16 ก.ค. เวลา 11:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ดิ่ง ต่ำสุดรอบ 8 เดือน ปัญหาด่านชายแดน–ภาษีสหรัฐฯ กดดัน

ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ปรับตัวลดลง หลังเจอศึกรอบด้าน ปิดด่านชายแดน-ขึ้นภาษีสหรัฐฯ-สินค้าต่างชาติทะลัก ลุ้น รัฐฯ เจรจาภาษีสำเร็จ ก่อน 1 ส.ค.นี้
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลง จาก 88.1 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เป็นผลจากการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา และการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซ LNG จากไทย ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและผ่านแดน
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ด้านสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี Sectoral Tariff ในกลุ่มสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลกระทบทำให้ราคาพลังงานผันผวน การส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว อีกทั้ง การทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศกดดันผู้ประกอบการ การผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วยสินค้านำเข้า ราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง
ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร และทำให้กำลังซื้อในภูมิภาคลดลง รวมถึงความขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนและเงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายน ยังคงมีปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดมาตรการชะลอการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในเดือนกรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกัน สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ยังมีทิศทางเชิงบวก และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการช่วงกลางปี ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
สำหรับการสำรวจผู้ประกอบการ 1,342 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนมิถุนายน 2568 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ การเข้าถึงสินเชื่อ 51.7% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 39.9% ราคาพลังงาน 31.3% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 24.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 61.0% เศรษฐกิจโลก 57.7% นโยบายภาครัฐ 47.5%
ขณะที่ ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 90.8 ลดลงจาก 91.7 ในเดือนพฤษภาคม 2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัญหาบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงการปิดด่านอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทย
ด้านคณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดในบางกิจการ มีผลวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 กระทบต่อต้นทุนการจ้างงานของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการค้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 คาดว่า จะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 3 ข้อ คือ
1. ขอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านการค้าชายแดนไทย - กัมพูชา เช่น ช่วยรับซื้อสินค้าและกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ชั่วคราวสำหรับ SMEs ชดเชยค่าจ้างให้แรงงานกรณีปิดกิจการชั่วคราว อุดหนุนส่วนต่างราคาวัตถุดิบหากต้องนำเข้าจากแหล่งอื่น และสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางเรือหรือทางอากาศ เป็นต้น
2. ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ให้ดำเนินการได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบโครงการอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส
3. ขอให้ภาครัฐเร่งเจรจาปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ให้ลดลงสู่ระดับที่สามารถแข่งขันได้ ก่อนจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568
นายนาวา กล่าวต่อว่า หากเป็นไปได้อยากให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐเก็บจากไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับคู่แข่ง หรือ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ยกเว้น ลาว และเมียนมา ซึ่งล่าสุดการที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้ากับอินโดนีเซียที่ 19% จะส่งผลกระทบกับไทยอย่างไรนั้น ก็มองว่าอาจทำให้ไทยเหนื่อยหน่อยแต่เชื่อว่าทีมเจรจาไทยแลนด์ต้องทำได้
ส่วนการที่ประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย ยอมลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯเหลือ 0% นั้น ในส่วนของไทย ส.อ.ท. ได้หารือร่วมกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรมแล้วส่วนใหญ่ยินดีลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเหลือ 0% บางกลุ่มสินค้ากับสหรัฐฯ เท่านั้น โดยสินค้าที่ให้ลดภาษีได้ เช่น ยา เพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ / ส่วนสินค้าที่ไม่อยากให้ลดภาษี เช่น กลุ่มเคมี เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมบางส่วนเพิ่งเริ่มประกอบกิจการและยังไม่พร้อมให้ลดภาษีเหลือ 0%
เราได้ประชุมร่วมกับ 47 กลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว ส่วนใหญ่ยินดีลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% บางกลุ่มสินค้า และต้องเฉพาะกับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่บางกลุ่มอุตสาหกรรมยังไม่สามารถลดเหลือ 0% ได้ ซึ่งที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ส่งข้อมูลสนับสนุนให้ทีมเจรจาไทยไปบ้างแล้ว เกี่ยวกับการลดภาษีสินค้าหลายรายการที่สามารถลดได้ เพื่อให้อัตราภาษีที่ 36% ปรับลดลงมา ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ เพราะภาษีที่ 36% หลายกลุ่มอุตสาหกรรมจะไม่สามารถต่อสู้ได้ หรือจะสูญเสียตลาด และขอให้ทันก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.ที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ นายนาวา ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงผู้ว่าฯแบงก์ชาติคนใหม่ ว่า ไม่ขอออกความเห็นเรื่องตัวบุคคล แต่เชื่อว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนได้ดี โดยในภาคอุตสาหกรรมอยากให้อำนวยความสะดวกเรื่อง Soft Loan หรือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และดูแล SME ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น พักชำระหนี้ชั่วคราว มองว่า หากธนาคารมีสภาพคล่องแล้วไม่ได้นำมาใช้ก็น่าเสียดาย ซึ่งเชื่อว่าธนาคารมีระบบตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกสำหรับลูกหนี้ที่มีความซื่อสัตย์
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา