Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Future Perfect
•
ติดตาม
13 ก.ค. เวลา 01:20 • สิ่งแวดล้อม
รู้จัก 4 กลไกตั้งราคาคาร์บอนในโลก: จากภาษีคาร์บอน ถึงตลาดซื้อขายคาร์บอน
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตั้งราคาคาร์บอนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่หลายคนยังคงสับสนว่าการตั้งราคาคาร์บอนมีรูปแบบใดบ้าง แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร และเหตุใดจึงมีหลากหลายกลไกเช่นนี้
คำถามที่น่าสนใจก็คือ แต่ละกลไกนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และประเทศไทยควรเลือกใช้กลไกใดให้เหมาะสมกับบริบทของเรา มีประเด็นใดที่น่าสนใจบ้าง Future Perfect มีคำตอบมาอัพเดทและเปิดมุมคิดให้กับทุกคนครับ
Cr. Image by NicoElNino
เริ่มต้นจากคำถาม: ทำไมต้องตั้งราคาคาร์บอน?
ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับกลไกต่าง ๆ มาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมเราต้องตั้งราคาคาร์บอน เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่ต้นทุนเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนอยู่ในราคาสินค้าหรือบริการ
การตั้งราคาคาร์บอนจึงเป็นเหมือนการสร้างสัญญาณราคาที่ชัดเจนให้กับตลาด ทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคต้องคิดต้นทุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในการตัดสินใจ และหันไปใช้เทคโนโลยีหรือพฤติกรรมที่สะอาดหรือปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า
4 กลไกหลักในการตั้งราคาคาร์บอน
จากการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์และองค์กรระหว่างประเทศ กลไกการตั้งราคาคาร์บอนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax)
ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกที่ตรงไปตรงมาที่สุด คือการเก็บภาษีจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลักษณะคล้ายกับการเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย ถือเป็นกลไกภาคบังคับจากทางภาครัฐที่เป็นผู้กำหนดอัตราและบังคับใช้การเก็บภาษี
ข้อดีของภาษีคาร์บอนคือ ราคาคาร์บอนมีความชัดเจนและคาดเดาได้ ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการลงทุนระยะยาว ระบบการจัดเก็บก็ไม่ซับซ้อนมากนัก เพราะสามารถใช้โครงสร้างการจัดเก็บภาษีที่มีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ภาษีคาร์บอนไม่สามารถการันตีได้ว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของตลาดต่อราคาภาษีนั้น ๆ
2. ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Cap-and-Trade หรือ Emission Trading Scheme - ETS)
ระบบนี้ทำงานแบบ "กำหนดปริมาณก่อน แล้วให้ตลาดตั้งราคา" ถือเป็นตลาดภาคบังคับ (Compliance Market) โดยรัฐบาลจะกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดทั้งหมด (Cap) ที่อาจแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม แล้วแจกจ่ายหรือประมูลใบอนุญาต (Allowance) ให้กับผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการที่ลดการปล่อยก๊าซได้มากกว่าที่ได้รับใบอนุญาต สามารถนำใบอนุญาตที่เหลือไปขายได้ ส่วนผู้ที่ปล่อยเกินต้องซื้อใบอนุญาตเพิ่ม ทำให้เกิดตลาดซื้อขายที่มีราคาคาร์บอนเป็นของตัวเอง
ข้อดีของระบบนี้คือ สามารถรับประกันได้ว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะไม่เกินที่กำหนดไว้ แยกตามแต่ละอุตสาหกรรม และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการหาวิธีลดการปล่อยก๊าซอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ข้อเสียคือ ราคาคาร์บอนอาจมีความผันผวน ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน ทำให้ธุรกิจวางแผนได้ยาก
3. กลไกการให้เครดิตจากโครงการลดหรือดูดซับคาร์บอน (Crediting Mechanism)
กลไกนี้เป็นการให้รางวัลแก่ผู้ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือดูดซับคาร์บอนจากบรรยากาศ โดยสร้างคาร์บอนเครดิตที่สามารถขายได้ในตลาด และถือเป็นตลาดภาคสมัครใจ (Voluntary Market) ที่มีการกำหนดราคาขายคาร์บอนเครดิตแต่ละประเภทตามกลไลของตลาด
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอน การเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซ หรือโครงการพลังงานทดแทน ผู้ดำเนินโครงการสามารถขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซของตัวเอง
ข้อดีคือ สร้างแรงจูงใจให้เกิดโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยระดมทุนสำหรับโครงการเหล่านี้ แต่ข้อเสียคือ การวัดผลและตรวจสอบความแท้จริงของการลดการปล่อยก๊าซเป็นเรื่องที่ซับซ้อน
4. ราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing - ICP)
นี่คือกลไกที่องค์กรต่าง ๆ นำไปใช้เป็นการภายในด้วยตัวเอง ตามความสมัครใจ โดยกำหนดราคาคาร์บอนเพื่อใช้ในการประเมินโครงการลงทุน การตัดสินใจเชิงธุรกิจ หรือการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยอาจอ้างอิงจากราคาตลาดภายนอก หรือต้นทุนด้านคาร์บอนที่เกิดขึ้น หรือคาดว่าจะเกิดกับองค์กรในอนาคต
ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจกำหนดราคาคาร์บอนไว้ที่ 50 ดอลลาร์ต่อตันคาร์บอน แล้วใช้ราคานี้ในการคำนวณต้นทุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละโครงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
ข้อดีคือ ช่วยให้องค์กรเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งราคาคาร์บอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และสร้างวัฒนธรรมการคิดต้นทุนสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร
กลไกภาคบังคับ ใช้กลไกใดดี? ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ
การเลือกใช้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอนภาคบังคับ ในระดับประเทศ ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น โครงสร้างทางเศรษฐกิจ ความพร้อมด้านกฎหมายและสถาบัน วัฒนธรรมการจัดเก็บภาษี และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับประเทศไทย เริ่มมีการเก็บภาษีคาร์บอนในรูปแบบของภาษีสรรพสามิตไปแล้วในด่านแรก โดยปัจจุบันมีการพิจารณาทั้งภาษีคาร์บอนเต็มรูปแบบและระบบการซื้อขายใบอนุญาต มีการศึกษาความเหมาะสมของแต่ละกลไกกับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย อย่างไรก็ตาม การนำกลไกเหล่านี้มาใช้จริงยังต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้าน
ในบทความถัดไป เราจะมาเจาะลึกประเด็นน่ารู้ของแต่ละกลไก ว่าข้อพิจารณา ลักษณะพิเศษอย่างไร มีตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวจากประเทศต่าง ๆ อย่างไร และมีประเด็นใดที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หรือมีความคืบหน้าในการกำหนดกลไกแต่ละอย่างไว้อย่างไร จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป
ผู้อ่านสามารถกดติดตามเพจ Future Perfect และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ กันได้เลยครับ
3 มุมคิดที่ Future Perfect ขอฝากไว้
1) ไม่มีกลไกเดียวที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์: การเลือกใช้กลไกตั้งราคาคาร์บอนต้องพิจารณาบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจ ความพร้อมด้านสถาบัน และเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
2) ราคาชัดเจน vs. ปริมาณชัดเจน: ภาษีคาร์บอนให้ความชัดเจนด้านราคาแต่ไม่รับประกันปริมาณการลดการปล่อยก๊าซ ขณะที่ ETS หรือ Cap-and-Trade รับประกันปริมาณแต่ราคาอาจผันผวนตามกลไกตลาด
3) กลไกภาคบังคับ vs. ภาคสมัครใจ: กลไกกำหนดราคาคาร์บอนมีทั้งแบบบังคับใช้โดยภาครัฐ ได้แก่ ภาษีคาร์บอน และ ETS / Cap-and-Trade กับกลไกภาคสมัครใจ ได้แก่ คาร์บอนเครดิต และราคาคาร์บอนในองค์กร
#FuturePerfect #FuturePerfectExpert #อนาคตกำหนดได้ #เปิดมุมคิดใหม่สู่ความยั่งยืน #Sustainovation #InnovateForSustainableFuture #CarbonPricing #CarbonTax #CapAndTrade #คาร์บอนเครดิต #ตลาดคาร์บอน
ทุกท่านสามารถติดตามสาระดี ๆ จาก Future Perfect ผ่านช่องทางดังต่อไปนี้
Blockdit: Future Perfect [
blockdit.com/futureperfect
]
Medium:
https://futureperfectexpert.medium.com/
Facebook: Future Perfect - อนาคตกำหนดได้ [
facebook.com/futureperfect.expert
]
เยี่ยมชม
facebook.com
Future Perfect - อนาคตกำหนดได้ | Bangkok
Future Perfect - อนาคตกำหนดได้, Bangkok. 8 likes. “Innovate for Sustainable Future” เปิดมุมคิดใหม่สู่นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เกิดขึ้นได้จริง
ธุรกิจ
สิ่งแวดล้อม
4 บันทึก
7
10
4
7
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย