Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
twilight12/2.1
•
ติดตาม
16 ก.ค. เวลา 05:24 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
บักเจมส์ เชิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดกับเรา ในแผนที่โลกของเขาในศตวรรษที่19 ???(4.6)
ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยาออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal)
มหากาพย์รามายณะ หรือ รามเกียริต์ คาดกันว่า เกิดจากการแต่งของชาวอารยัน-นอร์ดิกที่อพยพลงมาในอินเดียสมัยหลัง เพื่อจะขับไล่ชาวดราวิเดียนลงไปให้อยู่ทางภาคใต้ของอินเดีย ปัจจุบัน คือ ชาวมิลักขะ
นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน (ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้) ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht)
บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า “เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา” รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City) คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
เช้านี้ คุณนันนี่เก๋ไก๋สไลด์แฮร์ ถามคำถามกับผม แต่ว่าผ่านล่ามพลังจิต ที่เขาบอกว่า มันคือคนของเขา คุณลองพิจารณาคำถามนานาของเขานะครับ ว่าเขาถามเพื่อใคร?และถามไปให้?(จะลอบเอาไปเขียนหนังสือแบบผมรึป่าวนะ???)
1) เอารูปพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากมาลงทำไม??
2) เอารูปซากเมืองกบิลพัสดุ์มาลงทำไม???
3)กินกล้วยทำไม ไม่กินข้าวทำไม?
4) ทำไมต้องให้ไม่เป็นชาวอารยัน ??
5) เขียนนิยายประจานเค้าและพวกเขาทำไม??
อันนี้ เท่าที่ผมจำได้นะครับ วันนี้ผมสังเกตแล้ว เขาถามมากกว่านี้ แทบจะทุกๆชั่วโมงเลยล่ะ สงสัยเหมือนกับต่อแต่ม คือเฝ้าหน้าจอมือถือผมไม่ห่างเลย เปรียบเหมือน หญิงสาวแอบหลงรักบุรุษอย่างนั้นเลย ทำไมถามถี่จังเลยครับเนี่ย???
คุณผู้อ่านลองสังเกตและทบทวน คำถามของเขาหน่อยครับ ว่ามันดูแปลกๆ น่าสงสัยรึเปล่า ว่าทำเพื่อใคร ข้อ 4) แล้วไปดูข่าวในเวลานี้สิครับ???
https://www.dailynews.co.th/news/4917949/
ข่าวในลิ้งค์ข้างต้น กับคำถามข้อสี่ของพี่นันกับคนอื่นๆ พอจะหายสงสัยได้บ้างไหมครับ ถ้าไม่หายกัน ผมจะไล่ไปทำ webull Thailand กันเลย กลุ่มนี้ อย่าลืมนะครับ ถามคำถามผ่านล่ามไปด้วย และก็เทรด webull Thailand ไปด้วย จะได้เงินได้ทองเอามาใช้กัน เอามาพัฒนาและกระจายรายได้ให้ประเทศของเรา
ผมรู้ว่า พี่นันเห็นใจและนึกโทษตนเองอยู่จิตใจหนึ่ง ที่มีส่วนทำให้หญิงสาวพยาบาลที่ผมแอบชอบ ที่มีชื่อเล่นว่า จิ๋ว คนนั้น ต้องไปมีชายคนอื่น แถมยังหวงพื้นที่บล้อกดิชอีกด้วย พี่นัน ก็มีพื้นที่ของพี่นันแล้วนินา ในตัวริว และเหล่าเอ็น เหม็นทั้งหลาย มากกว่าผมตั้งเยอะแยะ
แต่ผมว่า ความรู้สึกอย่างแรกของพี่ เป็นแต่เพียงการแสดงเท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้น้ำเสียงโศกเศร้า เห็นใจผมหรอก
ทำไมพระพุทธเจ้าของเรา ถึงไม่ควรใช่ชาวอารยันฝรั่ง?หรือเป็น ?ลองพิจารณากันที่
เริ่มจากเวบไซต์นี้เลยครับ เวบแรก
https://www.dek-d.com/board/knowledge/2
รบกวนคุณพี่นัน อย่าถามคำถี่มากนะครับ ช่วงนี้ มันดูน่าสงสัยเกินไปสำหรับตัวพี่นัน (และต่วมด้วย)
ผมกลัวว่า เดวพวกเขมรจะลอบมาได้ยินเข้าน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก สมัยนี้ พวกเขมรก็อ่านภาษาไทยออกนะครับ ขอบอก ภาษาเขมรก็เมื่อสักครู่นี่ไงครับ บล้อกข่าวที่แล้ว "เมืองมคธ"ของพระเจ้าอชาติศัตรู เมืองนี้ล่ะ ที่ได้มีการประดิษฐ์ภาษามคธ ซึ่งต่อมา วิวัฒนาการกลายมาเป็นภาษาเขมร และเราเอามาประดิษฐ์ดัดแปลงจนกระทั่งกลายเป็นภาษาไทยในปัจจุบันในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
แล้วเมืองมคธที่อินเดีย มันอยู่บริเวณไหน ?? ขนาดกรุงกบิลพัสดุ์ที่อินเดียเวลานี้ ยังไม่ทราบว่าคือสิ่งใดกันแน่ กับภาพซากปรักหักพังที่เห็นๆในเวลานี้??
รบกวนคุณนันกับคุณแต่ม อย่าถามแทนผมนะครับเวลานี้ ถ้าจะถาม ก็รบกวนไปถามที่เพจของคุณเอก ธนบดีโน่นเลย รึเข้าณานไปถามหลวงตามั่นก็ได้ แล้วแต่ถนัดครับ
https://www.dek-d.com/board/knowledge/2
ในเวบเพจนี้ ให้ความเห็นสรุปลงไปเลยว่า พระพุทธเจ้าของเราเป็นชาวมองโกลลอยด์ ที่ไม่ใช่ชาวอิหร่านนะครับ
แต่เมื่อพิจารณาแล้วอ่านไปอ่านมา ก็มีทั้งแฝงชาวทิเบโต -มองโกลลอยด์ คือนักรบมงโกลและชาวรัสเซีย และคล้ายๆไปทางกับชาวอารยันที่เป็นอาร์เมนอยด์หรือแขกเปอร์เซียอิหร่านด้วย อย่างไรก็ตาม ล้วนไม่ใช่ความจริงทั้งสองอย่าง
ในย่อหน้าแรกเลย จากเวบเด็กดี ผู้เขียนพิจารณาแล้ว ในความเห็นของเขา พระพุทธเจ้าของเราคือ ชาวทิเบโต-มองโกลลอยด์ครับ ที่อพยพลงมาจากทะเลสาบไบคาล
ทะเลสาบไบคาลนี้อยู่ในไซบีเรีย เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ชนเผ่ามงโกล
เป็นเผ่านักรบเร่ร่อน ต่อมาก็ได้อพยพหนีหนาวลงมาอยู่ในอินเดียทางใต้ และได้ตั้งรกรากอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยจนถึงปัจจุบัน ในข้อความที่สองของย่อหน้าแรก เขาใช้คำว่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อาจตีความได้ว่า กลุ่มนี้น่าจะอพยพลงมาอยู่ที่อินเดียทางบริเวณภาคเหนือในปัจจุบันนี้ก่อนหน้าชาวอารยันอาร์มินิดหรือเปอร์เซีย และชาวอารยันนอร์ดิก รวมถึงอารยันเมอร์ดิเตอร์เรเนียน
นะครับ มีอารยันหนึ่งกลุ่มนี้จากสามกลุ่มนี้ คือที่ได้อพยพมาจากเมดิเตอร์เรเนียน ที่ได้อพยพลงมาในช่วงราวๆ11,700BC (ตามตำราว่าไว้) เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลายกลายเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเล,มหาสมุทรต่างๆแล้ว สภาพภูมิอากาศในขณะนี้น่าจะเริ่มอบอุ่นจนเกือบร้อนอบอ้าว ส่วนผู้เขียนในเด็กดีท่านนี้ เขาบอกถึงสาเหตุว่า พวกชาวมงโกลเหล่านั้น ได้อพยพหนีหนาว
ซึ่งทั้งสองสภาพภูมิอากาศนั้นต่างกันลิบมาก เมื่อราวๆ11,700BCนั้น อากาศคงจะมีลักษณะอบอุ่นและร้อนเพราะน้ำแข็งได้เริ่มละลายลง ส่วนในบทความนี้ กล่าวว่า ชาวมงโกลเหล่านั้น ได้อพยพเพราะสภาพอากาศหนาวเย็น ลงมาทางด้านใต้ จนกระทั่งเข้ามา
ยุคมหาทวีปที่ยังติดต่อกัน ที่เรียกว่า มหาทวีปแพนเจีย เริ่มขึ้นในราวๆ335ล้านปี BC และเริ่มแยกออกจากกัน เมื่อราวๆ175ล้านปี BC
ตั้งรกรากอยู่ในอินเดียทางภาคเหนือปัจจุบัน แสดงว่าชนเผ่าทั้งสองกลุ่มนี้ ต้องเป็นคนละเผ่ากัน และมาอยู่ที่อินเดียในช่วงเวลาที่แตกต่างกันด้วยครับ โดยอาจเรียงลำดับเวลาไปตามลำดับ ดั่งนี้ ครับ 1) ชาวอารยันที่อพยพมาจากบริเวณทะเลสาปดำ และ ทะเลเมดืเตอร์เรเนียน 2) ชาวอารยันที่เป็นชาวอาร์มินิดส์ ที่ได้มาจากเอเชียกลาง ทะเลสาปแคสเปียน และอิหร่าน และ 3) อารยัน -นอร์ดิก
โดยในข้อ1)และ ข้อ2) น่าจะเป็นกลุ่มชาวอารยันที่ได้อพยพมาในช่วงเวลายุคโฮโลซีน คือ เมื่อราวๆประมาณ11,700BC แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาทั้งหลายจะเป็นชาวเกาะแอตแลนติส ที่มีที่ตั้งอาณาเขตอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนใกล้ๆบรืเวณประเทศกรีกหรอก เพราะนั่นก็น่าจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นเช่นกัน ส่วนในข้อ3) น่าจะเป็นอารยันที่อพยพในสมัยใกล้กับยุคปัจจุบันมากที่สุด
และในบทความนี้ ได้เกิดประเทศมองโกเลียเกิดขึ้นด้วยนะครับ ซึ่งก็เห็นความผิดปกติและขัดแย้งกันในบทความของเขา กับคำว่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์
แต่ในข้อเท็จจริงที่เราทราบนั้น คือ การเป็นประเทศมองโกลเลียนั้น เริ่มประมาณ ปีค.ศ. 1206 หรือ เมื่อ พ.ศ.1749 นี่เอง ซึ่งไม่ใช่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แต่อย่างใด แต่เรียกยุคประวัติศาสตร์
ในเวลานี้ ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า ชาวทิเบโต- มองโกลลอยด์กลุ่มนี้ในบทความเด็กดี ที่ได้อพยพลงมาอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดียบริเวณเชิงเขาหิมาลัยแล้วในปัจจุบันนี้นั้น น่าจะเป็นกลุ่มชาวอาร์เมนอยด์ ที่เป็นแขกเปอร์เซีย อิหร่านมากกว่าที่จะเป็นชาวจีนหรือชาวมงโกล
เพราะช่วงเวลาดังกล่าว น่าจะพ้นผ่านยุคโฮโลซีนมาแล้ว คือเมื่อ11,700 BC ลงมา คือ ในปีพ.ศ. 1749 ซึ่งมันมิใช่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์แต่อย่างใด
แสดงว่าในบทความเด็กดีชิ้นนี้ น่าจะเป็นบทความอีกชิ้นนึงที่ถูกลวงโดยพวกนักวิชาการตะวันตก เกี่ยวกับชาวทราวิฑและท้าวสักกะ
เมื่อได้อพยพลงมา ก็ได้สมรสขยายเผ่าพันธุ์กันเอง อันเป็นที่มาของคำว่า "สายเลือดมงโกลบริสุทธิ์" ในบทความ ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องมิจริง ผู้เขียนเด็กดีท่านนั้น มองว่า พวกเขาคือบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ผู้มีวรรณะหรือผิวสีกายเป็นสีทอง มิใช่สีขาวอย่างพวกอารยันฝรั่งเค้า (เพียงแต่เป็นชาวอารยันอาร์มินิดส์)
ข้อความอ่านมาถึงบริเวณนี้ ผู้เขียนบล้อกคิดว่ามีความถูกต้องเพียงครึ่งหนึ่ง ยังไม่ชัดเจนนัก และยังไปขัดแย้งกันกับประโยคด้านล่างครับ ที่ระบุว่า ฤาษีกปิละ เป็น"นักปราชญ์ชาวมงโกล"
ผู้ ก่อตั้งลัทธิ “สางขยะ” ทฤษฎีของลัทธิสางขยะนั้นมีหลักการโดยย่อว่า “เพราะ จิตที่เที่ยงไปถูกกักขังอยู่ในกายที่ไม่เที่ยง มันจึงดิ้นรนก่อให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ดังนั้นต้องหาวิธีปฏิบัติ เพื่อแยกจิตออกจากกาย ด้วยการเพ่งจิตไปยังรูปเรียกว่า “รูปฌาน” มี ๔ ขั้น และเพ่งจิตไปยังสิ่งที่ไม่มีรูปเรียกว่า “อรูปฌาน” อีก ๔ ขั้น รวมกันเป็น ฌาน ๘ เรียกว่า “วิชาโยคะ” ซึ่งเมื่อกำลังเข้าฌานอยู่ ร่างกายก็ไม่รับรู้ความทุกข์ความเดือดร้อนได้ชั่วขณะ
แต่พอออกจากฌานแล้ว ก็ยังมีความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่อีก” ลัทธิสางขยะนี้ แพร่หลายมาตามแถบเชิงเขาหิมาลัย ผู้ปฏิบัติลัทธินี้ได้แก่พวกโยคีต่างๆ เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าทรงเสด็จบรรพชาออกแสวงหา สัจธรรม ก็ได้เข้าไปรับการศึกษาจากอาฬารดาบสและอุทกดาบสจนจบหลักสูตรฌาน ๘ แต่ก็ทรงเห็นว่ายังไม่ใช่วิธีดับทุกข์สิ้นเชิงดังที่เราได้ทราบกันมาบ้าง แล้ว
ต่อไป เขาก็ใช้คำว่า นักปราชญ์มองโกลอีก กับท่านฤาษี "ปาระศวนารท" ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิ"ไชนะ" ที่แปลว่าชนะ คำพวกนี้ ตลอดจนหลักการ วิธีการทำสมาธิ ทำณานต่างๆ มีโยคะ มีโยคี ต่างๆอะไรพวกนี้ น่าจะเป็นพวกพราหมณ์ฮินดูมากกว่านะครับ ที่สอนสั่งและตั้งลัทธิ ไม่น่าจะใช่พวกที่มาจากเอเชียกลาง อย่างจีน รึมองโกลเลีย รึแขกอาหรับ (อิหร่าน) รีแม้กระทั่งกับรัสเซียเลย
แต่เขาอาจจะใช้คำกว้างๆก็ได้ ว่า นักปราชญ์ชาวมงโกล ก็น่าจะหมายถึง ผู้มีความรู้ยิ่งที่เป็นเผ่าพันธุ์มองโกลลอยด์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์คอเคซอยด์ ซึ่งถ้าเขาหมายถึงสิ่งนี้ ก็น่าจะสรุปได้ถูกต้องที่ว่า ฤาษีกปิละ คือนักปราชญ์ชาวมงโกล
แต่ไม่ใช่เจาะจงว่าคือชาวทิเบโต-มองโกล ที่อพยพหนีหนาวมาจากที่ราบไซบีเรียแต่อย่างใด (ซึ่งในเวบนี้ ผู้เขียนก็มีความหมิ่นเหม่ว่าจะ หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์อาร์เมนอยด์ ที่เป็นชนชาวอิหร่านด้วยนะครับ กับคำว่า มงโกล ซึ่งผู้เขียนสรุปเลยว่าน่าจะใช่ชาวอาร์เมนิดส์)
และก็มีชาวทิเบโต-มองโกล จำนวนหนึ่ง อพยพลงมาอยู่อินเดียก่อนทางภาคเหนือ ก่อนอารยันทั้งสามกลุ่มสักพักใหญ่ๆด้วย ถ้าหากเราจะวิเคราะห์จิตวิทยาในเชิงพฤติกรรม (ชาวอารยันสามกลุ่มนั้น คือ อิหร่านเปอร์เซีย, อาร์มินิดส์, อารยัน-นอร์ดิก)
และถ้าเราลองวิเคราะห์ คำว่า หนีอากาศหนาว ในบทความ ก็อาจจะหมายถึง การอพยพหนีในโลกที่ยุคเมื่อน้ำแข็งเริ่มละลายกลายเป็นน้ำจืดด้วยก็ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นๆ หลังจากยุคโฮโลซีนผ่านพ้นไป สภาพอากาศก็คงจะหนาวเพราะน้ำจืดมีปริมาณมากขึ้นบนโลกอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะใช้คำว่า อพยพหนีหนาวได้
แต่มิน่าจะอยู่ในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพราะขัดกันกับการเกิดของประเทศมองโกลเลียในบทความ หากเราพิจารณาจากตัวเลขพ.ศ.
พระพุทธเจ้าของเราก็น่าจะเป็นชาวมงโกลลอยด์พื้นถิ่นแถวนั้นนั่นล่ะ แต่ไม่น่าจะเป็นชาวทิเบโต - มองโกลลอยด์ หรือชาวอาร์เมนอยด์นะครับ ไม่ได้อพยพลงมาจากที่ราบไซบีเรียแต่อย่างใด
แต่อาจจะอยู่ที่อินเดียนานก่อนแล้วทางตอนเหนือแถบนั้น ชาวอาร์เมนอยด์ต่างหาก ที่ได้อพยพลงมาอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ของพระพุทธเจ้าที่อาศัยอยู่ที่อินเดียมาอยู่ก่อนนานแล้วเป็นเวลาอันช้านาน อันเรียกว่า ชาวมองโกลลอยด์พื้นถิ่นนั่นเองครับ
ผู้เขียนเด็กดีท่านนั้น กล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้น อันจะเป็นบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้าของเราในอนาคต ได้ตั้งเมืองขึ้นมาสี่เมืองที่บริเวณภาคเหนือของอินเดีย คือ
แคว้นสักกะมีเมืองหลวงชื่อกรุงกบิลพัสดุ์ , แคว้นโกลียะ เมืองหลวงชื่อกรุงเทวท-หะ , แคว้นวัชชีเมืองหลวงชื่อกรุงไพศาลี และแคว้นมัลละเมืองหลวง ๒ แห่งคือปาวา และ กุสินารา ซึ่งแคว้นทั้ง ๔ นี้เป็นแคว้นเล็กๆที่ขึ้นอยู่กับแคว้นใหญ่คือแคว้นโกศล
ชื่อของเมืองก็เป็นบาลี สันสกฤตื ไม่ใช่ภาษาของพวกคนจีน มองโกล หรือว่าแขกอาหรับแต่อย่างใด (มีสมาธิ์ มีสนธิคำ) มันจะต้องเข้าใจผิดอะไรสักอย่างในความคิดของเขา แต่เมื่อมาลองพินิจโดยใช้หลักจิตวิทยาการกระทำ เราจะเห็นความจริงอย่างแรกเลยว่า การที่ชาวทิเบโต - มองโกลลอยด์ (รึชาวมงโกล ในบทความเขา) สามารถที่จะตั้งเมืองใหญ่ๆและกลายเป็นเมืองสำคัญต่างๆในอินเดียเวลาต่อมานั้น
และบรรดาสี่เมืองนี้ เป็นเมืองของพระพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้าด้วยถึงสองเมือง คือ กบิลพัสดุ์และเทวะทหะ แสดงว่า พวกทิเบโต - มองโกลลอยด์ที่อพยพมาจากแถวๆไซบีเรียนั้น (ในบทความ) อพยพมาอยู่ก่อนพวกอารยันทั้งสามกลุ่มนานมากพอสมควรเลยทีเดียว
และเมื่อก่อนจะตั้งเมืองทั้งสี่นี้ ก็ไม่ได้ระบุว่า ได้ทำสงครามรบพุ่งกับชนกลุ่มใดเลย โดยเฉพาะกับชนพื้นเมืองที่ได้อาศัยอยู่ก่อน
เขากล่าวว่า บรรพบุรุษของพระองค์ ที่ได้อพยพมาในคราครั้งนั้น ทรงมีวรรณะสีทอง และชาวอาร์เมนอยด์ ก็มีสีผิวออกเหลืองๆขาวๆเฉกเช่นกัน แต่ตอนหลัง กลับถูกเหยียดลงไป ให้กลายเป็นชาวมิลักขะอีก พระพุทธเจ้าจะให้กลายเป็น ชาวมิลักขะ ที่มีผิวพรรณดำๆแดงๆ แทนหรือ?ก็มิน่าจะใช่
ดังนั้น ผู้เขียนบล้อก จึงขอสรุปเอง ในความหมายของเขาคือ ชาวอาร์เมนอยด์นะครับ
ที่มีสีผิวออกเหลืองๆทองๆ แต่เมื่อชาวอารยัน-นอร์ดิก อันเป็นกลุ่มท้ายสุดของอารยันที่เข้ามายังอินเดีย ก็จัดการขับไล่พวกอารยันอาร์มินิดส์ลงไป ให้ไปอยู่อาศัยที่บริเวณด้านใต้ของประเทศ ให้ไปรวมกับชาวทราวิฑอันเรียกว่า กลุ่มชนชั้นจัณฑาล
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เราอาจจะเห็นในหลายๆวบเพจที่ถูกล่อลวง ได้อธิบายเกี่ยวกับชนชาติว่าชาวอาร์เมนอยด์ที่เคยอาศัยอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดีย คือชาวทราวิฑหรือชาวดราวิเดียน
แต่ในความแปลกของบทความ ที่ไม่มีการรบพุ่งกัน กับชนพื้นเมือง เมื่อชาวทิเบโต-มองโกลลอยด์ได้อพยพมา แต่มองดูอีกที ก็ไม่น่าสงสัยนัก เพราะว่าเมืองทั้งสี่นั้น ไม่ใช่ชนเผ่านี้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นมา แต่ว่าน่าจะเป็นฝีมือของชนพื้นเมืองของอินเดีย ที่มาอาศัยอยู่ก่อนนั้นตั้งนาน จะสังเกตชื่อของเมือง ก็เป็นบาลี -สันสกฤติ เป็นภาษาของชนพื้นเมือง ซึ่งแถบไซบีเรียตอนนั้น ไม่น่าจะใช้ภาษานี้ในการสื่อสารกัน
อีกประการหนึ่งที่สามารถเห็นถึงความขัดแย้งอย่างแปลกๆพิกล คือ พุทธศักราชที่ก่อตั้งประเทศมองโกลเลียที่ในบทความกล่าวว่า มีการจัดตั้งในพ.ศ.1749 ซึ่งเป็นเวลาที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วร่วมสองพันปี
แต่กลับเขียนว่า พวกเขามีส่วนในการก่อตั้งเมืองโบราณของอินเดียถึงสี่เมืองอันตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือของอินเดีย แถมสองในสี่ของเมือง ยังถือว่าเป็นเมืองของพระพุทธเจ้าคือ กรุงกบิลพัสดุ์ และเทวะทหะ
ซึ่งแสดงว่าพระองค์และศาสนาพุทธนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นแน่ๆ นี่คือความผิดปรกติที่สามารถเห็นได้ชัดอย่างแรก
แต่เมื่อพวกเขาได้อพยพลงมานั้น ก็จะคงมาอยู่ร่วมอาศัยกันเป็นอย่างดี กับชนพื้นเมืองและอยู่ในบริเวณเชิงเขาหิมาลัยนั้นใกล้ๆกัน การวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาพฤติกรรมอย่างที่สองที่พอจะเห็นได้ คือการแตกแขนงของนิกายหินยานไปเป็นนิกายมหายาน และพุทธตันตระ หรือวัชรยาน ที่ปัจจุบันนี้ ประเทศในแถบเอเชียกลาง เช่น จีน มองโกลเลีย ญี่ปุ่น นับถือกันมาก
มันก็อาจจะเริ่มมาตรงนี้ด้วย ที่มีชาวทิเบโต-มองโกลลอยด์นั้น อพยพมาอยู่ร่วมกับชาวอืนเดียพื้นถิ่นมากในบริเวณใกล้ๆกัน ซึ่งก็น่าจะถูกต้องตามในหน้าประวัติศาสตร์ ที่พวกเขาได้มาอยู่ใกล้ๆกันจริง ตรงบริเวณน่าจะเชิงเขาหิมาลัยติดกับเนปาลด้วยครับ ทางตอนเหนือของอินเดียในปัจจุบัน
ซึ่งต่อมา ได้แยกแขนงกลายเป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน และพุทธตันตระ หรือนิกายวัชระญาณ อันอาจเนื่องมาจากพวกเขาอยู่ใกล้ๆกันนี่เอง
ทิเบโต-มองโกลลอยด์ ที่ได้มีการวิเคราห์ะจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมของผู้เขียน ก็คือพวกที่อพยพมาจากจีน ทิเบตซึ่งก็ได้อพยพมาที่อินเดียเช่นกัน แต่ว่าก่อนหน้าชาวอารยันทั้งสามกลุ่มมากนัก และแน่นอนมาก่อนชาวอาร์เมนิดส์เปอร์เซียด้วย
และ ในเวลาต่อมา เมื่อมีศาสนาพุทธเกิดขึ้น มีพระพุทธศาสนานิกายมหายานเกิดขึ้นในจีนและธิเบตแล้ว พุทธศาสนิกชนชาวมหายานนั้น ก็ มักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพระสมณโคดมเลย (ที่พวกเขาเรียกว่า "ศากยมุณี") แต่ไปให้ความสำคัญและนับถือพระโพธิสัตว์ปางต่างๆกันเสียมากกว่า
โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระโพธิสัคว์ทั้งหลาย เช่น เจ้าแม่กวนอิม พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เป็นต้น และทั้งยังดูเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่มาก ถ้าหากว่า ชาวทิเบโต-มองโกลลอยด์เหล่านั้น คือพวกกลุ่มนักรบเร่ร่อนที่เป็นชาวจีน ชาวทิเบตแล้วไซร้ ซึ่งอพยพลงมาที่อินเดีย ไยต้องไม่เคารพนับถือ "ศากยมุณี"
เจ้าแม่กวนอิม หนึ่งในบรรดาหลายๆพระโพธิสัตว์ที่ชนชาวจีน ธิเบต และมองโกล และชาติในแถบเอเชียตะวันออกต่างๆ นั้นต่างนับถือบูชา
ของพวกเขาด้วย แต่กลับไปเคารพนับถือ เหล่าบรรดาพระโพธิสัตว์ต่างๆแทนครับ ? แสดงว่า บทความเด็กดีบทความนี้นั้น ชาวทิเบโต- มงโกลของเขา น่าจะใกล้เคียงกับชาวอารยันเปอร์เซียมากกว่าชาวจีนธิเบต
ความจริงบางประการ ที่น่าเชื่อถือขึ้น ว่าบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อพยพลงมาในกลุ่มๆนั้นนั่นเองครับ ไม่ว่าพวกนั้นจะคือชาวทิเบโต-มองโกลลอยด์ ที่มาจากจีนหรือธิเบต หรือว่า คือชาวอาร์เมนอยด์ที่เป็นแขกเปอร์เซีย
ในบทความชิ้นนี้ กล่าวว่าพระสมณโคดมของเรา มีเรือนกายผิวดั่งทองคำ ซึ่งเขาใช้คำว่า วรรณะสีทอง ไม่ใช่วรรณะสีขาวอย่างพวกคอเคซอยด์ ลักษณะนี้ก็อาจจะตีความสามประการคือ หนึ่ง พระพุทธเจ้าของเราเกิดในตระกูลกษัตริย์ ในเผ่าพันธุ์มองโกลลอยด์พื้นถิ่นนั้นล่ะ ที่อยู่ในอินเดียมานานแล้ว และอาจจะเป็นผู้สร้างกรุงกบิลพัสดุ์ขึ้นมาจริงๆ ซึ่งไม่น่าจะใช่พระเจ้าโอกกาการาช
วรรณะสีขาวอย่างพวกคอเคซอยด์ อาจหมายถึงพวกชนชั้นพราหมณ์ -ฮินดูก็ได้ด้วย ซึ่งเขากล่าวว่า พระพุทธเจ้าของเรามิได้ประสูติในวรรณะนี้ ซึ่งก็ถูกต้อง สอง พระพุทธเจ้ามิได้เป็นชาวอารยัน คือพวกพราหมณ์ ฮินดูเลย และสาม พระพุทธเจ้า ตลอดจนบรรพบุรุษของพระองค์ อาศัยอยู่ร่วมกับชาวทิเบโต -มองโกลลอยด์ ใกล้ๆกันที่ได้อพยพลงมา แถบเชิงเขาหิมาลัยและอินเดียทางตอนเหนือและตลอดมาครับ
จากบทความชิ้นนี้ อาจจะสามารถเห็นถึงความเก่าแก่ของกรุงกบิลพัสดุ์ได้ชัดเจนขึ้น ว่าอาจจะก่อตั้งมานานมากๆ ตั้งแต่หลังยุคก่อนประวัติศาสตร์ลงมาเลยทีเดียว รวมถึงอีกสามเมืองด้วย ที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกัน ทางอินเดียตอนเหนือ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า บทความก่อนของผู้เขียนบล้อก ในเรื่องตำนานการเกิดกรุงกบิลพัสดุ์ของฤาษีกปิละ เป็นเรื่องของพวกพราหมณ์ ฮินดูที่แต่งมาเจตนาจะบลัฟพระพุทธศาสนาเรา
(ฤาษีกปิละ น่าจะเป็นผู้แต่งลำดับ 5 ถ้าย้อนกลับไปดูในรายนามทั้ง19ท่าน)
เราจะวิเคราะห์เวบนี้กันต่อ เขาเขียนเรื่องได้น่าสนใจดี
https://rungniranyoyo.wordpress.com/บระวัติชาวอารยัน/เทพเจ้าสูงสุดของชาวอาร/ศาสนาเทพหลายองค์
อารยธรรมอารยันหรืออารยะ
ศาสนาเทพหลายองค์ของชาวอารยัน (เทพแห่งปรมันต์)
ชนเผ่าอารยันต้นกำเนิดศาสนาเทพหลายองค์ มาจากชาวอารยัน
ศาสนาเทพหลายองค์ของชาวกรีก-โรมัน นับถือเทพซุส แม่พระจูโน่(หรือเฮร่า) คือเทพ ผู้เป็นใหญ่ 12 องค์แห่งยอดเขาโอลิมปัส
ศาสนาเทพหลายองค์ของชาวอียิปต์ มี 2 นิกายคือ นิกายที่นับถือเทพ อามุน เป็นเทพสูงสุด กับ อีกนิกายที่นับถือ เทพ อาเตน เป็นเทพสูงสุด
ศาสนาพรามณ์และพรามณ์ฮินดู มีพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ(หรือพระนารายณ์) เป็น 3 พรหมเทพผู้ยิ่งใหญ่
ลัทธิยิปซี เป็นลัทธิที่ีมีการนับถือเทพหลายองค์เหมือนกับหลายๆศาสนาที่มีเทพหลายองค์ ลัทธิยิบซีแบ่งได้เป็น
สองช่วง ช่วงแรกคือก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเข้ามาในยุโรป ช่วงหลังจากที่ศาสนาคริสต์แพร่เข้ามาในยุโรป
ทั้งหมดนี้เป็นศาสนาที่กำเนิดมาจากชาวอารยัน
ที่แตกแยกไปตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆ
ศาสนาพวกนี้ มีสิ่งที่เหมือนกันคือ มีต้นกำเนิดโดยชนเผ่าอารยัน
จากหลักความเป็นจริงเรื่องนี้ ในสิ่งที่เขาบอกมา แสดงว่าพระพุทธเจ้าคงจะไม่ใช่ชาวอารยันเป็นแน่แท้ เพราะพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแนวอเทวะนิยม คือไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้าใดๆ ประการที่สอง ที่เราทราบคืออาจจะมีชาวอารยันนิบิรุ ได้มากระจุกตัวอาศัยที่บริเวณกรีก ,อียิปต์ และอินเดียตั้งแต่ครั้นเมื่อสมัยแผ่นโลกเชื่อมตัวกัน ที่เรียกว่า มหาทวีปแพนเจีย คือ เมื่อราวๆ335ล้านปีBC
มีการนับถือเทพที่เป็นสตรีมากกว่าเทพที่เป็นบุรุษ จึงมี การเรียกแม่น้ำว่าพระแม่ เรียกทุ่งนาว่าพระแม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นเทพสตรี แต่คำทีี่ใช้เรียกจะต่างกันไปตามภาษาที่ใช้ แต่โดยรวมแล้วคือการบูชา พระแม่โพสพ แม่ย่านาง พระแม่คงคา
มีการสั่งสอนให้นับถือเทพที่เป็นสตรีมากกว่าบุรุษ นั่นก็เพราะชาวนิบิรุนั้นรังเกียจและเหยียดหยามชาวเทียมมัตมากครับ และดูถูกว่าเป็นเพศแม่เสียด้วย เป็นเพศสตรี ส่วนตนเองที่เป็นชาวนิบิรุนั้น มีความเข้มแข็งกว่า แข็งแรงกว่า ดั่งเป็นเพศชาย
ลัทธิเพเกิ้น เป็นหนึ่งในหลายๆศาสนาที่มีชาวอารยันเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเช่นกัน แต่นับถือและบูชาเทพหลายองค์
มีการสร้างรูปเคารพ บูชารูปเคารพและภาพวาดของเหล่าเทพ
มีการบวรงสวงเทพ และ การเซ่นไหว้เทพ
มีการดูดวงด้วยวิธีต่างๆ มีการทรงเจ้าเข้าผี
มีการเผาเครื่องหอมเพื่อบูชาเทพ ซึ่ง เครื่องหอมนั้นพัฒนามาเป็นธูป (ธูปเกิดขึ้นในอียิปต์)
มีประเพญีการบูชาไฟ ด้วยวิธีต่างๆ
ล้วนแล้วแต่เป็นศาสนาที่ชาวอารยันนิบิรุเป็นผู้ต้นคิด รวมถึงลัทธิเพเกิ้นต่างๆด้วยนะครับ
ศาสนาพุทธนอกจากนิกายหินยานแล้ว พุทธศาสนา นิกายอื่นๆต่างเอาคำสอนและแนวปฏิบัติมาจากศาสนา
พรามณ์ฮินดูมาทั้งสิ้น
พระพุทธรูปเกิดมาจากการเอารูปเคารพเทพพระวิษณุ(หรือพระนารายณ์)ของศาสนาพรามณ์ฮินดูมาให้ชาวพุทธกราบไหว้ตามพระไตยปิฏก
ข้อความนี้ผิดนะครับ เพราะการเกิดพระพุทธรูปองค์แรกในโลกนั้น เกิดขึ้นหลังสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือ พระเจ้ามิลินทร์ที่1 ยกทัพมาที่อินเดียแล้วต่างหาก ตั้งแต่ในราวพุทธศตวรรษที่6 และได้สร้างพระพุทธรูปปางคันธารราษขึ้น จนกลายมาเป็นประเพณีนิยมการสร้างพระพุทธรูปขึ้นในเวลาต่อมา ไม่ใช่ไปเอามาจากพระนารายณ์นะครับพระพุทธรูปองค์แรก
พระพุทธรรูปองค์แรกของโลก ในสมัยพระเจ้ามิลินทร์ที่1 หรือ พระเจ้าเมนันเดอร์ ที่สามารถยกทัพมาตีอินเดียได้ ในราวพุทธศตวรรษที่หก เรียกว่า พระพุทธรูปปางคันธารราษ มิใช่เอามาจากพระนารายณ์นะครับ
แต่ก็ถูกต้องที่กล่าวว่า พระพุทธศาสนานิกายอื่นๆนอกจากนิกายหินยานแล้ว ล้วนมีแฝงความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ปะปนเกือบทั้งสิ้น เช่น ตันตระ มหายาน วัชระญาณ เป็นต้น
ห้ามการบูชารูปปั้น
และเมื่อถูกต้องแล้ว เรื่องการจะให้นิกายเถรวาทไปหยิบยืมความคิดเรื่องบูชาพระพุทธรูปจากลัทธิพราหมณ์ย่อมเป็นไปไม่ได้ (เขาบอกว่าพระพุทธศาสนานิกายอื่นๆนอกจากเถรวาทหินยาน ล้วนแฝงความเชื่อของลัทธิพราหมณ์แทบทั้งสิ้น)
รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในสมัยแรกๆมีความคล้ายคลึงกับรูปเคารพเทพพระวิษณุ(หรือพระนารายณ์)ในสมัยเดียวกันมากจนเชื่อได้ว่าเป็นรูปเคารพเดียวกันแต่เรียกชื่อให้ต่างกันออกไป
คำสอนของเจ้าแม่กวนอิมเหมือนคำสอนของศาสนาพรามณ์ฮินดูเป๊ะ ทั้งเรื่องการไม่กินเนื้อวัวของชาวพรามณ์ และผู้ที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม การกินเจกับมังสวิรัติ ของศาสนาพรามณ์ รูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิม และ อิทธิฤทธิ์ของเจ้าแม่กวนอิมก็เหมือนเทพบางองค์ของศาสนาพรามณ์ฮินดูมาก
ศาสนาพรามณ์เก่านั้นจะนับถือ กษัตริย์ เป็นวรรณลำดับแรกสูงสุด แต่เพราะการเกิดพระพุทธศาสนาทำให้ ศาสนาพรามณ์ฮินดูที่เกิดมาใหม่ยก พรามณ์ ให้สูงกว่ากษัตริย์
เกิดมาจากพระพุทธเจ้ามักใช้ความเป็นวรรณกษัตริย์ของตนไปเผยแพร่ศาสนาให้เหล่ากษัตริย์และด้วยสังคมสมัยนั้นชาวบ้านก็ต้องเอาตามอย่างกษัตริย์ จะมีแต่พวกพรามณ์ที่ยังคงรักษาศาสนาพรามณ์ไว้ จนเกิดใหม่เป็นศาสนาพรามณ์ฮินดู จึงยกวรรณพรามณ์ให้เหนือวรรณกษัตริย์ เป็นวรรณที่ไม่ลุ่มหลงไปกับการล่อลวงโดยเหล่าพญานาค เทพที่ทิ้งศาสนาพรามณ์ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า และสัญญากับพระพุทธเจ้าจะปกป้องศาสนาพุทธ
สองย่อหน้าหลังนี้ไม่ถูกต้องนะครับ ไม่ว่าจะพราหมณ์แบบเก่าหรือแบบใหม่ ต่างก็จัดให้วรรณะพวกตนนี้อยู่ระดับยอดสูงสุดเสมอ ไม่เช่นนั้น จะเรียกว่า ศาสนาของพวกพราหมณ์หรือครับ?? และเขาก็บอกเองว่า ศาสนาของพวกอารยัน
นับถือบูชาเทพหลายองค์ จะมาจัดให้เหล่าเทพต่ำกว่ากษัตริย์ได้อย่างไร??โดยอ้างว่า เพราะมีศาสนาพุทธที่ยกย่องวรรณะกษัตริย์เกิดขึ้นมาทีหลัง ก็เลยเอาเทพพราหมณ์ไปข่มไว้ ทั้งๆที่ศาสนาของเขาเกิดขึ้นมาก่อนแท้ๆ
สองย่อหน้าท้ายนี้ มีความขัดแย้งกันเองกับตอนต้นของบทความเดียวกันที่กล่าวว่า อารยันคือจุดกำเนิดของศาสนาที่นับถือเทพหลายองค์ แต่พอมีศาสนาพุทธถือกำเนิดขึ้นมา จึงค่อยไปจัดเทพพราหมณ์ให้อยู่สูงกว่าวรรณะกษัตริย์ทีหลัง ฟังแล้วงงๆรึเปล่าครับ ไม่รู้ว่าอะไรเกิดมาก่อนกันแน่ล่ะทีนี้
แถมมีการบลัฟว่า พระพุทธเจ้าของเราเป็นหน่อเนื้อนิบิรุรึนาคแบบพวกเขา จริงๆพวกเขานั่นเองล่ะ คือชาวนาค
พิเคราะห์เวบถัดมา
https://www.silpa-mag.com/history/article
ย่อหน้าแรกของนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ได้กล่าวว่า พระอินทร์เป็นเทพที่อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
เดิมทีท่านเป็น “แม่ทัพสวรรค์” หรือ “แถนฟ้า” (War Chief) ของเผ่าพเนจรตามทุ่งหญ้าในเอเชียกลาง
เมื่อผู้เขียนอ่านแล้ว นึกถึงภาพของชนชาวเปอร์เซีย อิหร่าน ขึ้นมาทันทีเลยครับ นั่นก็คือ ชาวอาร์เมนิดส์ ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นชาวมิลักขะทราวิฑกันไปหมดแล้ว และได้ลงไปอาศัยกันอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียในปัจจุบัน ท่านผู้อ่านนึกภาพเช่นเดียวกันนี้ไหมครับ?
ในย่อหน้าที่สอง ของศิลปะวัฒนธรรม มีว่า
เทพองค์นี้เป็นที่นับถือสูงสุดของเผ่าต่าง ๆ ที่พูดภาษาในตระกูลอินโด-ยุโรเปียน และเรียกตัวเองว่า “อารยัน” ต่อมาเมื่อเผ่าเหลานี้กระจายเข้าไปอยู่ในยุโรปและอินเดีย “แม่ทัพสวรรค์” องค์นี้กลายเป็น Zeus/Jupiter ของชาวกรีก/โรมัน Thor ของชาวเยอรมัน และ Indra ของอินเดีย
พระอินทร์ที่อินเดีย ท่านทรงประทับบนหลังช้างนะครับ ซึ่งนี่มันคือคติความเชื่อของชาวเอเชีย ที่มิใช่เป็นฝรั่งเลย ซึ่งกล่าวกันว่า พวกช้างนั้นคือ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และที่อินเดียต่างก็นับถือช้างกันมาแต่โบราณ
ผู้อ่านจะเห็นถึงความขัดแย้งกันอีกแล้วใช่ไหมครับ??ซึ่งเหมือนกับเวบบทความเด็กดีเลย ที่ผู้เขียนยกกล่าวมาอ้างก่อนนั้น
คือ ถ้าบรรพบุรุษของพระพุทธเจ้าจะเป็นชาวทราวิฑหรือแขกอิหร่านแล้ว (ความจริง เรียก อาร์เมนอยด์ ไม่ใช่ทราวิฑ) คืออพยพมาจากทางนั้น บริเวณเอเชียกลาง ไยเมื่อมีชาวอารยันนอร์ดิกอพยพลงมาอยู่ทีหลัง จะต้องขับไล่บรรพบุรุษของพระองค์ลงไปอยู่ทางด้านใต้ของอินเดียในปัจจุบันด้วย (ฟังแล้วเหมือนขับไล่กันเอง)
นอกจากนั้น ยังเหยียดให้เป็นชาวมิลักขะเสียอีก พระพุทธเจ้าของเรา เป็นมิลักขะ ผิวดำแดงหรือ?ถ้าพวกฝรั่งรู้เข้าคงจะขำและแปลกใจไม่น้อย เพราะมันขัดกับจุดประสงค์ดั้งเดิมของพวกเขาที่ต้องการแต่งให้พระองค์เป็นชาวอารยันมาแต่เดิมมากนัก
จุดประสงค์ของเรื่องแต่งที่ฝรั่งเป็นผู้แต่ง ในเรื่องประดานี้ ซึ่งมีอยู่หลายเวบทีเดียว ก็เพื่อจะบลัฟว่า ศาสนาพุทธของเรานั้น เกิดมาจากพวกเขาที่มีความเก่าแก่กว่า
มาพิจารณาในย่อหน้าที่สองของบทความครับ เทพพระอินทร์นั้น ถือว่าเป็นหัวหน้าสูงสุดของชนเผ่าต่างๆ ที่ พูดภาษาตระกูลอินโด ยูโรเปียน ด้วยกัน และเรียกตนเองว่า ชาวอารยัน
นึกถึงภาพชาวเปอร์เซีย แขกอิหร่านเลยใช่ไหมครับ แถมยังเป็นนักรบเร่ร่อนบนหลังม้าด้วยในแถบเอเชียกลาง เหมือนย่อหน้าแรก และพูดภาษาตระกูลอินโด ยูโรเปียนด้วยอีกแน่ะ (เรียกตนเองว่า ชาวอารยันด้วย)
เรื่องนี้มีความน่าสงสัยและน่าสนใจไม่น้อย ผู้เขียนขอยกเอาไปต่อบล้อกถัดไปนะครับ มันจะยาวไม่น่าอ่านครับ
ขอขอบพระคุณข้อมูล อ้างอิงจาก
https://postjung.com/tag/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B9
https://www.dek-d.com/board/knowledge/2094
https://rungniranyoyo.wordpress.com/บระวัติชาวอารยัน/เทพเจ้าสูงสุดของชาวอาร/ศาสนาเทพหลายองค์ข
https://saranukromthai.or.th/oldch
https://www.silpa-mag.com/history/article
วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์
วิทยาการ
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย