13 ก.ค. เวลา 06:00 • ธุรกิจ

นิสัยแห่งความสำเร็จ : เพราะอะไรคนน่ารัก (Likeability) ถึงวิ่งแซงคนเก่งในยุค AI

ในบทความที่แล้ว ผมเขียนเกี่ยวกับ ความน่ารัก (Likeability) : หนังสือเดินทางทางอารมณ์สู่ความสำเร็จ โดยได้แรงบัลดาลใจจาก คุณธนา เธียรอัจฉริยะ (คุณโจ้) ที่พูดในงาน CTC2025 ในหัวข้อ "เคล็ดลับที่ AI ไม่มีวันทำได้! ทำไมคนที่ 'น่ารัก' ถึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนเก่ง? โดยคุณธนา เธียรอัจฉริยะ" ในบทความนี้ผมจึงอยากอธิบายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเนื้อหาที่คุณโจ้ได้พูดเอาไว้
ก่อนอื่นเลย ผมขอทวนเนื้อหาที่เป็นใจความสำคัญของบทความที่แล้ว ผมได้อธิบายว่าความน่ารัก (Likable หรือ Likability) หมายถึง คุณลักษณะเชิงบวกที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกชอบ วางใจ และอยากมีปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก 3 อย่าง ความจริงใจ (Sincerity) ความอบอุ่นและความเห็นอกเห็นใจ (Warmth & empathy) และการสื่อสารที่เปิดเผยชัดเจน (Clarity) ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่าย เป็นมิตร น่าเชื่อถือ และเคารพเราแม้ยังไม่สนิทกันก็ตาม (Huang et al., 2017; Neal et al., 2021)
เหตุผลที่ความน่ารักเป็นหนังสือเดินทางทางอารมณ์สู่ความสำเร็จ เพราะงานศตวรรษ 21 กลายเป็นได้ปริศนาเชิงระบบที่ดึงข้อมูลหลายทวีป ทีมข้ามฟังก์ชัน และคนต่างวัยร่วมโต๊ะ
สิ่งที่หล่อลื่นให้ทุกชิ้นส่วนเชื่อมทันใจคือความน่ารัก (คนที่จริงใจ อบอุ่นสื่อสารชัดเจน) จะลดเวลาตัดสินใจและแรงเสียดทานที่จะบานปลายเป็นวัฒนธรรมเป็นพิษ และเป็นสะพานระหว่างเบบี้บูมเมอร์ที่ยึดลำดับชั้นกับ Gen Z หรือ Alpha ที่ต้องการความปลอดภัยทางอารมณ์ และยังปลดล็อกศักยภาพรุ่นใหม่ที่รายงานอัตราวิตก หมดไฟสูงสุดห้ทุ่มเทเต็มที่ (คาลอส บุญสุภา 2568)
ดังนั้นในสนามที่ใครก็ใช้ Generative AI ได้ หากมีคนที่สามารถรวบรวมสมองต่างรุ่นให้วิ่งไปทิศเดียวกัน ก่อให้เกิดความได้เปรียบยั่งยืนกว่าคนเก่งที่ขาดเสน่ห์เชื่อมคน
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเห็นด้วยความคุณโจ้อย่างมากว่า "ความสำเร็จของ โชเฮ โอตานิ (Ohtani Shohei) นักเบสบอลที่เก่งที่สุดในโลกที่กล่าวว่าโชคดีคือการที่มีคนสนับสนุน ดังนั้นเราต้องออกไปเจอคน เพราะโอกาสจะเกิดจากการที่มีคนชอบเรา" กล่าวคือ ความน่ารักดึงดูดโชค เพราะจะมีคนที่คอยสนับสนุนพวกเขาโดยตรงและทางอ้อมอยู่เสมอ
ความน่ารักไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาได้โดยง่าย เพราะความน่ารักคือนิสัยที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการบ่มสร้างมันขึ้นมา กว่าที่จะมีความจริงใจ (แสดงออกทางคำพูด สีหน้า การกระทำตรงกัน กล้ารับผิดชอบ) อบอุ่น (ฟังเก่ง) และสื่อสารชัดเจน (ตอบตรงประเด็น ไม่คลุมเครือ) ในบทความที่แล้วผมอาจจะยังไม่ได้แสดงหลักฐานที่เข้มข้นว่าเพราะอะไรความน่ารักจึงสำคัญกว่าความเก่ง แต่ในบทความนี้ผมอยากจะแสดงหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้เป็นถึงอิทธิพลของความน่ารักและเป็นการสนับสนุนคุณโจ้ที่พูดในงาน CTC2025 ด้วยครับ
หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าความน่ารักสามารถสิ่งแซงคนเก่งได้
1) เส้นแรงโน้มถ่วงทางอารมณ์ บทความ Connect, Then Lead ในนิตยสาร Harvard Business Review ระบุว่า เมื่อผู้นำส่งสัญญาณอบอุ่นเป็นมิตรก่อนแสดงความเก่ง สมองของทีมจะปิดโหมดระแวง เปิดโหมดรับและเชื่อมโยง ทำให้ศักยภาพทางวิชาชีพฉายชัดขึ้นกว่าการเริ่มต้นด้วยความเก่งเพียงอย่างเดียว (Cuddy, Kohut, & Neffinger, 2013)
ข้อมูลเพิ่มเติมของ Zenger และ Folkman (2013) ระบุว่าในกลุ่มหัวหน้ากว่า 50,000 คน มีเพียง 0.05 % ที่ไม่น่ารัก แต่ยังได้คะแนนประสิทธิผลสูง กล่าวคือมีน้อยมาก ๆ ถึงมากที่สุดที่คนเก่งและไม่น่ารักจะมีคะแนนประสิทธิผลจากการทำงานสูง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความเก่งเพียงอย่างเดียวแทบไม่พอถ้าไม่มีแรงโน้มถ่วงทางอารมณ์ดึงทีมให้เชื่อใจก่อน
2) วงจรเร่งการพัฒนาตนเอง งานภาคสนามของ Rosen, Smith & Leung (2024) แอบสังเกตอาจารย์มหาวิทยาลัยสองกลุ่ม กลุ่มแรกตอบคำถามนักศึกษาตรงไปตรงมา (สื่อสารชัด = น่ารัก) อีกกลุ่มอ้อมค้อม
ผลพบว่าอาจารย์ที่พูดตรง (สื่อสารชัด) ไม่เพียงได้คะแนนสอนสูงกว่า แต่ยังถูกอนุมัติงบลองสื่อการสอนมากขึ้นถึง 34 % พอมีทรัพยากรทดลองวิธีการสอนแบบใหม่ ๆ คุณภาพการสอนยิ่งดี ได้คะแนนเพิ่ม ได้งบเพิ่มอีก เกิดเป็นวงจรสะสมทักษะเร็วกว่าเพื่อนที่สอนเนื้อหาแน่นแต่สื่อสารห่างเหิน ไม่ชัดเจน จึงพิสูจน์ว่าความน่ารัก ช่วยเร่งเส้นทางพัฒนาวิชาชีพแบบก้าวกระโดด
3) ตลาดเชื่อใจไวกว่า ด้านสื่อสารการตลาด McGuire, Childs & Hinrichs (1999) ทดลองโฆษณาให้ดาราปรับบุคลิก "น่ารัก” กับ “เป็นกลาง” แล้ววัดยอดขายจริง ผลพบว่าโฆษณาที่มีบุคลิกเป็ยกลางต้องใช้งบโฆษณาสูงกว่าถึง 25% ต่อการสร้างยอดขายเท่ากัน สอดคล้องกับงานของ Berger & Milkman (2012) ที่พบว่าการแสดงว่าเนื้อหาที่สร้างอารมณ์บวกเชิงบวกทำให้ผู้ส่งสารดูเป็นมิตร มีโอกาสถูกแชร์ต่อเพิ่ม 30–40 % (เช่น จองกับคัลแลน) ลดต้นทุนสื่อตามธรรมชาติ เพราะกระแสปากต่อปากช่วยดึงผู้ชมได้เอง โดยไม่ต้องทุ่มงบซื้อทราฟฟิกเพิ่มเติม
เมื่อมองข้ามตัวเลขยอดขาย คะแนนสอน หรือดัชนีประสิทธิผล หลักฐานทั้งสามชุดบอกเรื่องเดียวกันคือ ควรจะส่งเสริมคนให้น่ารัก มากกว่าจะผลักดันคนให้เก่งเพียงอย่างเดียว ผู้นำน่ารักดึงทีมให้วางการ์ด อาจารย์ที่สื่อสารตรงจึงสะสมทุนพัฒนาตนได้เร็วกว่าเพื่อนที่เก่งแต่น่าเกร็ง และแบรนด์ที่ชวนให้รักก็ใช้เงินน้อยลงเพราะผู้บริโภคยินดีบอกต่อเอง
ในยุคที่ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลได้เท่า ๆ กัน ความน่ารักจึงกลายเป็นตัวคูณที่แปลงความสามารถให้กลายเป็นแรงสนับสนุน ทรัพยากร และโอกาสแบบทวีคูณพาเราไปได้ไกลกว่าพลังเดี่ยวของพรสวรรค์เสียอีก
อ้างอิง
คาลอส บุญสุภา. (2568). ความน่ารัก (Likeability) : หนังสือเดินทางทางอารมณ์สู่ความสำเร็จ. https://sircr.blogspot.com/2025/07/likeability.html
Berger, J., & Milkman, K. L. (2012). What makes online content viral? Journal of Marketing Research, 49(2), 192-205. https://doi.org/10.1509/jmr.10.0353
Cuddy, A. J. C., Kohut, M., & Neffinger, J. (2013, July–August). Connect, then lead. Harvard Business Review, 92-99.
Huang, K., Yeomans, M., Brooks, A. W., Minson, J. A., & Gino, F. (2017). It doesn’t hurt to ask: Question-asking increases liking. Journal of Personality and Social Psychology, 113(3), 430–452. https://doi.org/10.1037/pspi0000097
McGuire, W. J., Childs, R., & Hinrichs, R. (1999). The influence of source likability on persuasion in advertising. Journal of Consumer Psychology, 8(3), 247-262.
Neal, T., Weatherford, S., & Smith, A. (2021). Likeability and expert persuasion: Dislikeability reduces perceived persuasiveness of expert evidence. Frontiers in Psychology, 12, 785677. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2021.785677
Rosen, B., Smith, C., & Leung, K. (2024). Give me a straight answer: Response ambiguity diminishes likability. Personality and Social Psychology Bulletin, 50(2), 225-240. https://doi.org/10.1177/01461672231200000
Zenger, J., & Folkman, J. (2013). The ideal praise-to-criticism ratio. Harvard Business Review Digital Articles, 2-4.
โฆษณา