13 ก.ค. เวลา 07:09 • ความคิดเห็น

จังหวะสวรรค์

น่าสนใจที่คำนี้ไม่ค่อยมีคนใช้ มีแต่ใช้คำที่ความหมายตรงกันข้าม
2
แต่ผมคิดว่าจะใช้คำว่าจังหวะสวรรค์ให้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่หนังสือ Fluke เริ่มมีคนพูดถึง
1
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้อ่านสเตตัสของคุณ นิค Genie - วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ที่ปลุกปั้นศิลปินชื่อดังในเครือแกรมมี่มามากมาย:
"บางครั้งพระเจ้าก็ชอบเล่นตลกแบบโหดๆ กับเรา อย่างเรื่องราวของวง Klear ที่กว่าจะมาเป็นศิลปิน genie ก็เป็นอีกกรณีที่ต้องเล่า
ผมได้ยิน demo ของน้องๆ เขาเพราะต้า Paradox นำมาเปิดให้ฟัง
เพียงเพราะวันนั้นต้าไม่มีงานของตัวเองมาส่งตามนัด จึงงัดเพลงของ Klear ที่พกติดตัวตลอดมาเปิดแทน
ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านั้นเกือบไม่มีชื่อ Klear ในวงการแล้ว เพราะหลังสู้มานานความหวังก็ยังริบหรี่ ทุกคนท้อใจจะไม่ไปต่อ ท้อขนาดนัดซ้อมกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
บังเอิญมาเจอพี่ต้าแกเลยอาสาลงทุนทำอัลบั้มให้ แถมทำเสร็จก็ยังช่วยยื่น demo ไปแทบทุกค่าย แต่...ไม่มีค่ายไหนอ้าแขนตอบรับเลย!
วันที่มาเปิดให้ผมฟัง (ซึ่งน่าจะเป็นค่ายสุดท้าย) ก็น่าจะไม่ได้จริงจังหรือคาดหวังอะไร คงกะแค่เบี่ยงประเด็น
เหมือนนักเรียนไม่ส่งการบ้านแล้วกลัวอาจารย์ดุ...เลยรีบเฉไฉ
แต่ต้าคงงงเป็ด ผมกลับโทรตามให้รีบพาวงมาเซ็นสัญญาทันทีโดยที่ต้าเองก็เพิ่งลากลับยังลงลิฟต์ไปไม่ถึงชั้นล่างด้วยซ้ำ
ผมได้ยินเรื่องราวนี้อีกครั้งจากปากน้องทั้ง 2 บนเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ของ Paradox เมื่อเสาร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงอารมณ์ผมในวันนั้น
ผมยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และถ้าทั้งคู่อ่านเจอ ผมอยากบอกให้รู้ถึงสิ่งที่ผมค้นพบที่ทำให้อยากร่วมงานด้วยขนาดนั้นว่ามันคืออะไร
1
บอกตรงๆ ผมไม่ได้ยินเพลงที่จะฮิตจะดังใน demo ของอัลบั้มแรกนั้นเลย
แต่ผมได้ยินชัดสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่นและเอาตาย-ใส่สุดของพวกเขา มันจริงจังและจริงใจมากๆ
ทั้งหมดส่งผ่านน้ำเสียงของแพทและดนตรีของพวกเขา ที่มีความออริจินัล หนึ่งเดียวและยังไม่เคยมีงานแบบนี้ในวงการ
ที่สำคัญผมเห็นอนาคตที่สดใสของพวกเขาในอัลบั้มต่อๆไป ถ้าเราได้ทำงานร่วมกัน
3
ผ่านไปสิบกว่าปี ผมดีใจที่มองไม่ผิดและตัดสินใจถูก
ขอบคุณต้ามากๆ ที่วันนั้นส่งการบ้านไม่ทันนะครับ"
1
-----
1
วง Klear ได้รับจังหวะสวรรค์สองครั้ง คือตอนที่ต้า Paradox เห็นแวว กับตอนที่ต้าตัดสินใจยื่นซีดีของวงให้พี่นิคฟัง
เรื่องราวของคนดังๆ ที่เราเกือบจะไม่ได้รู้จักนี้มีมากมายเลยนะครับ อย่างวงบอดี้สแลมก็เกือบจะไม่ได้ออกเทปแล้ว แม้ว่ากบ บิ๊กแอสและทีมงานเขียนเพลงผลักดันเต็มที่ ยังดีที่พี่ตูนตัดสินใจเข้าไปคุยกับพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่ตอนนั้นดูแลค่าย Music Bugs ที่บอดี้สแลมสังกัดอยู่ และสุดท้ายพี่เอกก็ยอมให้ออกเทปอัลบั้มแรก (ฟังปากคำจากคุณกบ บิ๊กแอสได้ที่รายการคุยคุ้ยเพลงของป๋าเต็ด นาทีที่ 35)
2
Morgan Housel เคยเล่าว่าตอนที่เขามีความคิดจะทำหนังสือ The Psychology of Money ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนในอเมริกาสนใจจะตีพิมพ์ให้เลย จนเกือบจะท้อใจไปแล้ว แต่โชคดีที่สำนักพิมพ์เล็กๆ ในอังกฤษอย่าง Harriman House สนใจและตีพิมพ์ให้ และปรากฏการณ์ของหนังสือเล่มนี้ก็เปลี่ยนชะตาชีวิตของทั้ง Morgan Housel และ Harriman House ไปแบบไม่หวนกลับ
1
-----
คุณต้นสน สันติธาร เสถียรไทย เคยเล่าไว้ในหนังสือ 'Twists and Turns คิดเปลี่ยนในโลกหักมุม' ว่า
"บุคคลที่นั่งอยู่หน้าผมคือ ศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล เขียนหนังสือขายดีของเดอะนิวยอร์กไทมส์ (The New York Times) และอดีตประธานทีมเศรษฐกิจของธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งเขากำลังอ่านงานที่ผมนำเสนอ
หากอาจารย์พอใจ และเขียนจดหมายแนะนำให้ผม โอกาสในการเข้าเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ของผมก็จะสูงขึ้นมาก แต่ถ้าอาจารย์เห็นว่าไม่ดี ก็แทบจะเลิกหวังได้เลยกับการสมัครรอบนี้ซึ่งจะเป็นรอบสุดท้ายหลังจากที่ถูกปฏิเสธมาแล้วหลายปีติดกัน
สิ่งที่อาจารย์อ่านอยู่คืองานที่ท่านมอบหมายให้เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน แต่เนื่องจากท่านเดินทางตลอด จึงไม่ได้มีโอกาสคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น และนี่คือการพบกันครั้งสุดท้าย เพราะสัญญาจ้างผมกำลังจะหมดลง
"เสียดายที่มันไม่ได้ออกมาอย่างที่ผมคาดไว้" อาจารย์พูดขึ้นมาหลังอ่านจบ ซึ่งผมก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร เพราะงานที่ท่านให้ไว้ดันมาเจอทางตัน และผมเองก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร
1
ท่านพูดอย่างสุภาพว่า "ขอบคุณที่พยายามทำเต็มที่ และขอโทษที่ไม่ค่อยได้มีเวลาให้เท่าที่ควร" ก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหารเช้าในร้านคาเฟ่เล็กๆ ในนิวยอร์ก วันนั้นอาจารย์หันมาถามเหมือนตามมารยาทว่า
"แล้วคุณมีอะไรที่ทำไว้และอยากนำเสนออีกไหม?"
ในเสี้ยววินาทีนั้นผมบอกตัวเองว่า เราไม่มีอะไรต้องเสียแล้วและตัดสินใจตอบว่า "มีครับ แต่ไม่แน่ใจมันเกี่ยวกับโจทย์ที่อาจารย์พยายามตอบอยู่หรือไม่"
1
อาจารย์ให้ผมเปิดให้ดู งานที่ผมทุ่มเทใช้เวลาที่เหลือช่วงที่ติดต่ออาจารย์ไม่ได้ ทำไปโดยพลการโดยคาดเดาว่า นี่น่าจะเป็นโจทย์ที่อาจารย์อยากจะตอบ และวิธีแบบนี้น่าจะตอบคำถามได้ แม้จะต่างกับที่ท่านให้มา เมื่อดูงานดังกล่าวเสร็จ ท่านยิ้มแล้วถาม
"คุณคิดเองเหรอ?"
ท่านบอกว่าแนวทางนี้น่าสนใจมาก และดีกว่าวิธีเดิมเสียอีก จึงชวนให้มาพัฒนาต่อเป็นงานวิจัยปริญญาเอก เสี้ยววินาทีที่ผมตอบอาจารย์ครั้งนั้นเป็นทางแยกสำคัญของชีวิต งานชิ้นนั้นทำให้ผมสมัครเข้าเรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดสำเร็จ พร้อมช่วยให้ผมได้ทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยถึง 2 ทุน และงานนั้นยังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ทำให้ผมเรียนจบอีกด้วย"
1
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของจังหวะสวรรค์ ถ้าอาจารย์สติกลิตซ์ไม่ได้เอ่ยคำถาม "แล้วคุณมีอะไรที่ทำไว้และอยากนำเสนออีกไหม?" อนาคตของคุณต้นสนน่าจะหักมุมไปอีกทางแยกหนึ่ง
1
-----
พูดถึงทางแยกในการงานและวิชาชีพ ผมเลยขอเล่าให้ฟังทางแยกที่ผมเจอเองบ้าง
มีหลายคนถามผมว่า จบวิศวกรรมไฟฟ้าแล้วมาดูทีม HR ได้ยังไง
และผมจะตอบติดตลก (แต่เป็นเรื่องจริง) ทุกครั้งว่า เพราะรู้จักกับเจ้าของ
1
ถอยกลับไปเมื่อปี 2005 ผมทำงานอยู่บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ในตำแหน่ง developer
งานสาย software development ที่บริษัทจะแบ่งเป็นสามทีมใหญ่ๆ คือ Dev/QA/Support
Dev = developer พัฒนาซอฟต์แวร์
QA = quality assurance เทสต์ซอฟต์แวร์ว่าได้คุณภาพตามมาตรฐาน
Support = ดูแลปัญหาที่ลูกค้าส่งเข้ามา โดย support ก็มีหลายเลเวล เราอยู่เลเวลสุดท้าย ถ้าเราแก้ไม่ได้ก็ไม่มีใครแก้ได้แล้ว
ขณะนั้นผมทำงาน dev มาได้สองปีกว่า แต่รู้ตัวว่าน่าจะเป็น dev ได้แค่ระดับกลางๆ เพราะพื้นฐานน้อย พอ "ซุปปี้" เพื่อนที่เป็น support manager มาชวนไปทำงานสาย support ผมก็เลยตกปากรับคำ สัมภาษณ์เสร็จสรรพ และเตรียมจะย้ายไปดูโปรดักต์ที่เป็นส่วนของ API
1
API = Application Programming Interface เป็น "ภาษา" ที่ทำให้โปรแกรมอื่นๆ คุยกันรู้เรื่อง
สมัยนั้นผมเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีลุมพินี มีวันหนึ่งผมเดินลงไปเจอกับ "เล็ก" ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม dev พอเล็กรู้ข่าวว่าผมเตรียมจะไปอยู่ทีม API ที่มี "เบิร์ด" เพิ่งขึ้นมาดูแลทีม เล็กเลยบอกกับผมว่า
"ทีมนี้งานยากมากเลยนะ ต้องรู้โค้ดเยอะๆ เลย ขนาดเบิร์ดซึ่งเทพขนาดนั้น ไปอยู่ทีมนี้แล้วยังผอมเลยนะ"
แล้วเล็กก็ชวนผมว่า ให้มาเป็นซัพพอร์ตทีม VAS (Value Added Services) ดีกว่า เพราะเล็กเพิ่งย้ายมาดูโปรดักต์ใหม่ของทีมนี้ กำลังต้องการทีม support พอดี ซึ่งโปรดักท์นี้งานมันจะไม่ได้เทคนิคคัลเท่างานซัพพอร์ต API
ผมกลับไปนอนคิดอยู่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นก็เลยแจ้งซุปปี้ไป ซุปปี้เลยนัดให้ผมคุยกับ "ยอด" ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมซัพพอร์ตของ VAS แล้วยอดก็รับผมเข้าทีม
ปี 2008 ยอดเดินทางไปเรียน MBA ที่อเมริกา กลับมาปี 2010 ยอดก็ชวนเพื่อนๆ มาทำสตาร์ตอัปด้วยกัน ผมเองก็ได้ช่วยอยู่บ้างแต่ไม่ได้ลาออกมาทำเต็มตัว เพราะมองไม่เห็นว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้มากนัก
จนกระทั่งปลายปี 2016 ผมออกจากที่ทำงานเดิม และงานที่ใหม่ก็ไม่เป็นไปตามแผน ยอดเลยชวนให้มาดูแลทีม People ซึ่งตอนนั้นมีแค่ 2 คน ดูแลพนักงานร้อยกว่าคน
จากนั้นเป็นต้นมาบริษัทก็เติบโตมาเป็นอย่างดี และผมก็คิดว่าผมได้เจองานที่เหมาะกับตัวเองที่สุดแล้ว
เมื่อมองย้อนกลับไป จังหวะที่ได้เจอเล็กที่สถานีลุมพินีย่อมเป็น "จังหวะสวรรค์" ของผม เพราะถ้าผมไปช้าหรือเร็วกว่านี้แค่ 3 นาที ผมก็จะไม่ได้เจอเล็ก จะได้ไม่ย้ายทีม และไม่ได้รู้จักกับยอดนั่นเอง
-----
แน่นอนว่าแค่จังหวะสวรรค์อย่างเดียวไม่ได้ทำให้สำเร็จ ที่วง Klear มาได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าซ้อมกันมาอย่างหนัก ที่คุณต้นสนได้รับโอกาส ก็เพราะว่าได้ทดลองทำโจทย์โดยที่อาจารย์ไม่ได้ร้องขอ และตัวผมเองก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวหลายอย่างมากกว่าจะผ่านช่วงเวลาตรงนั้นมาได้
1
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการโชคช่วยด้วยเช่นกัน มีหลายคนที่ทั้งฉลาด ขยัน ตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ได้รับจังหวะสวรรค์ที่หวังเอาไว้ เหมือนคำกล่าวของชาวจีนที่ว่า "ความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน"
4
หน้าที่มนุษย์อย่างเรา จึงเป็นการพยายามต่อไป เหมือนเป็นการเก็บกระเป๋าของเราให้พร้อม รถไฟมาถึงเมื่อไหร่จะได้กระโดดขึ้นรถแล้วออกเดินทาง
2
เข้าใจว่าหลายคนอาจกำลังเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า "จังหวะสวรรค์" นั้นมีอยู่ และจะวนเวียนมาหาเราอยู่เรื่อยๆ
1
ถ้าจังหวะสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้เราคว้ามันไว้ให้อยู่มือเลยนะครับ
1
โฆษณา