาที่เป็นผู้แต่งอารยัน-นอร์ดิกฝรั่งนั้นฝ่ายพวกพระเอกครับ
* * ในเวบข้างต้นที่นำมาอ้างอิงนี้ เราจะพบรายนามของกลุ่มฤาษี เรียงลำดับกันมาตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งมาจนถึงปัจจุบัน ( คือถึงในยุคที่ศาสนาคริสต์ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วนั้น ) นับรวมกันได้ทั้งหมด คือ19ท่าน ที่อยู่ในฐานะนักเขียนและกลุ่มผลิตตำราเอกสารต่างๆ (ซึ่งรวมทั้งพวกพราหมณ์ด้วยนะครับ) ท่านฤาษีวาลมิกินี้ อยู่ในรายนามที่สอง มีชีวิตอยู่ในช่วงก่อนคริสต์ศักราช
คือก่อนที่พระเยซูจะทรงประสูติขึ้นมาราวๆเมื่อ400BC มีท่านฤาษีกปิละด้วย ผู้ก่อตั้งลัทธิสางขยะของพราหมณ์-ฮินดู ผู้เขียนคาดว่า ท่านนี่ล่ะ(ผู้อยู่ในรายชื่อที่ หก มีชีวิตอยู่ในราวๆเมื่อ6 BC ที่ผ่านมา)คือ
ผู้แต่งตำนานการเกิดของกรุงกบิลพัสดุ์ลวงๆ รวมถึงพระเจ้าโอกากาการราชและลำดับเครือญาติของศากยวงศ์และโกลิยะวงศ์ในลำดับต้นๆด้วย ซึ่งล้วนแล้วอาจจะไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
มีรายชื่อของท่านฤาษีเคาตมะ หรือ โคตมะด้วย อยู่ในลำดับที่สาม ชื่อของท่านบิดามารดา ก็คงจะตั้งขึ้นมาเพื่อล้อเลียนและบลัฟกับพระพุทธศาสนาของเรา ที่มีพระสมณโคดมเป็นพระศาสดา ท่านมีชีวิตอยู่ประมาณ เมื่อ500BC มีอยู่ในตำนานของพระอินทร์
และในเนื้อเรื่องรามายณะหรือรามเกียริต์ด้วย สงสัยว่าท่านน่าจะรู้จักกันดีกับท่านวาลมิกิ อาจจะเป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มนักเขียนและนักแต่งตำราด้วยกัน คือเกิดร่วมสมัยกัน
โฆษณา