13 ก.ค. เวลา 11:19 • ประวัติศาสตร์

ครบรอบ 1 ปี ความพยายามลอบสังหาร“โดนัลด์ ทรัมป์”

วันนี้เมื่อปีที่แล้ว (13 กรกฎาคม 2024) เกิดเหตุการณ์สำคัญที่โลกต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แห่งสหรัฐอเมริกาเกือบถูกลอบสังหาร
- มัจจุราชที่ 0.6 เซนติเมตร -
เวลานั้น ทรัมป์กำลังอยู่ในช่วงหาเสียงอย่างเข้มข้น ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาเดินทางไปขึ้นเวทีปราศรัย ที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย หนึ่งในรัฐสมรภูมิที่จะเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้ง
ทรัมป์ขึ้นเวทีช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ก่อนจะเริ่มกล่าวคำปราศรัย ท่ามกลางฝูงชนนับร้อยที่มารอฟัง แต่หลังจากเริ่มพูดไม่ถึง 10 นาที เสียงปืนก็ดังขึ้น
ลูกกระสุนหนึ่งนัดพุ่งเฉี่ยวใบหูข้างขวาของทรัมป์ไป ก่อนที่อีกหลายนัดจะตามมา หน่วยอารักขาพากันกรูขึ้นไปบนเวที ขณะที่ฝูงชนตกอยู่ในความแตกตื่น
ทรัมป์ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง กระสุนเฉี่ยวใบหูข้างขวา ทำให้เกิดแผลกว้างประมาณ 2 ซม. พร้อมเลือดที่ไหลอาบแก้ม
แต่สิ่งที่ไม่รู้จะมีคำอธิบายอะไรได้นอกจาก “ปาฏิหาริย์” คือวินาทีที่กระสุนเดินทางมาถึง เป็นจังหวะเดียวกับที่ทรัมป์หันไปมองจอแสดงจำนวนผู้อพยพผิดกฎหมายใกล้เวทีพอดี ทำให้องศาของหัวเปลี่ยนไป
ลูกกระสุนที่ตอนแรกน่าจะพุ่งเจาะกะโหลกเต็มๆ จึงแฉลบไปโดนหู
รอนนี แจ็คสัน (Ronny Jackson) อดีตแพทย์ประจำตัวของทรัมป์ ระบุว่า ลูกกระสุนเฉียดใกล้ศีรษะทรัมป์ไม่ถึง ¼ นิ้ว หรืออีกแค่ 0.6 ซม. เท่านั้น
วินาทีกระสุนกำลังถึงตัวทรัมป์ ถ่ายโดยช่างภาพ Doug Mills
ภาพจำลองจังหวะทรัมป์หันหัวขณะกระสุนพุ่งมา Cr. NEXTA
- มือปืนและแรงจูงใจปริศนา -
FBI ระบุตัวมือปืนชื่อ “โทมัส แมทธิว ครูกส์” (Thomas Matthew Crooks) อายุ 20 ปี ถูกวิสามัญทันทีในที่เกิดเหตุ เขาอาศัยที่เมืองเบเธลพาร์ก เขตพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ห่างจากจุดที่ทรัมป์มาหาเสียงประมาณ 70 กิโลเมตร
ในวันเกิดเหตุ ครูกส์ อยู่บนหลังคาของอาคาร ห่างจากจุดที่ทรัมป์ปราศรัยราว 130 เมตร (บางรายงานบอก 150 เมตร) และใช้ปืนไรเฟิลรุ่น AR‑15 เล็งยิงไปที่ทรัมป์ จำนวน 8 นัด ในเวลา 6 วินาที ก่อนจะถูกพลแม่นปืนที่ประจำอยู่บนอาคารหลังเวที ยิงสวนจนเสียชีวิต
ไม่มีใครรู้ว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุคืออะไร
ดูจากภายนอก โทมัส ครูกส์ ก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาไม่น่ามีพิษมีภัย เพื่อนสมัยเรียนต่างให้การว่าเขาเป็นคนรักสันโดษ ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ แต่ก็เป็นเด็กที่หัวดีและเรียนเก่งมากคนหนึ่ง เคยได้รางวัล และมีอนุปริญญาด้านวิศวกรรม ก่อนไปทำงานในบ้านพักคนชรา
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สืบลึกลงไป ก็เจอมุมมืดที่เขาเก็บซ่อนไว้
มีการค้นพบว่าครูกส์ใช้ VPN และบัญชีเข้ารหัสอย่าง Mailfence, Mullvad เพื่อปิดบังการท่องเว็บ เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ ปืน ทรัมป์ วัตถุระเบิด และข่าวต่างๆ ลงมือสร้างอุปกรณ์ระเบิด DIY ในห้องนอน มีประวัติการสั่งซื้อเชื้อเพลิง nitromethane ที่ใช้ในการทำระเบิดเมื่อเดือนมกราคม 2024
เขาเริ่มฝึกยิงปืน AR‑15 ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน จนถึงวันที่ทรัมป์มาปราศรัย ครูกส์ก็ปีนหลังคาอาคารและบินโดรนสำรวจพื้นที่เกือบ 12 นาที เพื่อคำนวณวิถีกระสุน ก่อนจะลงมือก่อเหตุ ด้วยปืน AR-15 ของพ่อ ซึ่งพ่อเองก็ให้การว่าไม่รู้เรื่องมาก่อน
แม้มีข้อมูลมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามที่ว่า ครูกส์ทำเรื่องแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่
หลายคนคิดว่าเป็นแรงจูงใจทางการเมือง เพราะมีคนไม่ชอบทรัมป์อยู่เยอะ แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็ยิ่งพบความสับสน เนื่องจากครูกส์ลงทะเบียนเป็นสมาชิกของพรรครีพับลิกัน แต่ก็เคยบริจาคเงิน 15 ดอลลาร์ให้กองทุน Act Blue ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดมทุนของเดโมแครตในปี 2021
ดังนั้นจุดยืนทางการเมืองของเขาจึงไม่ชัดเจน
โซเชียลมีเดียของครูกส์เงียบ แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน หรือท่าทีที่ส่อว่ามีเครือข่ายสนับสนุน ไม่มีโพสต์แสดงอุดมการณ์สุดโต่ง หรือเกลียดชังทรัมป์อย่างชัดเจน
ผู้เชี่ยวชาญจึงคาดว่าอาจเป็นแรงจูงใจส่วนตัวหรือปัญหาทางจิต มากกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง และเชื่อว่าเขาลงมือก่อเหตุโดยลำพัง แต่จนถึงปัจจุบัน เรื่องราวและแรงจูงใจของ โทมัส ครูกส์ ยังคงเป็นปริศนา
โทมัส แมทธิว ครูกส์
ภาพสถานที่เกิดเหตุก่อนวันปราศรัย Cr. CBS News
ภาพจำลองพื้นที่เกิดเหตุ มุมมองฝั่งมือปืน(1) มุมมองฝั่งพลแม่นปืน(2) Cr. The Washington Post
- มลทินแห่งหน่วยอารักขาความปลอดภัย -
เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนวงการรักษาความปลอดภัยทั่วสหรัฐฯ เพราะไม่มีเหตุพยายามลอบสังหารที่อุกอาจขนาดนี้มานานกว่า 40 ปี
หน่วยงานที่ต้องเจอเสียงวิจารณ์จากสังคมไปเต็มๆ หนีไม่พ้นหน่วยอารักขาประธานาธิบดี (Secret Service)
แม้เวลานั้นทรัมป์จะไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำประเทศ แต่ตามกฎหมายหน่วยอารักขามีหน้าที่ต้องดูแลความปลอดภัยของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และอดีตประธานาธิบดีที่หมดวาระไปแล้ว ซึ่งทรัมป์เป็นทั้งสองอย่าง
การที่เขาเกือบตายกลางงานหาเสียง ทำให้หน่วยอารักขาถูกตั้งคำถามและสอบสวนอย่างหนัก ถึงความหละหลวมในการดูแลความปลอดภัย
เหตุใดมือปืนสามารถขึ้นไปอยู่บนอาคารที่อยู่ห่างจากทรัมป์แค่ร้อยกว่าเมตรได้? ทั้งที่บริเวณนั้นควรอยู่ในพื้นที่ดูแลของหน่วยอารักขา
เจ้าหน้าที่พลแม่นปืนบนหลังคา จะมองไม่เห็นคนก่อเหตุก่อนเลยจริงๆ หรือ?
แม้มีข้อโต้แย้งว่าเป็นเพราะมีต้นไม้ใหญ่บังไว้พอดี (ซึ่งมีจริงๆ) แต่ก็มีประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ให้การว่า พวกเขาเห็นมือปืนพร้อมอาวุธกำลังปีนขึ้นไปบนหลังคาก่อนหน้านี้ และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ไปแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ
บางคนตั้งข้อสังเกตว่านี่เป็นการเลือกปฏิบัติทางการเมือง(จงใจดูแลไม่ดี) หรือเป็นแผนสมคบคิดเพื่อกำจัดทรัมป์หรือไม่? เพราะอย่างที่รู้ว่าทรัมป์มีศัตรูการเมืองอยู่มากมาย แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน
ทรัมป์เองก็ไม่ได้กล่าวโทษหน่วยอารักขาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์นั้นด้วยซ้ำ
ความล้มเหลวดังกล่าวทำให้หน่วยอารักขาต้องเข้าสู่การปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่
คิมเบอร์ลี ชีเทิล (Kimberly Cheatle) ผู้อำนวยการหน่วยอารักขาในเวลานั้น ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฌอน เคอร์แรน (Sean Curran) ผู้อำนวยการคนใหม่ สั่งยกเครื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งระบบ
สภาคองเกรสเสนอร่างกฎหมาย กำหนดให้ตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยอารักขาต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองจากวุฒิสภา รวมถึงจำกัดวาระดำรงตำแหน่งเพื่อป้องกันการแทรกแซงทางการเมือง
ล่าสุด (10 กรกฎาคม 2025) มีการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่อารักขา 6 นาย ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เป็นเวลา 10-42 วัน โดยไม่จ่ายเงินเดือน และเมื่อกลับมาต้องไปทำงานในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเดิม
เจ้าหน้าที่พลแม่นปืน ขณะยิงสวนโทมัส ครูกส์ Cr. The New York Times
คิมเบอร์ลี ชีเทิล ผู้อำนวยการหน่วยอารักขาในเวลานั้น Cr. Wikimedia Commons
หน่วยอารักขาเข้าปกป้องทรัมป์ขณะเกิดเหตุ ถ่ายโดยช่างภาพ Jabin Botsford
- พลิกวิกฤติเป็นโอกาส -
หนึ่งในภาพที่ถูกจดจำและกล่าวขานที่สุดจากเหตุการณ์นี้ คือวินาทีก่อนที่ทรัมป์จะถูกหน่วยอารักขาพาตัวลงจากเวที
หากเป็นคนอื่น คงรีบกระโจนลงจากเวทีไปแล้ว แต่ทรัมป์เลือกจะทำสิ่งที่ต่างออกไป เขาใช้จังหวะนั้น ชูกำปั้นขึ้นบนฟ้า และตะโกนคำว่า “สู้!” อย่างไม่กลัวตายอยู่หลายครั้ง
ผู้คนที่กำลังเสียขวัญ มองมาที่ทรัมป์ และกลับมาส่งเสียงเชียร์ด้วยความฮึกเหิม เกิดเป็นภาพวินาทีประวัติศาสตร์
ทรัมป์ได้ใจคนไปเต็ม ๆ จากการกระทำนั้น นอกจากจะได้คะแนนสงสาร ยังสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็งไปในตัว
บางคนถึงกับคิดว่านี่เป็นการจัดฉากเพื่อเรียกคะแนนนิยม เพราะทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด แต่ทฤษฎีนี้ก็เป็นไปได้ยากมาก เอาแค่จะให้เด็กที่ไหนไม่รู้มายิงปืนเฉี่ยวหูห่างจากหัวแค่ 0.6 เซนติเมตร มันก็บ้าเกินไป
อันที่จริงความนิยมของทรัมป์ในตอนนั้นถือว่านำคู่แข่งอย่างโจ ไบเดน พอสมควรอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ไบเดนหมดแรงและสติเลื่อนลอยกลางเวทีดีเบตกับทรัมป์ ทำให้ถูกวิจารณ์เรื่องความแก่และปัญหาสุขภาพ
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่ในสายตาของเหล่า MAGA หรือสาวกของทรัมป์ เหตุการณ์นี้แทบจะทำให้เขากลายเป็น “พระเจ้า” ไปโดยปริยาย เพราะการที่ยังรอดมาได้ มันคือปาฏิหาริย์ชัด ๆ และทรัมป์ก็ไม่ลืมที่จะจับกระแสตรงนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
ทรัมป์ปรากฏตัวในงานประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกัน (RNC) ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 15–18 กรกฎาคม ที่เมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน หรือเพียง 2 วันถัดมาหลังจากเหตุลอบยิงเขา เพื่อรับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการให้เป็นตัวแทนของพรรคไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ทรัมป์มาทั้งที่หูยังติดผ้าปิดแผล ซึ่งผ้าปิดนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของเหล่า MAGA ในการเลือกตั้งครั้งนั้น
I’m not supposed to be here tonight. I stand before you in this arena only by the grace of Almighty God.
Donald Trump at RNC 2024
ผมไม่ควรจะได้มาอยู่ที่นี่คืนนี้ ผมมาอยู่ตรงหน้าพวกคุณได้ เป็นเพราะปาฏิหาริย์จากพระเจ้า
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวที่งาน RNC 2024
เป็นช่วงหนึ่งของสุนทรพจน์ที่ทรัมป์กล่าวปิดงาน หลังจากถูกเลือกให้เป็นตัวแทนพรรคอย่างไร้ข้อกังขา
สื่อความหมายเป็นนัย ๆ ว่าเขาคือคนที่พระเจ้าทรงเลือก ให้มาปราบทุกข์เข็ญของชาวอเมริกัน และเหตุอภินิหารที่เมืองบัตเลอร์นี้จะถูกนำไปใช้ในการหาเสียงของทรัมป์ครั้งต่อ ๆ ไป
ทรัมป์ ขณะชูกำปั้นขึ้นฟ้าและตะโกนคำว่าสู้ ถ่ายโดยช่างภาพ Evan Vucci / งาน RNC ถ่ายโดยช่างภาพ Joe Raedle / ทรัมป์ขณะขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์ในงาน RNC Cr. The Guardian
ทรัมป์ขึ้นปกนิตยสาร TIME ฉบับเดือนสิงหาคม ปี 2024
- ความเดือดดาลและจุดเปลี่ยนทางการเมือง -
ขณะที่ชาวรีพับลิกันกำลังฉลองอย่างยินดี สถานการณ์ฝั่งพรรคเดโมแครตต้องบอกว่าหนังคนละม้วน พวกเขาอยู่ในจุดที่เพลี่ยงพล้ำและความมั่นใจตกลงอย่างหนัก เพราะโจ ไบเดน ที่เป็นตัวแทนของพวกเขา แทบไม่มีแววจะชนะทรัมป์ได้เลย เอาแค่เรื่องสุขภาพก็แพ้ขาดไปแล้วก่อนหน้านี้
นำมาสู่แรงกดดันภายในเดโมแครต จนไบเดน ต้องประกาศถอนตัวจากการลงเลือกตั้งสมัยที่ 2 และยกให้คามาลา แฮร์ริส ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดี ขึ้นมาเป็นตัวแทนพรรคไปชิงกับทรัมป์แทน
แม้แฮร์ริสมีกระแสที่ดีในช่วงแรก และผลโพลก็แสดงว่าเธอมีโอกาสชนะทรัมป์ แต่สุดท้ายมันก็ไม่เปลี่ยนอะไร
ชาวอเมริกันตัดสินใจเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ในการเลือกตั้ง 5 พฤศจิกายน 2024
ทรัมป์ชนะขาดทั้งคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) และคะแนนเสียงข้างมากจากประชาชน (Popular Vote) อีกทั้งยังกวาดชัยชนะทั้ง 7 รัฐสวิงสเตท ซึ่งเป็นตัวชี้ขาดผลเลือกตั้ง
ส่งผลให้ทรัมป์ได้กลับมาสานต่อตำนานประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของตนเอง หลังจากต้องเสียโอกาสนั้นไปในการเลือกตั้งปี 2020
โจ ไบเดน ประกาศถอนตัวจากการเลือกตั้ง Cr. Bloomberg / โดนัลด์ ทรัมป์ ที่งาน RNC Cr. The New York Times
ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าเหตุลอบสังหารครั้งนั้น เป็นปัจจัยสำคัญในชัยชนะของทรัมป์หรือไม่
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยกระดับภาพลักษณ์ของทรัมป์ให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และสร้างแรงกดดันมหาศาล ทำให้คู่แข่งต้องกระเด็นออกจากการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ความพยายามลอบสังหารทรัมป์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงอุณหภูมิการเมืองในสหรัฐฯ เวลานั้นที่แตกแยก และทะลุจุดเดือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนระเบิดออกมาผ่านเสียงปืน
มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่มาฟังทรัมป์ปราศรัยวันนั้นเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีก 2 คนจากการโดนลูกหลง
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแถลงประณามเหตุการณ์นั้น พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดความร้อนแรงทางการเมืองลง
ทั้งสองพรรคจึงเริ่มปรับแนวทางหาเสียง จากเดิมที่เชือดเฉือนและสาดโคลนกันอย่างดุเดือด กลายเป็นบรรยากาศที่นุ่มนวลและให้เกียรติกันมากขึ้น
แต่สุดท้ายความเข้าอกเข้าใจก็อยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะในที่สุดแล้ว การกล่าวโจมตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากในสนามการเมืองอเมริกัน
ทิ้งไว้เพียงคำถามสำคัญที่ว่า หลังจากหมดยุคสมัยของชายที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ การเมืองภายในสหรัฐฯ จะเดินหน้าไปสู่ความปรองดองได้หรือไม่ หรือจะหมุนกลับสู่ความขัดแย้งที่ลึกและเลวร้ายกว่าเดิม
ทิ้งคำถามสำคัญให้คนทั้งโลกได้เฝ้าดู ว่าหลังจากยุคของชายที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ การเมืองอเมริกันจะกลับไปสู่วิถีแห่งความเคารพและให้เกียรติในความแตกต่าง อย่างที่ประชาธิปไตยควรจะเป็นได้หรือไม่
หรือจะเดินหน้าสู่ความขัดแย้งที่ลึกและเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
—————
ปล. เรื่องนี้เคยถูกทำเป็นสารคดีข่าวทางช่อง PPTV36 อยู่หลายตอน ในนั้นจะรวมบทสัมภาษณ์และคำพูดของบุคคลต่างๆ ในเหตุการณ์ สามารถตามไปดูได้ที่ลิงก์นี้ครับ
โฆษณา