15 ก.ค. เวลา 02:45 • ธุรกิจ

ทางรอดของ Gen Z อาจไม่ใช่สู้ให้เก่งกว่า AI แต่สู้ให้เข้าใจตัวเอง

สรุปเรื่องราวจากพี่แท็ป รวิศ หาญอุตสาหะ ในเซสชั่น What Makes Us Valuable? จากงาน Creative Talk Conference 2025
ในวันที่ AI เก่งขึ้นทุกวัน
คำถามสำคัญไม่ใช่ “มันจะแทนเราไหม”
แต่คือ “อะไรในตัวเราที่ไม่มีใครแทนได้”
นี่คือช่วงเวลาที่มนุษย์ต้องกลับมาทบทวนว่า
คุณค่าของเรา อยู่ตรงไหนกันแน่?
การเข้ามาของ AI เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
ในอดีต การพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้ของบางอย่างที่เคยแพงมาก ถูกลง และของบางอย่างที่ไม่เคยทำได้ สามารถทำได้
แต่การมาของ AI ไม่เหมือนกับอดีต เพราะที่ผ่านมา ของที่พัฒนานั้นเป็นของที่ช่วยทุ่นแรง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะมีของที่ฉลาดกว่าเรา
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เรื่องนี้ทำงานยังไงกับเรา
ทุกเรื่องของการเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ มีวิธีเลือกปฏิบัติได้ 2 แบบ คือ แบบ 'กวาง' และ 'สิงโต'
เมื่อกวางกับสิงโตมาเจอกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทั้งคู่คือ 'ความเครียด'
กวาง เครียด เพราะเห็นสิงโต และเป็นการเครียดแบบสู้หรือหนี (Fight or Flight)
ในขณะที่สิงโตก็เครียด เพราะ ถ้าวิ่งไล่ไม่ทัน ก็จะไม่มีอาหารกิน แต่เป็นการเครียดแบบท้าทาย
และเมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีต ยุคแรก ๆ ของมนุษย์
มนุษย์เราค่อนข้างเครียดแบบกวางมากกว่า เพราะเรายังไม่รู้จักไฟ ไม่มีอาวุธ ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ เราจึงถูกสอนให้ขี้กลัวอยู่ใน DNA
ดังนั้น ถ้าเราจะอยู่ได้ เราต้องเปลี่ยนมุมมองเป็นแบบสิงโต คือมองให้เป็นความท้าทาย
"AI ก็ดูน่ากลัวอยู่แหละ แต่ฉันจะอยู่ได้บนโลกที่มี AI"
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นเร็วมาก
CEO ของ Anthropic เจ้าของ Claude.AI บอกว่า AI จะทำให้งาน 50% หายไปใน 5 ปี
ตัวอย่างว่าวันนี้ AI ทำอะไรได้บ้าง
1) สมัยก่อนการทำ 1 ฉากของภาพยนตร์ ต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก แต่วันนี้การทำวิดีโอแบบนั้นง่ายขึ้นมาก เมื่อเรามี FLOW AI เราสามารถเลือกมุมกล้องได้ เอาฉากสองฉากมาต่อกันได้ และอีกหน่อย เชื่อว่าเราอาจจะเห็นคนทำหนังออกมากันเยอะมากขึ้น
2) เราอาจไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลบางอย่างด้วยตนเองอีกต่อไป เมื่อเรามี Project Mariner เครื่องมือ AI ที่จะช่วยค้นหาข้อมูลให้เรา พร้อมบอกวิธีการค้นหาให้เสร็จสรรพว่ามันค้นหาอย่างไร เข้าเว็บไซต์ไหนบ้าง
3) การประชุม คือสิ่งที่ทำให้เราเสียเวลามากที่สุด และหลายครั้ง ที่การประชุมมักจะไม่มีประสิทธิภาพ แต่เราก็ไม่รู้จะตัดอะไรดี จึงถือกำเนิด Read AI ที่จะมี Meeting Metric สำหรับวัดประสิทธิภาพของการประชุมได้อย่างรอบด้าน เช่น ใคร Engagement ดี หรือใครไม่ค่อยสนใจ ซึ่งจะช่วยให้การประชุมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทุกครั้งที่เราค้นพบสิ่งใหม่ จะเป็นทั้ง 'โอกาส' และ 'ความเสี่ยง' เช่น ไฟ
ไม่มีใครรู้ว่าโลกอนาคตจะเป็นยังไง
ความเจริญ ความพินาศ หรือ ความร่วมมือ
ซึ่งความท้าทายคือ เราจะปรับตัวเข้าสู่ยุคที่กำลังจะมาถึงนี้อย่างไร
และ Generation ต่อไปจะทำยังไง
โดยเฉพาะ Gen Z ที่อยู่ในช่วงรอยต่อของการเติบโต และเป็นช่วงที่กระดูกยังไม่แข็งแรง
พี่แท็ปเล่าว่า ทุก Generation ถูก define ด้วยความเชื่อ เช่น แม้พี่แท็ปจะดูเหมือนทำงานเยอะแล้ว แต่พ่อแม่พี่แท็ป ก็มองว่าพี่แท็ปยังขี้เกียจ เพราะเขาเติบโตมาในยุคที่ขยันกว่านี้
ซึ่งหลายคนมักจะบอกว่า Gen Z ไม่สู้งาน ไม่อดทน
พี่แท็ปได้ลองถามเด็ก Gen Z ว่า กลัว AI จะมาแทนที่ไหม
คำตอบคือ ไม่ได้กลัว AI และไม่ได้กลัวว่างานจะยากด้วย แต่กลัวว่า ตอนนั้นเราจะพึ่งตัวเองได้หรือไม่ เราจะเก่งพอรึยัง
เพราะว่า ความเก่ง คือ ภาพของความภาคภูมิใจในตัวเอง
ตัวเราในอนาคตจะเสียใจหรือภูมิใจกับตัวเราในปัจจุบัน
Gen Z ไม่กลัวงานหนัก ไม่กลัวหมดไฟ แต่กลัวว่าทำไปแล้ว ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะดีต่อเราจริง ๆ หรือไม่
เราจะเก่งเท่าคนอื่นไหม
เราจะมีชีวิตที่ดีเหมือนคนในโซเชียลหรือเปล่า
(พี่แท็ปบอกว่า คนในโซเชียลขีวิตเขาอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้นก็ได้ เราไม่ได้เห็นเขาครบทุกมุม และเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราชอบเปรียบเทียบ)
นิยามความเก่งมันเปลี่ยนไป
ในยุคพี่แท็ป ความเก่ง คือ สกิล และ ความอดทน หรือการอยู่กับสิ่งใดได้นาน
แต่ความเก่งในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่สกิลอย่างเดียว แต่เป็นตัวตน (Identity) มากกว่า เพราะทุกวันนี้ เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานมันตัดออกจากกันไม่ได้
สมัยก่อน ตอนพี่แท็ปทำงานเด็ก ๆ เจ้านายจะดุมาก เช่น นั่งทำงานอยู่ดี ๆ เจ้านายก็ขว้างปากกาลอยมา ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนะ แต่ก็เหมือนว่าจะรับกันได้ (ยุคทองโซตัส)
กลับกันถ้ายุคนี้ มีใครขว้างปากกามา มันจะกลายเป็นกระแสทันที
ทุกวันนี้ จึงควรมองคนเป็นตัวตนมากขึ้น ไม่มองเพียงด้านเดียว มองว่าเขาชอบอะไร เข้าใจว่า hot button (จุดที่ทำให้โกรธ) และ Cold button (จุดที่ทำให้ดีขึ้น) ของแต่ละคนคืออะไร
โลกของเรามีคนอยู่หลายประเภท
เช่น Introvert, Extrovert พฤติกรรมที่เห็นได้ชัดคือ Extrovert จะพูดก่อน คิดทีหลัง ส่วน Introvert คิดก่อน พูดทีหลัง เราจึงไม่สามารถมองคนเป็น Single หรือด้านเดียวเหมือนสมัยก่อนได้อีกต่อไป
คนรุ่นพี่แท็ปมีปัญหาเรื่อง Status Quo คือ ถูกสอนมาด้วยแนวคิดที่ว่า "มันต้องเป็นแบบนี้แหละ มันถึงจะดี" โดยไม่มีคำตอบว่า แล้วทำไมต้องเป็นแบบนี้ รู้แค่ว่า ทำแบบนี้แล้วจะดี
พี่แท็ปยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น มีผู้หญิงคนนึง ทำเนื้ออบอร่อยมาก แฟนก็ถามว่า ไปเอาสูตรมากจากไหน ผู้หญิงก็ตอบว่า แม่สอนมา
แฟนถามต่อว่าแล้วทำไมจะต้องมีการตัดหัวตัดท้ายด้วย ผู้หญิงก็ตอบว่าไม่รู้
พอวันนึงแฟนผู้ชายมีโอกาสได้เจอแม่ของผู้หญิง จึงถามว่า ทำไมต้องตัดหัวท้าย มันช่วยให้อร่อยยังไง แม่ก็ตอบว่า นี่แหละคือสูตรลับของครอบครัว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพราะคุณยายสอนมา
เขาอยากรู้ต่อ เลยไปถามคุณยาย ก็ได้คำตอบเดียวกันคือ ไม่รู้ เพราะทวดสอนมา
เขาก็เลยไปถามคุณทวดต่อ จึงได้คำตอบว่า สมัยก่อนเตาอบมันเล็ก เลยต้องตัดหัวท้ายก่อน จึงจะยัดเข้าได้
พี่แท็ปบอกว่า มีคนจำนวนมากที่ทำงานบน Assumtion แบบนี้เลย คือ ไม่รู้อะ เขาบอกมา จนกลายเป็นกฎบางอย่างในบริษัท เป็นรายงานบางอย่างที่ไม่มีคนอ่าน
ดังนั้น ยุคนี้เราต้องหา Why ให้ได้ ว่าทำแบบนั้นไปทำไม
พี่แท็ปชวนตั้งคำถามต่อว่า แล้วเราสร้างองค์กรที่มีความหมายหรือยัง
ตอนนี้ คือ ช่วงเวลาที่องค์กรต้อง Re define ว่า สรุปแล้วเราจะสร้างพื้นที่ที่มีความหมายได้อย่างไร ซึ่งมีแนวทางให้ดังนี้
1) ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยเชิงความคิด
คือ พูดแล้วจะไม่ซวย Google เคยทำสำรวจภายในองค์กรแล้วพบว่า ทีมที่ดีที่สุดในโลก คือ ทีมที่มี Phsychological Safety เพราะความปลอดภัยจะสร้าง Trust ให้เกิดขึ้น
ส่วนผสมในการสร้าง Trust
Credit: พูดแล้วทำจริง มีความน่าเชื่อถือ เช่น สัญญาว่าจะส่งงานวันที่ 30 ก็ต้องส่งวันที่ 30
ความคุ้นเคย: เวลาเจอคนในทีม เรายิ้มทักทายเขาบ้างมั้ย จำชื่อได้หรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่างานอดิเรกที่เขาชอบคืออะไร
ความปรารถนาดี: เวลาเราคุยกับอีกคน เรารู้หรือป่าวว่าพี่คนนี้เขาปรารถนาดีกับเรา คือ อยากให้เราได้ดี
โดยต้องมีทั้ง 3 อย่างนี้ จึงจะสร้าง Trust ให้เกิดขึ้น
ถ้ามีเครดิต มีความคุ้นเคย แต่ไม่มีความปรารถนาดี คือ เรารู้ว่าพี่คนนี้เก่งมาก และพอมีเซนส์ว่าพี่คนนี้น่าจะชอบเลี้ยงแมว แต่เราไม่รับรู้ถึงความปรารถนาดีเลย ทำให้เราไม่ไว้ใจว่าพี่คนนี้จะมาไม้ไหน
มีเครดิต มีความปรารถนาดี แต่ไม่มีความคุ้นเคย เราก็จะไม่กล้าพูดด้วยความเกรงใจ (ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ)
ถ้ามีความคุ้นเคย มีความปรารถนาดี แต่ไม่มีเครดิต เราก็จะสงสัยว่าพี่คนนี้จะพาเราให้ดีขึ้นได้หรือเปล่า หรือจะฉุดรั้งเราลง
2) เวลาจะให้ใครทำอะไร บอกเป้าหมายด้วยว่าทำไปทำไม และเป็นสิ่งที่หัวหน้าต้องตอบได้
3) ต้องบาลานซ์ ชีวิตทุกวันนี้มีการ Trade off เราทำงาน work from anywhere ได้ เช่น เวลาไปเที่ยว ถ้าประชุมสำคัญบางทีเราก็ต้องเข้า ถึงเขาจะไม่ได้บอกว่าต้องเข้า แต่เข้าก็ดี ฉะนั้น ต้องรับรู้ว่า สภาพการทำงานได้เปลี่ยนไปแล้ว
พี่แท็ปพึ่งได้ไปคุยกับ ผอ. ของสำนักงานการบินพลเรือนมา เขาบอกว่า
คุณรู้มั้ยว่า จริง ๆ แล้ว เครื่องบินขนาดใหญ่ สามารถบินขึ้น-ลงได้เองตลอดทาง แต่สมมติว่า วันนี้เรากำลังจะบินจากกรุงเทพไปนาริตะ แล้วกัปตันบอกว่า วันนี้ผม Work from home นะครับ เราจะรู้สึกยังไง เราก็คงจะไม่ไว้ใจเท่าไหร่นักใช่หรือไม่
หรือแม้กระทั่ง ในต่างประเทศที่มีการพัฒนา Taxi Drone ขึ้นมา สามารถนั่งได้ 4 คน แต่พอไปทดลองจริง ๆ คนก็ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ต้องมีคนที่สามารถควบคุมได้ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ไปนั่งด้วย ถึงจะโอเค
อย่างไรก็ตาม สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เราไม่ได้กลัวมากนัก เพราะเรารู้สึกว่า มันยังอยู่ติดกับพื้นดิน ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราสามารถควบคุมได้นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ AI จะเก่ง แต่เราเองก็ต้องหาให้เจอว่า AI ทำอะไรไม่ได้บ้าง คุณค่าของเราอยู่ตรงไหน
มีคนเคยถามพี่แท็ปว่า การโปรโมทคนคนนึง อะไรที่ทำให้เขาขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งขององค์กรได้
ซึ่งความเก่งคือสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ "ความไว้วางใจ" พูดอย่างไร สัญญาอย่างไร ทำอย่างนั้น
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรต้องช่วยพนักงานหาคุณค่าว่างานที่ทำอยู่ คุณค่าของงานนั้นคืออะไร
พี่แท็ปเคยมีน้องพนักงานบัญชีคนนึงที่ Performance ไม่ดี หัวหน้าไม่ชอบ แต่เมื่อถึงเวลามีงานเลี้ยง น้องคนนี้มักจะเป็นพิธีกร ชวนเล่าเรื่อง ได้เก่งมาก
เลยนั่งคุยกับน้องอย่างจริงจังว่า ชอบทำอะไร แล้วทำไมถึงมาเป็นพนักงานบัญชี น้องก็ตอบว่า "หนูจบบัญชีมา ไม่รู้จะทำอะไรจึงมาทำงานบัญชี แต่จริง ๆ หนูเป็นคน Out เพราะหนูชอบเล่าเรื่อง"
พี่แท็ปจึงได้ไปปรึกษากับหัวหน้าของน้องคนนั้นว่าจะทำยังไง จนเจอว่ามีพื้นที่นึงที่น้องน่าจะทำได้ดี คือ เวลาแผนกอื่นมาคุยกับแผนกบัญชี มักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงให้น้องเป็นเหมือนโฆษกของแผนกบัญชี เป็นล่ามคอยแปลให้ฝ่ายอื่นทำงานกับแผนกบัญชีรู้เรื่อง กลายเป็นว่าเวิร์ค และน้องสามารถทำงานได้โดดเด่นมาก
ดังนั้น เวลาเราเห็นคนคนนึงที่ Performance ไม่ดี เราอาจจะมองว่า คนคนนี้ไม่มีความสามารถ แต่บางทีอาจต้องย้อนถามว่า เราจัดเวทีให้เขาอยู่ถูกที่หรือเปล่า
ให้โอกาส ให้คำปรึกษา ให้พื้นที่ทดลอง
แล้วคุณค่าอะไรที่จะทำให้เราไม่ถูกแทนที่ รวมถึง จะสามารถขยายคุณค่าเพื่อส่งต่อให้คนอื่นได้อย่างไร
พี่แท็ปบอกว่า เราต้องหา PVP หรือ Personal Value Proposition ของเราให้เจอ ผ่านคำถาม
1) เราทำดีเรื่องอะไร
2) เราให้ความสำคัญกับอะไร
3) คนอื่นจะได้รับอะไรจากเรา
Robert Lang เป็นนักฟิสิกส์มากความสามารถ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาหลงใหลมาตลอดคือ “การพับกระดาษ Origami”
แม้จะทำงานสายฟิสิกส์มาตลอดชีวิต แต่เมื่ออายุย่างเข้าเลข 4 เขากลับเริ่มตั้งคำถามว่า
“เราจะอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า?”
เพราะเขารู้ว่า ในวงการฟิสิกส์ก็มีคนเก่งกว่าเขาอีกมากมาย ในวงการพับกระดาษ ก็มีคนที่เก่งกว่าเขาเช่นกัน แต่สิ่งที่เขามี คือ “การเป็นนักฟิสิกส์ที่พับกระดาษได้เก่งมาก” ซึ่งอาจจะมีแค่เขาคนเดียวในโลก
เขาตัดสินใจลาออกจากงานนักวิทยาศาสตร์ แล้วมาเปิดบริษัทออกแบบของตัวเอง
หลังจากนั้นบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ได้เข้ามาปรึกษา Robert Lang เพราะพวกเขามีปัญหา “พับถุงลมนิรภัย (Airbag) ใส่ลงในเสารถไม่ได้” Robert จึงใช้หลัก Origami ผสานกับฟิสิกส์ ช่วยพับ Airbag ขนาดใหญ่ให้เล็กลงจนพอดีกับเสารถ และสามารถใช้งานได้จริง
NASA เองก็เคยมีปัญหาใหญ่ เพราะพวกเขาต้องการส่งกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล 6 สนาม ขึ้นไปสู่อวกาศ แต่ติดปัญหา "มันใหญ่เกินกว่าจะใส่ในจรวดได้"
Robert Lang จึงถูกนาซ่ามาขอคำปรึกษา และเขาก็ใช้ Origami แบบเดียวกันนี้ พับกล้องยักษ์ให้เล็กลง จนสามารถใส่ในจรวด และกางออกเมื่ออยู่ในอวกาศได้สำเร็จ
สุดท้ายแล้วความท้าทายของโลกอนาคต จึงอยู่เพียงว่า เราเลือกมองมันยังไง จะหนีแบบ "กวาง" หรือจะลุกขึ้นสู้แบบ "สิงโต"
ตัวตนของเราเป็นแบบใด เป็นกำลังใจให้ทุกคนเจอพื้นที่ของตัวเองนะครับ:)
โฆษณา