Blockdit Logo (Mobile)
WorldScope
•
15 ก.ค. เวลา 05:00 • ข่าวรอบโลก

🇹🇭 “หมูแลกทุกสิ่ง”: เปิดทางเนื้อหมูสหรัฐฯ ภาษี 0% เสี่ยงพังทั้งห่วงโซ่อาหารไทย

🇺🇸 US Pork vs Thai Farmers: Kasikorn Research Warns of 112 Billion Baht Fallout
🐷 “ดีล 0% ภาษี” ที่อาจแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เกษตรไทย
ท่ามกลางการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ที่กำลังเข้มข้น “หมู” กลายเป็นตัวประกันที่มีเดิมพันสูงกว่าที่หลายคนคิดไว้ จากคำเตือนของศูนย์วิจัยกสิกรไทย หากไทยเปิดทางให้หมูจากสหรัฐฯ เข้าตลาดแบบไร้ภาษี อาจต้องแลกกับความเสียหายถึง 112,330 ล้านบาทต่ออุตสาหกรรมหมูในประเทศ
📉 ต้นทุนไม่เท่ากัน = แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
หมูจากสหรัฐฯ มีต้นทุนเฉลี่ยเพียง $1.70/กก. ขณะที่หมูไทยอยู่ที่ $2.30/กก. นั่นหมายถึงเมื่อปลดล็อกภาษีนำเข้า หมูสหรัฐฯ จะทะลักเข้าตลาดไทยในราคาต่ำกว่าตลาดในประเทศอย่างมาก เกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็น 97% ของผู้เลี้ยงหมูไทยกว่า 149,000 ราย อาจต้องเผชิญกับภาวะ “เลิกกิจการถาวร”
🌾 Ripple Effect: เส้นเลือดฝอยทั้งระบบอาหารไทยจะกระทบหนัก
📌 เกษตรกรพืชอาหารสัตว์ – การลดลงของความต้องการเลี้ยงหมูจะส่งผลต่อเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด รำข้าว ข้าวหัก กระทบถึง 5 ล้านครัวเรือน รายได้ลดฮวบทันที
📌 โรงฆ่าสัตว์ – ผู้ค้าปลีกเนื้อหมู – หากหมูจากสหรัฐฯ เข้าตลาดในรูปแบบ “พร้อมปรุง” จะทำให้ธุรกิจเชือดและแปรรูปภายในประเทศถูกลดบทบาท
📌 ผู้บริโภค – แม้อาจได้หมูราคาถูกลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวความปลอดภัยทางอาหารจะกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากหมูจากสหรัฐฯ มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง (Beta-Agonists เช่น Ractopamine) ที่ถูกห้ามในไทย
🚨 “สารเร่งเนื้อแดง”: ราคาถูกที่แลกด้วยสุขภาพคนไทย
สาร Ractopamine อาจก่อให้เกิด อาการสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ หรือแม้แต่เนื้องอกในระบบสืบพันธุ์หญิง ซึ่งกระทบโดยตรงต่อ เด็ก คนชรา หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคหัวใจ-เบาหวาน การเปิดทางให้สารนี้ผ่านเข้ามาในระบบอาหาร อาจเป็นวิกฤตเงียบที่รัฐไทยยังประเมินต่ำเกินไป
📈 แรงกระเพื่อมถึงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย: ไม่ใช่แค่หุ้นหมูที่สั่นสะเทือน
🔴 TFG (ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป) – ธุรกิจหลักคือการเลี้ยงหมูและไก่ หากหมูจากสหรัฐฯ เข้าตลาดในราคาต่ำ จะกระทบรายได้ตรงทันที
🔴 CPF (เจริญโภคภัณฑ์อาหาร) – แม้เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มี Supply Chain กระจาย แต่ส่วนธุรกิจหมูในไทยอาจถูกแรงกดดันด้านราคาจากเนื้อหมูนำเข้า
🟠 NER (นอร์ทอีส รับเบอร์) – แม้ดูเหมือนอยู่ในธุรกิจยาง แต่ลูกค้าหลักจำนวนมากคือเกษตรกรที่ต้องใช้ยางในระบบฟาร์ม หากฟาร์มปิดตัว กำลังซื้อจะหายไป
🟠 SNNP (ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง) และ 🟠 OSP (โอสถสภา) – หากรายได้ประชากรในชนบทลดลงตามการปิดตัวของฟาร์มและผลผลิต Feed Crop ราคาตก กลุ่ม FMCG อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากกำลังซื้อที่ลดลง
🟡 KSL (น้ำตาลขอนแก่น) – ในฐานะผู้ผลิตกากน้ำตาลและวัตถุดิบอาหารสัตว์ส่วนหนึ่ง หากความต้องการอาหารสัตว์ลด อาจต้องปรับโมเดลธุรกิจ
🟡 RBF (อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย) – มีส่วนในกลุ่มผลิตวัตถุดิบอาหารและเครื่องปรุงรส หากตลาดหมูสะดุดก็อาจโดนกระทบต่อเนื่องจากภาค Downstream
🟡 DOD (ดีโอดี ไบโอเทค) – จำหน่ายวัตถุดิบผลิตอาหารเสริม หากประเด็นสุขภาพจากเนื้อหมูสารเร่งเนื้อแดงกระพือแรง อาจเกิดดีมานด์อาหารเสริมที่ “Clean” มากขึ้น เป็นโอกาสสวนกระแส
🔍 แล้วกลุ่มไหน “อาจได้อานิสงส์” ท่ามกลางวิกฤตนี้?
✅ MEGA (เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์) และ ✅ PR9 (โรงพยาบาลพระรามเก้า) – ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอาจได้แรงหนุนจากความกังวลด้านความปลอดภัยอาหาร
✅ ASIAN (เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น) – บริษัทที่มีการผลิตอาหารสัตว์ทะเลและอาหารแช่แข็ง ซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออก อาจได้รับประโยชน์ทางอ้อมหากผู้บริโภคไทยลดการบริโภคหมู
📊 บทเรียนจากเบื้องหลังดีลการค้า: เมื่อ “ราคา” ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของประเทศ
แม้การลดภาษีดูเหมือนเป็น Win-Win ในทางเศรษฐกิจ แต่ในเชิงโครงสร้างกลับเป็นการเปิดช่องให้ภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานความมั่นคงของประเทศต้องเผชิญความเสี่ยงมหาศาล และการสูญเสีย "อธิปไตยทางอาหาร" อาจยากจะเรียกกลับคืน
💬 คุณคิดว่าไทยควรเปิดตลาดเนื้อหมูให้สหรัฐฯ หรือควรปกป้องเกษตรกรและผู้บริโภคในประเทศ?
แสดงความคิดเห็นของคุณในทุกมิติเพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่สมดุลยิ่งขึ้นได้เลยค่ะ
📌 Hashtags:
#ศึกโลกเศรษฐกิจ #BattleOfEconomies #เกษตรกรไทย #สงครามภาษีหมู #USporkDeal #อธิปไตยอาหาร #StockAtlasAnalysis #หุ้นไทย #FoodSecurityCrisis #RactopamineRisk
📎 Reference: The Nation Thailand

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา