17 ก.ค. เวลา 00:48 • สุขภาพ
Chiangmai, Thailand

“กลิ่นแก่” กลิ่นใกล้ตัวที่ทุกคนควรรู้

ลองเดินผ่านใครบางคนที่อายุมากขึ้น แล้วรู้สึกว่ามีกลิ่นบางอย่างโชยออกมาแว้บๆ มันไม่เหม็น ไม่ถึงกับตุๆ แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนรู้สึกได้ว่า “ไม่ใช่กลิ่นของวัยรุ่น”
เราเรียกมันว่า “กลิ่นแก่” ฟังดูแรง แต่เป็นเรื่องจริงที่ “มีอยู่” และ “เกิดขึ้นได้” กับทุกคนที่มีอายุเพิ่มขึ้น
เรื่องนี้ไม่ชวนตลก ไม่ชวนเขิน แต่จะพาคุณเข้าใจอย่างจริงจังว่า “กลิ่นแก่” เกิดจากอะไร มันลดได้ไหม และเราจะอยู่กับมันอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไรบ้าง
กลิ่นแก่คืออะไร? มีจริงหรือคิดไปเอง?
ในทางวิทยาศาสตร์ “กลิ่นแก่” มีชื่อที่ฟังดูทางการกว่าเยอะ คือ Nonenal (อ่านว่า นอน-เอ-แนล)
เป็นสารประกอบที่ถูกตรวจพบได้ในเหงื่อและไขมันผิวหนังของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป
นักวิจัยญี่ปุ่น (ที่ขึ้นชื่อว่าใส่ใจเรื่องกลิ่น) เป็นคนค้นพบสารนี้ตั้งแต่ปี 2001 โดยพบว่า Nonenal มีลักษณะเฉพาะคือ
• มีกลิ่นคล้าย “น้ำมันเก่า” หรือ “กลิ่นกระดาษเก่า” ผสมกับกลิ่นเขียวๆ ฝาดๆ
• มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
• เกิดมากจาก “การสลายตัวของกรดไขมันบนผิวหนัง” ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
กลิ่นแก่เกิดจากอะไรแน่ๆ? มีแค่ Nonenal จริงหรือ?
ไม่ใช่แค่ Nonenal อย่างเดียวที่เป็นต้นตอของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่รวมตัวกันแล้วก่อให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว เช่น
1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนที่ควบคุมการผลิตน้ำมันและเหงื่อจะเปลี่ยนแปลง ทำให้ต่อมไขมันบางชนิดทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีไขมันตกค้างมากขึ้น ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น
2. ระบบเผาผลาญที่ช้าลง
เมื่อระบบการย่อยและขับถ่ายช้าลง สารพิษบางอย่างในร่างกายอาจถูกขับออกทางเหงื่อหรือผิวหนังมากกว่าคนหนุ่มสาว
3. อาหารที่เรากิน
อาหารบางชนิด เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน กระเทียม หรืออาหารหมักดอง สามารถส่งผลต่อกลิ่นตัวผ่านทางการย่อยและการขับเหงื่อ
4. ยารักษาโรคบางชนิด
ผู้สูงวัยจำนวนมากต้องกินยารักษาโรค เช่น ยาลดความดัน ยาความเครียด ยาต้านซึมเศร้า ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงทำให้เหงื่อเปลี่ยนกลิ่น
5. สุขอนามัยที่เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
บางคนอาบน้ำวันละรอบ เดิมไม่เคยมีปัญหา แต่พออายุเพิ่มขึ้น ต่อมเหงื่อเปลี่ยน พฤติกรรมเดิมๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
ข่าวดีคือ “กลิ่นแก่ลดได้” แม้จะไม่สามารถหายขาดแบบถาวร
แต่เราสามารถ “ปรับสมดุลกลิ่น” ให้จางลงหรืออยู่ในระดับที่ไม่รบกวนคนรอบตัวได้
ลองดูวิธีต่อไปนี้:
✅ 1. ปรับพฤติกรรมการอาบน้ำ
• อาบน้ำวันละ 2 ครั้งโดยเน้นบริเวณที่ต่อมเหงื่อทำงานหนัก เช่น ใต้วงแขน คอ หลังเข่า ซอกขา
• เลือกสบู่หรือเจลอาบน้ำที่มีส่วนผสมต้านแบคทีเรีย เช่น Tea Tree, สารสกัดใบชาเขียว หรือ Charcoal
• หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีกลิ่นแรงเกินไป เพราะอาจผสมกับกลิ่นตัวจนเกิดกลิ่นแปลก
✅ 2. ปรับอาหารการกิน
• ลดอาหารที่มีกลิ่นแรงหรือไขมันสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องใน อาหารหมัก
• เพิ่มผักผลไม้ที่ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ขิง มะนาว แอปเปิ้ล
• ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยขับของเสีย
✅ 3. เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ระบายอากาศดี
• เลือกใยผ้าที่ระบายเหงื่อดี เช่น ผ้าฝ้าย (cotton) หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าแนบเนื้อที่ทำให้เหงื่อหมักหมม
• เปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยขึ้น โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่ร้อนหรือมีเหงื่อออกมาก
✅ 4. หมั่นออกกำลังกาย
• แม้ฟังดูขัดแย้ง แต่การขับเหงื่อบ่อยๆ จากการออกกำลังกายจะช่วย “ล้างระบบ” และปรับสมดุลฮอร์โมน
• หลังออกกำลังกายควรรีบอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้เหงื่อสะสมจนกลิ่นฝังเสื้อ
✅ 5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
• กลิ่นตัวผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต
• การพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุในกรณีที่กลิ่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือรุนแรง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ความเข้าใจผิดที่ควรเลิกเชื่อเกี่ยวกับกลิ่นแก่
❌ กลิ่นแก่คือกลิ่นเหงื่อสกปรก
ไม่จริง เพราะเหงื่อจากต่อมต่างกันจะมีกลิ่นต่างกัน บางคนสะอาดมากแต่ยังมีกลิ่นเฉพาะตัวจาก Nonenal อยู่
❌ ใส่น้ำหอมเยอะๆ กลบได้หมด
กลิ่นหอม + กลิ่นแก่ ไม่ได้เท่ากับ “หอมขึ้น” เสมอไป บางครั้งยิ่งผสมยิ่งแย่ ควรลดกลิ่นต้นเหตุให้ได้ก่อน
❌ แค่คนอื่นรู้สึก เราไม่รู้ตัวก็คงไม่เป็นไร
จริงๆ แล้ว การไม่รู้ตัวว่าเรามีกลิ่น อาจทำให้การเข้าสังคมยากขึ้นแบบไม่รู้สาเหตุ เช่น คนไม่อยากนั่งใกล้ ไม่ชวนไปไหน หรือตอบโต้แบบสุภาพเกินเหตุ
กลิ่นตัวเมื่ออายุเพิ่มขึ้นไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เป็นผลจากธรรมชาติของร่างกายที่เปลี่ยนไปตามวัย
สิ่งสำคัญคือการเข้าใจ ไม่เขิน ไม่มองเป็นเรื่องน่าอาย และเลือกดูแลตนเองอย่างมีข้อมูล
เพราะกลิ่นเป็น “ภาษาที่ไม่มีเสียง”
แต่สามารถส่งสารถึงคนรอบข้างได้มากกว่าที่คิด
#กลิ่นแก่ #สุขอนามัยผู้สูงอายุ #ดูแลตัวเองวัย40plus
โฆษณา