Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Top Ranking
•
ติดตาม
12 ก.ค. เวลา 14:50 • การศึกษา
10 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้ เกี่ยวกับกฎหมายไทยที่บังคับใช้กับพระสงฆ์
ในสังคมไทยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักและมีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของผู้คน ภาพของพระสงฆ์ผู้ทรงศีลเป็นที่เคารพสักการะ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า นอกเหนือจากพระธรรมวินัยแล้ว พระสงฆ์ยังมีสถานะและต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองเป็นการเฉพาะอีกด้วย ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจและแตกต่างจากบุคคลทั่วไปในหลายมิติ บทความนี้จะนำเสนอ 10 เกร็ดความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในประเทศไทย ซึ่งหลายท่านอาจไม่เคยทราบมาก่อน
1. พระสงฆ์บางตำแหน่งมีสถานะเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมายอาญา
หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า พระสงฆ์ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ เช่น เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล ไปจนถึงสมเด็จพระสังฆราช รวมถึงไวยาวัจกร (ผู้จัดการกิจการของวัด) ถือเป็น "เจ้าพนักงาน" ตามความในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งหมายความว่าหากท่านเหล่านี้กระทำความผิดในตำแหน่งหน้าที่ เช่น ยักยอกทรัพย์สินของวัด จะต้องรับโทษหนักกว่าคนทั่วไป และในทางกลับกัน หากมีผู้ใดดูหมิ่นหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของท่าน ก็จะมีความผิดฐานดูหมิ่นหรือขัดขวางเจ้าพนักงานเช่นกัน
2. ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างบวช เมื่อมรณภาพจะตกเป็นของวัด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินใดๆ ที่พระภิกษุได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อท่านถึงแก่มรณภาพ ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของท่าน เว้นแต่ท่านจะได้จำหน่ายจ่ายโอนไปในระหว่างมีชีวิต หรือทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหลักการนี้สะท้อนถึงการสละแล้วซึ่งสมบัติส่วนตัวเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
3. การดำเนินคดีอาญากับพระสงฆ์มีขั้นตอนพิเศษ
หากพระสงฆ์ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้กำหนดขั้นตอนไว้เป็นการเฉพาะ โดยพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาให้เจ้าอาวาสวัดที่พระสงฆ์รูปนั้นสังกัดอยู่ทราบ และเมื่อจะทำการสอบสวน ก็ต้องกระทำในสถานที่อันสมควร ไม่เป็นการประเจิดประเจ้อ หากพนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัวและเจ้าอาวาสไม่รับตัวไปควบคุมดูแล หรือเป็นคดีร้ายแรง พนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ หรือ "สึก" ก่อนทำการควบคุมตัว
4. ไม่ใช่ทุกคนที่จะบวชเป็นพระได้ตามกฎหมาย
กฎมหาเถรสมาคมได้วางข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะบวชไว้อย่างชัดเจน โดยห้ามอุปสมบทแก่บุคคลต้องห้าม เช่น ผู้ที่ทำผิดหลบหนีคดีอาญา, ผู้ที่ต้องหาในคดีอาญา, ผู้ที่เคยถูกตัดสินจำคุกโดยฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ, ผู้ที่มีอวัยวะพิการจนไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ และผู้มีโรคติดต่อร้ายแรง เป็นต้น ดังนั้น การบวชจึงไม่ใช่หนทางหลบหนีความผิดทางกฎหมาย
5. การ "ปาราชิก" มีผลให้ขาดจากความเป็นพระทันที แม้ยังไม่สึกตามกฎหมาย
ในทางพระวินัย การต้องอาบัติ "ปาราชิก" (เช่น เสพเมถุน, ลักทรัพย์, ฆ่ามนุษย์, อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน) ถือว่าทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันทีโดยอัตโนมัติ แม้ว่าในทางกฎหมายจะยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ "ให้สละสมณเพศ" หรือการสึกก็ตาม ในทางปฏิบัติเมื่อพระวินิจฉัย (การพิจารณาความผิดทางพระวินัย) สิ้นสุดลงว่ามีความผิดจริง ก็จะต้องดำเนินการให้สละสมณเพศตามกฎของมหาเถรสมาคม
6. พระสงฆ์ทำสัญญาหรือนิติกรรมได้ แต่มีข้อจำกัด
โดยหลักแล้วพระสงฆ์ยังคงมีความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญาได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เช่น การซื้อขายของใช้ส่วนตัว แต่การทำนิติกรรมใดๆ ที่อาจไม่เหมาะสมกับสมณสารูป หรือขัดต่อพระธรรมวินัย อาจถูกมองว่าไม่สมควร และหากเป็นนิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของวัด จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ และระเบียบของมหาเถรสมาคมอย่างเคร่งครัด โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้มีอำนาจในนามของวัด
7. การโอนกรรมสิทธิ์ "ที่วัด" หรือ "ที่ธรณีสงฆ์" ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ
ที่ดินของวัด ซึ่งแบ่งเป็น "ที่วัด" (ที่ตั้งวัดและเขตวัด) และ "ที่ธรณีสงฆ์" (ที่ดินที่เป็นสมบัติของวัด) ถือเป็นศาสนสมบัติกลาง การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเหล่านี้ไม่สามารถทำได้โดยง่ายเหมือนที่ดินทั่วไป แต่จะต้องกระทำโดยการตราเป็น "พระราชบัญญัติ" เท่านั้น ยกเว้นในบางกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เช่น การเวนคืนเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการคุ้มครองทรัพย์สินของพระศาสนาไว้อย่างแน่นหนา
8. พระสงฆ์มี "ใบสุทธิ" เป็นเอกสารสำคัญแสดงตน
นอกเหนือจากบัตรประจำตัวประชาชนที่คนไทยทุกคนต้องมี พระภิกษุและสามเณรจะมีเอกสารสำคัญอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า "หนังสือสุทธิ" หรือ "ใบสุทธิ" ซึ่งเปรียบเสมือนบัตรประจำตัวพระ โดยจะระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อ, ฉายา, สังกัดวัด, วันอุปสมบท และตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ (ถ้ามี) ซึ่งออกให้โดยเจ้าอาวาสและต้องมีการลงทะเบียนอย่างถูกต้อง
9. พระสงฆ์บางตำแหน่งได้รับ "นิตยภัต" ซึ่งเปรียบได้กับเงินเดือน
หลายคนอาจเข้าใจว่าพระสงฆ์ไม่มีรายได้ แต่ในความเป็นจริง พระสงฆ์ที่ดำรงตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่เรียกว่า "นิตยภัต" ซึ่งจ่ายเป็นรายเดือนตามลำดับชั้นของสมณศักดิ์และตำแหน่ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติศาสนกิจและการบริหารงานของคณะสงฆ์
10. "ไวยาวัจกร" ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายเสมอไป
ไวยาวัจกร คือคฤหัสถ์ที่เจ้าอาวาสแต่งตั้งให้มีหน้าที่เบิกจ่ายและดูแลรักษาทรัพย์สินของวัดแทนเจ้าอาวาส แม้ภาพจำส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่ในทางกฎหมายและระเบียบของมหาเถรสมาคมไม่ได้มีการกำหนดเพศของไวยาวัจกรไว้ ดังนั้น สตรีก็สามารถได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกรของวัดได้เช่นกัน หากเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจและมีคุณสมบัติตามที่กำหนด
กฎหมายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า สถานะของพระสงฆ์ในสังคมไทยนั้นได้รับการจัดระเบียบและคุ้มครองโดยกฎหมายของฝ่ายอาณาจักรควบคู่ไปกับพระธรรมวินัยของฝ่ายศาสนจักร เพื่อให้การคณะสงฆ์ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชนสืบไป
การศึกษา
ความรู้รอบตัว
สาระน่ารู้
บันทึก
3
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย